คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 553 ฮุ่ยเฟย
วันที่สามตั้งแต่ฮุ่ยเฟยล้มป่วยในที่สุดฮ่องเต้ก็เสด็จไปเยี่ยมนาง
ฮุ่ยเฟยที่นอนอยู่บนเตียงได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จมาถึงก็รีบเรียกนางในให้เข้ามาปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทันทีที่ลุกจากเตียงฮ่องเต้ก็เข้ามาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าป่วยอยู่ ดูแลตัวเองให้ดียังไม่ต้องทำอะไร”
น้ำเสียงของเขาดูไม่บอกอารมณ์ แต่คำพูดนั้นมีความหมาย ‘อย่าก่อปัญหาอีก’ แฝงอยู่ ฮุ่ยเฟยตอบอย่างรวดเร็ว และสั่งให้นางในเข้ามารินชา
“ฝ่าบาท อากาศหนาวพระหัตถ์เย็นหมดแล้วเสวยชาอุ่นสักถ้วยเถิดเพคะ ในห้องนี้อุดอู้เกินไปหรือไม่เพคะ แม่นม…เปิดหน้าต่างสูดอากาศหน่อย!”
ฮ่องเต้ห้ามนางอาจเป็นเพราะความเอาใจใส่ของฮุ่ยเฟยเตือนให้เขานึกถึงความรักความอ่อนโยนในอดีต น้ำเสียงของเขาอ่อนลง “เจิ้นมาที่นี่เพื่อคุยกับเจ้า เจ้านอนลงเถอะ” จากนั้นก็สั่งนางใน “ยังไม่ประคองเหนียงเหนียงนอนลงอีก พวกเจ้าปรนนิบัติกันอย่างไร” ฮุ่ยเฟยมองเขาอย่างซาบซึ้งจนเกือบจะร้องไห้ออกมา
“ฝ่าบาท…” นางมองดูพระพักตร์ของฮ่องเต้อย่างหลงใหล แม้ว่านางจะไม่ได้งดงามเหมือนเมื่อก่อน แต่ดวงตาของนางก็ยังคงอ่อนโยน
ฮ่องเต้ใจอ่อนกับนาง
เขาโบกมือให้นางในถอยออกไปแล้วนั่งลงข้างเตียงจากนั้นพูดกับนางว่า
“เจิ้นรู้ความคิดของเจ้า แต่ตราบใดที่ลูกรองยังคงก้าวร้าวเล็กน้อย เจิ้นจะไม่ลงโทษเขาเช่นนี้ พระราชโองการริบยศเขาเจิ้นเป็นผู้สั่ง แต่ผู้ที่เจ็บปวดที่สุดคือเจิ้นเอง! เจิ้นมีโอรสไม่กี่พระองค์ ลูกสามเกิดหลังจากขึ้นครองราชย์ เจิ้นยุ่งเกินกว่าจะดูแลเขา ลูกใหญ่ และลูกรองเกิดที่จวนจ้าวอ๋อง ตอนนั้นเจิ้นเป็นแค่เสียนอ๋อง และสนิทสนมกับพวกเขามาก ย่อมมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพวกเขามากกว่า”
“ฝ่าบาท…” ฮุ่ยเฟยร้องไห้
ฮ่องเต้พูดต่อว่า “เจิ้นมีความคาดหวังกับลูกรองเสมอ หวังว่าเขาจะสามารถช่วยเหลือลูกใหญ่ได้ เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันไม่คิดว่าเมื่อพวกเขาโตขึ้นยิ่งห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆ เจิ้นเห็นแล้วปวดใจมากพี่น้องบ้านเดียวกันเหตุใดถึงกลายเป็นอยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้แล้ว ใช้กลอุบายอันเลวร้ายเพียงเพื่อจัดการกับพี่น้องของตน หลายวันมานี้เจิ้นนึกย้อนถึงตัวเอง รู้แต่เลี้ยงลูกไม่อบรมเป็นความผิดของบิดาหรือไม่!”
ฮุ่ยเฟยร้องไห้ออกมา “ไม่เพคะ ไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาท ฝ่าบาทมีราชกิจสำคัญมากมายที่ต้องจัดการจะอบรมบุตรได้อย่างไร เป็นหม่อมฉัน เป็นหม่อมฉันที่ไม่ดูแลเขาให้ดี! มีหลายครั้งที่เขาพูดต่อหน้าหม่อมฉันว่าองค์ชายใหญ่มีอาจารย์เก่งๆ มากมายสอนเขา หม่อมฉันเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเขา หม่อมฉันตำหนิเขาว่าไม่ควรทำตัวเสียมารยาทกับพี่ชาย แต่ไม่เคยให้เหตุผลกับเขาเลยผลกลับกลายเป็นว่าเขายิ่งกระทำรุนแรงมากขึ้นจนเกิดความคิดเช่นนั้น ฝ่าบาท…เรื่องนี้เป็นความผิดของหม่อมฉันที่ไม่ห้ามเขาให้ทันเวลาเพคะ”
“เอาล่ะๆ เจ้าอย่าร้องเลยเจิ้นเข้าใจแล้ว” ฮ่องเต้ปลอบนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เขาเป็นบุตรของเจ้าแล้วก็เป็นบุตรของข้าด้วย คิดว่าเจิ้นไม่เจ็บปวดหรือ ความรักที่ลึกซึ้งเป็นความรับผิดชอบของทุกคน หากเจ้าอยากพบเขาก็เรียกเขามา การส่งเสื้อผ้าฤดูหนาวไม่ใช่เรื่องใหญ่ เจ้าไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยหรอกหลังจากนี้อยากส่งอะไรให้เขาก็บอกกับว่านต้าเป่าซะ”
ฮุ่ยเฟยซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลพรากคิดจะโค้งกายขอบคุณ แต่ฮ่องเต้ก็ห้ามเอาไว้
“หากไม่ใช่เพราะน้องสาวอ้อนวอนขอความเมตตาแทน หม่อมฉันคงไม่สามารถบอกเรื่องในใจกับฝ่าบาทได้ หม่อมฉันอายุมากแล้วซ้ำยังป่วยจนกลายเป็นเช่นนี้ คงไม่ดีหากไปปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาท มีน้องสาวคอยดูแลฝ่าบาทหม่อมฉันก็วางใจเพคะ” ท่าทีของฮ่องเต้ดูเรียบเฉยจนเดาใจได้ยาก
ฮุ่ยเฟยดูเหมือนจะตื่นเต้นจนไม่ได้สังเกตเห็น และยังคงพูดยกย่องเผยกุ้ยเฟยบอกว่านางเข้าวังมาหลายปีอีกทั้งยังใจดีกับทุกคน ในวังหลวงไม่มีผู้ใดไม่ชอบนางยิ่งกว่านั้นยังรักเดียวใจเดียวต่อฮ่องเต้ ไม่เคยประจบประแจง ไม่ต้องการชื่อเสียงเงินทอง ไม่แปลกใจเลยที่ทำดีได้ดี ทุกคนต่างพูดว่าทั้งงดงาม และใจดีเป็นเช่นนี้นี่เอง พูดแล้วก็อยากทำงานปักมอบให้เผยกุ้ยเฟยเป็นการขอบคุณ
แน่นอนฮ่องเต้บอกว่านางไม่ต้องทำรักษาอาการป่วยสำคัญที่สุดแค่น้ำใจก็เพียงพอแล้ว ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งฮ่องเต้ก็เสด็จกลับ
เวินซิ่วอี๋เดินเข้ามาจากด้านนอกแล้วถามนาง “เหนียงเหนียงทำอะไร หายากที่ฝ่าบาทจะเสด็จมา เหตุใดท่านไม่พูดเรื่องของตนเอง แต่กลับเอาแต่ชมกุ้ยเฟยอย่างนั้นประจบประแจงแทนนางอีก”
ฮุ่ยเฟยเอนกายพิงหัวเตียงดื่มยาเสร็จก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบบนริมฝีปากช้าๆ แล้วตอบว่า “เจ้าไม่เข้าใจในวังหลวงแห่งนี้ การพูดจาว่าร้ายผู้อื่น…ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำต้องพูดแต่เรื่องดีเท่านั้น” เวินซิ่วอี๋เลิกคิ้วไม่เข้าใจความหมาย
ฮุ่ยเฟยพูดช้าๆ “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ฝ่าบาททั้งรัก ทั้งมีน้ำใจไมตรี ทั้งไร้ความปรานี ที่บอกว่าเขารักใคร่เขายังคงรักสนมแก่ๆ อย่างข้าอยู่บ้าง หากบอกเขาไร้ความปรานีผู้ที่เขารักอยู่ในใจมีแค่ตัวเขาเองเท่านั้น ดูข้าสิ อย่างแรกเป็นเพราะคำขอของกุ้ยเฟย สองคือข้ายังมีประโยชน์อยู่”
“มีประโยชน์งั้นหรือ” เวินซิ่วอี๋ยิ่งไม่เข้าใจ แววตาที่มองอีกฝ่ายอย่างสำรวจมีความดูถูกอย่างชัดเจน
ฮุ่ยเฟยแค่มองก็รู้แล้วจึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าไม่งดงามจึงดูถูกข้าใช่หรือไม่”
เวินซิ่วอี๋เม้มปากไม่พูดอะไร แต่ก็หมายความเช่นนั้น
ฮุ่ยเฟยหัวเราะ “เช่นนั้นข้าถามเจ้า ทุกคนในใต้หล้าล้วนทราบดีว่าเขารัก และโปรดปรานกุ้ยเฟยมาก เหตุใดถึงยังยกสนมที่ไม่เป็นที่โปรดปรานขึ้นมาเป็นครั้งคราวด้วย”
ไม่รอให้เวินซิ่วอี๋ตอบนางพูดต่อว่า “เจ้าคิดว่าเขารักผู้ใดใช่หรือไม่ หึ ใครห่วงใยเจ้าหรือไม่เจ้าสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง เขามานานเพียงนี้เห็นข้าป่วยเช่นนี้เห็นความเอาใจใส่จากเขาบ้างหรือไม่”
น้ำเสียงของฮุ่ยเฟยเย็นชา “แน่นอนว่ามีนิดหน่อยคงใช่ วังหลังมีคนมากมายเพียงนี้ ผู้เดียวที่เขารักจริงๆ คือกุ้ยเฟย แต่รักนี้ไม่บริสุทธิ์อย่างที่ผู้อื่นคิด เขามีความไม่ไว้วางใจที่อธิบายไม่ได้ต่อกุ้ยเฟย ดูเหมือนจะเชื่อว่านางจะไม่มีวันรักเขาซึ่งทำให้เขาตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา
ในฐานะฮ่องเต้ซึ่งอยู่ที่สูงจะถูกผู้อื่นทำให้หวาดกลัวได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้โดยไม่รู้ตัว โปรดปรานนางจนถึงที่สุด แต่ก็คอยจับตาดูนางเช่นกัน ฮุ่ยเฟยอย่างข้าจึงออกโรงเป็นครั้งคราวเพื่อให้กุ้ยเฟยรู้สึกถึงวิกฤติ และจำไว้เสมอว่าต้องทำให้เขาพอใจ”
เวินซิ่วอี๋ยังคงไม่เข้าใจนางพูดว่า “วังหลังช่างซับซ้อนจริงๆ”
ฮุ่ยเฟยยิ้ม “ที่นี่มีอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าจะไม่ซับซ้อนได้อย่างไร เมื่อครู่ข้ายกย่องกุ้ยเฟยเช่นนั้นเขาไม่เพียงแต่ไม่ดีใจ แต่ยังสงสัยในจุดประสงค์ของกุ้ยเฟยอีกด้วย ทุกคนต่างยกย่องนางแล้วฮ่องเต้ล่ะควรวางไว้ตรงไหนกัน”
เวินซิ่วอี๋เงียบอยู่นาน และพูดว่า “กุ้ยเฟยทำดีต่อท่าน ท่านทำเช่นนี้ไม่ดูเนรคุณไปหน่อยหรือ”
ฮุ่ยเฟยพูดเสียงเรียบเฉย “ในพระราชวังแห่งนี้มีความรักความเมตตาตรงไหน ฝ่าบาททรงสงสัยนางจึงไม่ได้นึกถึงความผิดของเฉิงเอ๋อร์ตลอดเวลาใช่หรือไม่”
……………