คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 555 ชักชวน
องค์ชายรองทำหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดีจริงๆ เมื่อออกจากจวนเขาก็ไม่ได้ก่อเรื่อง กลับไปก็อ่านตำราศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างดี หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็ให้ทหารเฝ้ายามส่ งข้อความไปถามไถ่อาการป่วยของฮุ่ยเฟย
ในฐานะบุตรนี่เป็นเรื่องที่ชอบธรรมหากเขาไม่ทำเช่นนั้นก็จะถูกฮ่องเต้ทอดทิ้งเพราะอกตัญญู
ผ่านไปครึ่งเดือนอาการป่วยของฮุ่ยเฟยก็หายเป็นปกติ เวลาได้เข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ ฤดูหนาวปีนี้ดูเหมือนจะหนาวเป็นพิเศษ ช่วงต้นฤดูหนาวกินเวลาหนึ่งเดือน และมีหิมะตกหลายครั้ ง
โชคดีที่หลายปีมานี้ฝนตกต้องตามฤดูกาล หยุนจิงเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก ภายใต้การจัดการดูแลของทางการ เหล่าตระกูลใหญ่ได้บริจาคข้าวต้ม และเสื้อผ้าเป็นจำนวนมาก งานราชการมีระเบ บียบฮ่องเต้จึงไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น และเสด็จไปวังหลังมากขึ้น แต่ที่แปลกคือผู้ที่เขาไปพบบ่อยๆ คือฮุ่ยเฟย ส่วนทางฝั่งกุ้ยเฟยกลับไม่ได้เสด็จไปหามากนัก
ทิศทางในวังหลวงเริ่มแปลกไปเล็กน้อย ฮุ่ยเฟยผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาเป็นเวลานานจู่ๆ ก็หยิ่งยโสโอหังด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ เหล่านางสนมที่ต่ำต้อยที่เคยไปที่ตำหนักเชียนชิวตอนนี้ต่างพ พากันไปหาฮุ่ยเฟยหมด
ฮุ่ยเฟยที่สูญเสียความโปรดปรานไปช่วงเวลาหนึ่งได้กลับมาเป็นที่สนใจอย่างมากอีกครั้ง
ฮ่องเต้รับเตาอุ่นมือจากฮุ่ยเฟยแล้วพูดว่า “เจ้าหายแล้วก็ดี อย่าทำตัวให้เหนื่อยอีก ตอนนี้สู้ในยามที่ยังเยาว์วัยไม่ได้หากป่วยขึ้นมาจะสูญเสียแรงไปมาก ทำให้ยากที่จะหายจากโร รค”
ฮุ่ยเฟยยิ้มอาจเป็นเพราะฮ่องเต้เสด็จมาหาบ่อย ช่วงนี้นางถึงดูมีชีวิตชีวา ดูอ่อนกว่าวัยหลายปี
“ฝ่าบาทเองก็ด้วยเพคะ อย่าว่าแต่หม่อมฉันเลย” นางเอื้อมมือไปกุมพระหัตถ์ฮ่องเต้แล้วพูดอย่างเสียใจว่า “ฝ่าบาทดูกลัวหน้าหนาวกว่าปกติ!”
ฮ่องเต้ส่ายหน้ารู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย “เจิ้นแก่แล้ว ฤดูร้อนกลัวร้อน ฤดูหนาวกลัวหนาวจะให้ทำอย่างไรได้”
แววตาของฮุ่ยเฟยเป็นประกายนางพูดว่า “ในเมื่อฝ่าบาทกลัวหนาว เช่นนั้นเหตุใดไม่ประทับที่พระราชวังนอกเมืองหลวงสักสองเดือนเล่าเพคะ เขาซิ่วชานมีน้ำพุร้อนซึ่งเหมาะสำหรับการพักฟื้น นรอจนถึงสิ้นปีค่อยเสด็จกลับเมืองหลวง ดีหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้ลังเลเล็กน้อย มีพระราชวังอีกแห่งที่เขาซิ่วชานซึ่งสร้างขึ้นในราชวงศ์ก่อน และถูกทำลายด้วยสงครามในเวลาต่อมา
เนื่องจากพระวรกายที่ไม่แข็งแรงหลังจากนั้นไท่จู่จึงได้สร้างพระราชวังอีกแห่งขึ้นใหม่เพื่อพักฟื้น ฮ่องเต้มักจะติดตามไท่จู่ไปที่เขาซิ่วชานจึงรู้ว่าฤดูหนาวที่นั่นอบอุ่นสบายมาก
เพียงแต่เขาขึ้นชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ที่ขยันขันแข็ง การละทิ้งราชกิจต่างๆ และเดินทางออกจากเมืองหลวงเป็นเวลาหลายเดือนเช่นนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสม
ฮุ่ยเฟยโน้มน้าวอีกครั้ง “ยี่สิบปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ ฝ่าบาทดูแลบริหารบ้านเมืองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ฤดูหนาวปีนี้หิมะตกหลายครั้ง แต่ไม่พบภัยพิบัติค ครั้งใหญ่ ฝ่าบาททรงงานหนักมาหลายปีไม่ได้ดูแลพระวรกาย หากอาการปวดพระเศียรของฝ่าบาทกำเริบอีกในฤดูหนาวเกรงว่าจะแย่นะเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าสิ่งที่เขากังวลคือความเจ็บป่วยของตัวเองซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงครึ่งปีแรก หลังจากเสร็จสิ้นงานพิธีกรรมไม่รู้ว่าเป็นเพราะขอพรต่อบรรพบุรุษหรือไม่ อาการถึงได้ด ดีขึ้นเยอะจากหลายปีที่ผ่านมางานยุ่งในช่วงปลายปีก็กลัวว่าอาการจะกำเริบขึ้นอีก
“ใกล้เดือนสิบเอ็ดแล้วยังมีหิมะตกหนักหลายครั้ง เกรงว่าจะเดินทางไม่สะดวกนัก”
ฮุ่ยเฟยยิ้ม “เขาซิ่วชานอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทางถนนเรียบมีคนเดินหิมะทุกวันจะเดินยากเพียงใดเชียว ฝ่าบาทเลือกวันที่มีแดดเดี๋ยววันนั้นก็มาถึง สองเดือนนี้เป็นช่วงที่หนาวที สุด ฝ่าบาทพักฟื้นแล้วค่อยกลับมาช่วงปีใหม่พระวรกายคงเบาสบายขึ้นนะเพคะ”
ครั้งนี้ฮ่องเต้รู้สึกหวั่นไหวเขาพูดว่า “เจิ้นจะคิดดูอีกที”
ฮุ่ยเฟยไม่พูดอะไรอีกแล้วเปลี่ยนไปพูดเรื่องอาหารของวันนี้จากนั้นส่งไปให้กุ้ยเฟย
หลังอาหารฮ่องเต้ขึ้นเสลี่ยงเดิมทีคิดจะกลับไปที่ท้องพระโรง แต่พอคิดดูอีกทีก็สั่งขันทีที่ยกเสลี่ยงว่า “ไปตำหนักเชียนชิว”
…………
เวินซิ่วอี๋ออกมา นางมองฮุ่ยเฟยที่นั่งหลับตาพิงพนักเก้าอี้แล้วถามว่า “เขาเห็นด้วยหรือไม่”
ฮุ่ยเฟยพูดโดยไม่ลืมตา “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
เวินซิ่วอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ท่านอาไม่ธรรมดาจริงๆ ซิ่วอี๋ยังคิดว่าท่านเงียบมาหลายปีคงจะลืมวิธีการเหล่านั้นไปแล้วเป็นข้าที่ประเมินท่านต่ำไป”
ฮุ่ยเฟยแค่นหัวเราะเสียงเบานางลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย “ข้าบอกเจ้าแล้ว วังหลังมีสติปัญญาในการเอาชีวิตรอดของวังหลังไม่สามารถประมาทได้”
“ใช่” เวินซิ่วอี๋พูดอย่างเชื่อฟัง “ข้าประมาทเอง”
เห็นนางเป็นเช่นนี้ฮุ่ยเฟยก็รู้สึกสบายใจในที่สุด
ตั้งแต่เวินซิ่วอี๋เข้ามาในวังเด็กคนนี้ได้ปฏิบัติต่อตนด้วยความเย่อหยิ่ง ในสายตาของนางฮุ่ยเฟยซึ่งมีอายุเกินครึ่งร้อยปี นอกจากสถานะที่สูงส่งแล้วดูไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้กร ระทั่งจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ยังไม่ง่าย เพื่อบุตรชายฮุ่ยเฟยทนได้ จะถูกรังแกก็ช่างไป แต่ผู้ใดจะไม่เต็มใจที่จะถูกประจบเล่า
เวินซิ่วอี๋คำนับนางแล้วพูดว่า “ก่อนจากเมืองหลวงข้าจะไปพบท่านพี่สักครั้ง ท่านอามีเรื่องอะไรอยากบอกท่านพี่หรือไม่”
ฮุ่ยเฟยตกใจ “เจ้าจะพบอย่างไร”
เวินซิ่วอี๋ยิ้มอย่างมั่นใจ “หากข้าอยากพบ ย่อมมีวิธี”
…………
ก่อนไปพระราชวังนอกเมืองหลวงเวินซิ่วอี๋กลับไปที่จวนตระกูลเวิน
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคืนนั้นนางเข้าไปในจวนขององค์ชายรองซึ่งถูกสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าออกได้ องค์ชายรองไปชื่นชมดวงจันทร์ที่ห้องหนังสือตามคำเชื้อเชิญของอาจารย์หง ทันทีที่เขาเข้ าไปเขาก็ได้พบสตรีในชุดคลุมซึ่งนั่งตรงข้ามกับอาจารย์หง
องค์ชายรองตกใจ และโพล่งออกมาว่า “เจ้าไม่ใช่…เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
เวินซิ่วอี๋ลุกขึ้นทำความเคารพเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์แล้วเรียกอีกฝ่ายว่า “ท่านพี่”
“…”
เมื่อเผชิญหน้ากับองค์ชายรองที่ตกตะลึง อาจารย์หงก็ลูบเคราของเขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางซิ่วอี๋เป็นสหายที่กระหม่อมพูดถึงพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองตกใจ
ครั้งก่อนที่เขาเข้าวังเขาเห็นสตรีผู้หนึ่งอยู่ข้างกายฮุ่ยเฟย ได้ยินว่าเป็นคุณหนูตระกูลเวิน เขาจึงพยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไร
ตระกูลเวินไม่มีผู้มีความสามารถจึงไร้อำนาจซึ่งเขาไม่ได้สนใจมันมากนัก จู่ๆ ก็มีน้องสาวเพิ่มขึ้นมาเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติ
“เจ้า…” เขาตกใจจนพูดไม่ออก
อาจารย์หง และเวินซิ่วอี๋มองหน้ากัน และอธิบายให้เขาฟังด้วยรอยยิ้มว่า
“องค์ชายโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย เมื่อเดือนก่อนแม่นางซิ่วอี๋ยืมนามตระกูลเวินเข้าวังเพื่อไปอยู่ข้างกายฮุ่ยเฟยที่ท่านสามารถออกจากจวนครั้งก่อนได้ ซิ่วอี๋มีส่วนอย่างมาก”
องค์ชายรองตระหนักในทันใด และรู้สึกซาบซึ้งต่ออาจารย์หง “อาจารย์วางแผนเพื่อข้านานเพียงนี้ บุญคุณครั้งนี้…หากวันหนึ่งข้าสมปรารถนาข้าจะไม่ลืมอาจารย์แน่นอน”
อาจารย์หงปลาบปลื้มใจ “สิ่งที่กระหม่อมทำทั้งหมดนี้คือเพื่อตอบแทนองค์ชาย อย่าพูดเรื่องบุญคุณเลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดเช่นนั้นองค์ชายรองยิ่งรู้สึกประทับใจ
อาจารย์หงพูด “ไม่ง่ายสำหรับซิ่วอี๋ที่จะมาที่นี่ องค์ชาย…พวกเรามาพูดเรื่องสำคัญกันก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองรินน้ำชาให้ด้วยตนเองแล้วกล่าวขอบคุณอาจารย์หง และเวินซิ่วอี
หลังคุยเรื่องไร้สาระกันเสร็จอาจารย์หงพูดว่า “องค์ชาย หากไม่มีอะไรผิดพลาด ขบวนรถของฝ่าบาทจะออกจากเมืองหลวงในไม่ช้านี้มุ่งหน้าไปพระราชวังอี๋ชุนที่เขาซิ่วชาน และจะประทับที่นั่ นจนถึงสิ้นปี”
องค์ชายรองสงสัย “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า ข้ามีความผิดติดตัวเสด็จพ่อไม่พาข้าไปอยู่แล้ว”
อาจารย์หงยิ้ม “นี่เป็นโอกาสขององค์ชายแล้ว! ท่านลองนึกดูฝ่าบาทไม่อยู่แล้วผู้ใดจะดูแลราชกิจแทน ถึงหลู่เซียงจะมีฝีมือเยี่ยม แต่ก็ต้องมีเจ้านายในนามด้วยไม่ใช่หรือ”
สีหน้าขององค์ชายรองมืดมนเขาพูดเสียงรอดไรฟันว่า “น้องสาม!”