คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 552 วิงวอน
หมิงเวยรู้ดีว่านางอาจอยู่ได้อีกไม่นาน โชคชะตาของนางไม่ได้อยู่ที่นี่ และวันหนึ่งนางจะต้องกลับสู่โลกของนางเอง นางไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใดอาจจะสามสิบปี หรือสิบปี แปดปี แต่ นางจะกลับไปแน่นอน
สิ่งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของนางดังนั้นนางจึงไม่อยากให้คำมั่นสัญญาเพราะนางไม่สามารถให้ได้ นางทำได้เพียงสนองความปรารถนาของเขาในช่วงเวลาที่นางอยู่เท่านั้นพยายามทำให้เ เขามีความสุขให้นานที่สุด
บางครั้งนางเองก็คิดหากต้องกลับไปจริงๆ คงจะดี นางรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่จนถึงเวลานั้น และแม้ว่านางจะกลับไปก็ยังสามารถเห็นเขาได้ พูดไปดูเหมือนง่ายดาย แต่ระยะเวลากว่าหกสิบ ปีนั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน
หากเป็นไปได้นางหวังว่าวันหนึ่งเมื่อนางจากไป เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกครั้งไม่ว่าจะเป็นแต่งงานมีลูก สนุกกับชีวิตให้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว
แน่นอน…บางทีสวรรค์อาจเมตตานางให้นางได้ใช้เวลาร่วมกันกับเขานานขึ้น
ทุกอย่างยังไม่แน่ชัด…
โชคชะตาคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด บางครั้งรู้สึกว่าสามารถเอาชนะมันได้ ได้ลิ้มรสผลลัพธ์ที่หอมหวาน บางครั้งพบว่าทุกอย่างไม่สามารถสั่นคลอนได้จึงทำได้แค่อดทน ปรมาจารย์แห่งชีวิตไม ม่เชื่อในโชคชะตา แต่ก็รู้ด้วยว่าการเอาชนะโชคชะตาเป็นเรื่องยากมาก นางไม่แน่ใจว่านางจะเป็นผู้ชนะจึงไม่สามารถให้คำมั่นสัญญากับเขาได้
คืนนี้หิมะตก เมื่อตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้นพบว่าหิมะหนาเกินไป และทิวทัศน์ของต้นเหมยไม่สวยงามเหมือนเมื่อคืนนั้นแล้ว หยางชูเรียกเสี่ยวถงมาทุกคนนั่งทานหม้อไฟด้วยกันราวกับพวกเขาก กลับมาที่เกาถาง
ภายในวังฮุ่ยเฟยล้มป่วยอีกครั้ง
เผยกุ้ยเฟยไปเยี่ยมนาง และเห็นฮุ่ยเฟยเอนกายอยู่บนหัวเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียว
“พี่สาวนอนลงเถอะไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอก” นางเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว และกดตัวฮุ่ยเฟยไว้
ฮุ่ยเฟยยิ้มอย่างอ่อนแรง และตอบว่า “ขอบคุณน้องสาวที่เข้าใจ”
เผยกุ้ยเฟยเอามืออังหน้าผากของนางแล้วพูดว่า “ตัวท่านร้อนนิดหน่อย หมอหลวงว่าอย่างไรบ้างหรือ”
นางในข้างกายฮุ่ยเฟยตอบว่า “เรียนกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง หมอหลวงบอกว่าเหนียงเหนียงของพวกเราร่างกายอ่อนแอ จิตใจอ่อนไหว จึงล้มป่วยอีกครั้งเพคะ…”
เผยกุ้ยเฟยอยากจะถามอีกครั้ง แต่ถูกฮุ่ยเฟยพูดขัดขึ้นว่า “พอแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
“เหนียงเหนียง…”
“ไปเถอะ” นางในไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอนตัวออกไป
“ฮุ่ยเฟย…”
ฮุ่ยเฟยกุมมือเผยกุ้ยเฟยแล้วพูดเสียงเบา “อาการป่วยของข้า ข้ารู้ดี น้องสาวไม่ต้องกังวล ดูแลตัวเองดีๆ เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
เผยกุ้ยเฟยห่มผ้าห่มให้นางแล้วพูดเสียงเบา “พี่สาวต้องดูแลตัวเองดีๆ อากาศเย็นเช่นนี้ทำให้หายยากอยู่แล้ว ท่านต้องทานยาให้ตรงเวลา”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางก็พูดขึ้นอีกว่า “เรื่องนั้นท่านวางใจเถอะ ข้าจะหาโอกาสพูดกับฝ่าบาทให้องค์ชายรองได้มาพบพี่สาว”
ฮุ่ยเฟยได้ยินเช่นนั้นนางก็น้ำตาไหลพราก “น้องสาว…”
เผยกุ้ยเฟยพูดเสียงอบอุ่น “มารดา และบุตรสื่อใจถึงกัน บุรุษจะไปเข้าใจได้อย่างไร องค์ชายรองเป็นเช่นนี้พี่สาวต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว”
ฮุ่ยเฟยน้ำตาไหลนางบอกสิ่งที่อยู่ในใจกับอีกฝ่ายว่า “น้องสาวกล่าวเช่นนี้ข้าก็รู้สึกละอายใจ พูดตามตรงเดิมทีข้าให้ซิ่วอี๋ขอรางวัลด้วยการได้อยู่ข้างกาย และขอร้องเจ้า ไม่คิด ดว่าเด็กคนนั้นเห็นว่าวิตกกังวลจึงใจร้อนพูดออกไปตรงๆ เช่นนั้น เมื่อวานข้าไปทูลขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทไม่ทรงประสงค์จะพบข้าจึงกังวลจนล้มป่วย”
เผยกุ้ยเฟยปลอบโยนนาง “พี่สาววางใจเถอะ ฝ่าบาททรงเข้าใจ และมีเหตุผลไม่ตำหนิคุณหนูเวินหรอก”
ฮุ่ยเฟยปาดน้ำตา และกล่าวว่า “ข้าเองก็รู้ว่าเฉิงเอ๋อร์ทำผิด เขาถึงถูกลงโทษ แต่ในฐานะแม่จะไม่สนใจได้อย่างไร เขาทำผิดถูกริบยศ ข้าไม่มีอะไรจะพูด เพียงแต่อยากพบหน้าเขาอยากเ เห็นว่าเขาสบายดีหรือไม่ก็เท่านั้น!” เผยกุ้ยเฟยยังคงปลอบนาง
ในตอนนั้นเองเวินซิ่วอี๋ก็เดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไร และคุกเข่าต่อหน้าเผยกุ้ยเฟย
“นั่นเจ้าทำอะไร”
เวินซิ่วอี๋ก้มหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ซิ่วอี๋รู้ว่าตนเองทำผิดจึงมาขอให้เหนียงเหนียงโปรดยกโทษให้ เมื่อวานเป็นงานมงคลของเหนียงเหนียง ซิ่วอี๋ไม่ควรพูดถึงเรื่องไม่ เป็นมงคล…”
เผยกุ้ยเฟยพูดเสียงเรียบ “จะมีเรื่องไม่เป็นมงคลได้อย่างไร เปิ่นกงไม่ได้โทษเจ้า ลุกขึ้นเถอะ”
เวินซิ่วอี๋ยังคงคุกเข่านางเงยหน้าขึ้น และพูดว่า “เหนียงเหนียง ซิ่วอี๋รู้ว่าตนเองผิดจริงๆ เหนียงเหนียงช่วยทูลขอความกรุณาจากฝ่าบาทได้หรือไม่เพคะ ซิ่วอี๋ไม่กล้าเรียกร้องมาก กเกินไป มีเพียงเรื่องเดียว…ท่านอาเห็นว่าอากาศหนาวเย็นเลยเป็นห่วงท่านพี่จึงทำเครื่องแต่งกายฤดูหนาวจำนวนหนึ่ง และต้องการส่งไปที่จวนอ๋อง…เหนียงเหนียงพอจะอนุญาตหรือไม่เพคะ”
นางพูดเสียงสั่นเพราะกลัวว่าเผยกุ้ยเฟยจะโกรธซึ่งทำให้คนมองรู้สึกสงสาร
เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจ และพูดว่า “เปิ่นกงบอกแล้วว่าไม่โทษเจ้า เจ้าลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฝ่าบาทเพียงแค่กักบริเวณองค์ชายรอง ค่าใช้จ่ายรายวันยังคงให้เหมือนเดิม ห หากต้องการส่งเสื้อผ้าแค่ไปบอกกับว่านกงกงก็พอแล้ว”
“จริงหรือเพคะ” ดวงตาของเวินซิ่วอี๋เป็นประกาย
“จริงสิ” เผยกุ้ยเฟยหันกลับมายิ้มให้ฮุ่ยเฟย “พี่สาวกังวลเกินไปแล้ว ฝ่าบาทไม่เคยตรัสว่าไม่อนุญาตให้ส่งของให้องค์ชายรองเสียหน่อย” ฮุ่ยเฟยดูโล่งใจ และขอบคุณนาง เผยกุ้ยเฟยปล ลอบใจนางอีกไม่กี่ประโยคจากนั้นก็ขอตัวกลับ
เมื่อกลับมาถึงตำหนักเชียนชิวหลิวกงกงก็เดินเข้ามาหา เผยกุ้ยเฟยนำเขาไปดูภาพวาดแล้วถามว่า “กงกงมาทำไมหรือ”
หลิวกงกงตอบ “มาส่งข้อความพ่ะย่ะค่ะ”
เขามองไปรอบๆ และลดเสียงลง “ท่านอ๋องบอกว่าให้ท่านระวังคุณหนูเวินเอาไว้ นางน่าจะเป็นเคล็ดวิชาพ่ะย่ะค่ะ”
เผยกุ้ยเฟยตกใจ “เคล็ดวิชา จะบอกว่า…”
“เหมือนกับคุณหนูหมิงพ่ะย่ะค่ะ”
เผยกุ้ยเฟยเลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น ตระกูลเวินจะมีคนเช่นนั้นได้อย่างไร”
หลิวกงกงตอบ “บ่าวได้รับข่าวจากท่านอ๋องจึงไปตรวจสอบ และพบสิ่งที่น่าสนใจมาก”
“เจ้าว่ามา”
“เหล่าคุณหนูตระกูลเวินที่อยู่ในเมืองหลวงล้วนออกเรือนไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน คุณหนูเวินผู้นี้มาจากชนบทได้ความว่าตระกูลเวินไม่สบายใจจึงเลือกคุณหนูให้มาอยู่เคียงข้างฮุ่ยเฟยพ่ะย่ะค ค่ะ”
เผยกุ้ยเฟยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “จะบอกว่าสถานะของคุณหนูเวินผู้นี้…”
หลิวกงกงพูดพอเป็นพิธีว่า “ท่านไม่ต้องกังวลไปเรื่องภายนอกมีคนคอยจัดการอยู่ ท่านคอยระวังตัวอยู่ในวังก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เผยกุ้ยเฟยพยักหน้า “หากเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าไปตรวจสอบทางด้านองค์ชายรองหน่อย ฮุ่ยเฟยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์ชายรองจะออกมาได้ส่วนคนผู้นั้นดูเหมือนจะมีความคิดเดียวกัน บางทีอาจ จเป็นคนของเขาก็ได้” หลิวกงกงตอบรับ
เผยกุ้ยเฟยคิด “ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาทให้องค์ชายรองได้พบฮุ่ยเฟยด้วยวิธีนี้พวกเราจะเข้าใจจุดประสงค์ได้ง่ายขึ้น”
หลิวกงกงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นบ่าวจะกลับไปทูลท่านอ๋อง”
เผยกุ้ยเฟยพยักหน้า เมื่อหลิวกงกงจากไปเผยกุ้ยเฟยก็เดินทางไปที่ท้องพระโรง เมื่อฮ่องเต้ทราบถึงความตั้งใจของนางเขาก็กล่าวว่า “ฮุ่ยเฟยให้เจ้ามาหรือ”
เผยกุ้ยเฟยตอบว่า “แน่นอนว่าฮุ่ยเฟยคิดถึงองค์ชายรอง แต่นางไม่ได้เอ่ยปาก หม่อมฉันเป็นฝ่ายมาเองเพคะ”