คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 561 ก่อนเดินทาง
หยางชูเดินทางเข้าวังในวันรุ่งขึ้น เขาไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ท้องพระโรงก่อน
หลังจากรอสักครู่ฮ่องเต้ซึ่งได้สิ้นสุดการประชุมได้เรียกเขาเข้าเฝ้า
“ไม่ได้เจอเจ้าเสียนาน เหตุใดวันนี้ถึงว่างมาหาเจิ้นได้” การกลับเมืองหลวงครั้งนี้หยางชูไม่มีงานที่ต้องทำจึงมาที่วังน้อยลง
หยางชูยิ้มอย่างละอายใจแล้วพูดว่า “กระหม่อมมีเรื่องต้องขอร้องฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้อ่านฎีกาพลางพูดว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะขอจัดงานแต่งงาน เจ้าไปคุยกับท่านราชครูก่อน”
“…” หยางชูพูด “ไม่ใช่เรื่องนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ เจ้ามีเรื่องอื่นงั้นหรือ” ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นแล้ววางฎีกาลงด้วยความสนใจ
“พูดมาได้เลย”
หยางชูพูด “เมื่อไม่กี่วันก่อนจวนเวินกั๋วกงจัดงานชมดอกเหมยจึงส่งจดหมายเชิญไปที่ตระกูลจี้…”
ฮ่องเต้พยักหน้า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
“จากนั้นนางก็ไป! ผลกลับกลายเป็นว่าไม่รู้มีใครหน้าไหนได้ยินข่าวที่คล้ายกับว่าใช่ แต่ความจริงไม่ใช่ และพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับนางลับหลัง บอกว่าทั้งครอบครัวเป็นกบฏควรจะเข้าทำใ ในเจี้ยวฟาง[1] บอกว่าตอนเด็กโง่เขลาบ้างล่ะ แม้แต่ข้าวก็ทานไม่เป็น แล้วยังเป็นคุณหนูในห้องหอปฎิเสธความรับผิดชอบ ไม่เข้าใจมารยาทของเชื้อพระวงศ์แม้แต่น้อย”
ฮ่องเต้เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “สตรีหยาบคายแค่สั่งสอนไปก็พอ เจ้ามาหาเจิ้นเพราะเรื่องนี้หรือ” เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มันคุ้มค่ากับการรีบมาขอเข้าเฝ้าแต่เช้าหรือ
ฮ่องเต้อ่านฎีกาต่อปากพูดกับเขาไปว่า “เจ้านี่นะ! แม้จะเป็นสมาชิกในราชวงศ์ ชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องความมั่งคั่ง และเกียรติยศ แต่ก็ไม่สามารถพัวพันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับพวกสตรี ได้ หาสหายที่ดี หาอะไรทำฆ่าเวลาตามปกติเถอะ อย่าไปตามหลังพวกสตรีเลย”
หยางชูหดคอพลางตอบอย่างระวัง “ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ไม่มีอะไรแล้วก็ไปเถอะ”
หยางชูพูดทันทีว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้เงยหน้ามองเขา “ที่เจ้าต้องการพูดไม่ใช่เรื่องนี้หรือ”
“เป็นเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เรื่องที่กระหม่อมอยากร้องขอเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ฮ่องเต้ใกล้หมดความอดทน “งั้นรีบพูดมา”
“กระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาทจะเสด็จประพาสไปพระราชวังนอกเมืองหลวง…”
ฮ่องเต้ถามเขา “เจ้าอยากไปด้วยงั้นหรือ”
หยางชูรีบโบกมือ “ไม่ๆๆ พระราชวังนอกเมืองหลวงไม่มีอะไรน่าสนุก…” ดูเหมือนเขาหลุดปากพูดออกไปเขาจึงรีบเก็บอาการ มองดูฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง และเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธจึงพูดต่อ อย่างกล้าหาญว่า
“สตรีพูดจาเรื่อยเปื่อยพวกนั้นหัวเราะเยาะนางไม่ใช่หรือ กระหม่อมนึกย้อนกลับไป พอนางอาการหายดีมารดาก็จากโลกนี้ไปจึงไม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้มากนัก กระหม่อมเลยอยากขอร้องฝ่าบาทใ ให้นางตามไปเรียนรู้กับท่านน้าด้วยเถิด เมื่อถึงเวลานั้นจะได้ไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะนางอีก”
แน่นอนว่าวังหลวงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการเรียนรู้มารยาทยิ่งไปกว่านั้นเผยกุ้ยเฟยเกิดในตระกูลเก่าแก่ ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนไร้ที่ติ
หยางชูพูดถึงแผนการของเขา “ประจวบเหมาะกับฝ่าบาทจะเสด็จไปประพาสนอกเมืองหลวง ถือซะว่าให้นางตามไปปรนนิบัติท่านน้า พอนางกลับมาปลายปีนี้ ไม่ว่าจะพิธีสำคัญอะไรก็จะไม่ทำให้ล่าช้า แล้วยังช่วยปิดปากพวกสตรีพูดจาไร้สาระพวกนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถามเขา “นางไป แต่เจ้าไม่ไปสองเดือนที่ไม่พบกันเจ้าทนได้หรือ”
“ขอเพียงฝ่าบาทอนุญาตกระหม่อมจะไปพระราชวังนอกเมืองหลวงทุกๆ สามวัน…”
ฮ่องเต้พูดว่า “เจ้ามีแผนที่ดี เจิ้นกับกุ้ยเฟยไม่อยู่ที่นี่จึงไม่มีผู้ใดอยู่ควบคุมความบันเทิงของเจ้าที่นี่ได้ ตอนไปทักทายก็ไปพบนางได้ตามสบายอย่าทำตัวยืดเยื้อ” หยางชูหัวเราะแห้ งๆ ออกมา
ฮ่องเต้อ่านฎีกาต่อ “เอาเถอะ กลับไปเจิ้นจะบอกกุ้ยเฟยให้”
หยางชูดีใจ “ฝ่าบาททรงอนุญาตหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ “เจ้าพูดเช่นนั้น เจิ้นจะไม่รับปากได้อย่างไร อย่างไรนางจะเป็นว่าที่สะใภ้ในราชวงศ์จะให้ผู้อื่นมาพูดจาไม่ดีได้อย่างไรกัน”
อย่างไรก็ตามมารยาทควรสอนก่อนแต่งงานก็ถือเสียว่าเป็นการฝึกล่วงหน้าแล้วกัน
…………….
วันนั้น ขันทีเดินทางไปยังจวนตระกูลจี้ หมิงเวยที่รู้อยู่ก่อนแล้วจึงเริ่มเตรียมของ
สองวันต่อมา ขบวนเสด็จก็ออกเดินทางไปเขาซิ่วชาน หยางชู และอันอ๋องเดินทางไปส่ง เขาไม่คุ้นเคยกับกฎเกณฑ์จึงดึงตัวหมิงเวยไปพูดในที่ลับตาคนซึ่งไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
“ระวังตัวด้วย” หยางชูกระซิบกับนาง “พระราชวังนอกเมืองไม่ได้ปลอดภัยกว่าเมืองหลวง”
หมิงเวยพยักหน้า “ข้าจะติดตามกุ้ยเฟยอย่างใกล้ชิดปกป้องนางให้ปลอดภัยเจ้าค่ะ”
“ท่านเองก็ระวังตนเองด้วย เรื่องอื่นเป็นเรื่องรองคนปลอดภัยก็พอแล้ว”
“ท่านเองก็ด้วยเจ้าค่ะ” ทั้งสองพูดคุยกันอีกไม่กี่คำก็แยกย้าย
ก่อนที่จะขึ้นรถเวินซิ่วอี๋ก็เดินเข้ามาทำความเคารพนาง และกล่าวทักทายว่า
“คุณหนูหมิงไม่คิดว่าท่านเองก็ไปด้วย ดีจริงๆ!” จากนั้นก็ถามด้วยความกังวล “ข้าขอไปเล่นกับท่านด้วยได้หรือไม่”
หมิงเวยทำความเคารพกลับแล้วตอบว่า “คุณหนูเวินเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าเดินทางไปพระราชวังนอกเมืองหลวงไม่มีคนรู้จัก หากมีคุณหนูเวินอยู่ด้วยยิ่งดีเลย”
เวินซิ่วอี๋มีท่าทีเขินอาย “ข้าขอเรียกท่านว่าพี่สาวได้หรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้า
เวินซิ่วอี๋ยิ้ม และมองนางอย่างชื่นชม “ภาพหิมะที่เขาเชียนซานวันนั้นได้เปิดโลกทัศน์ของซิ่วอี๋ หลังจากนั้นข้าได้ไปสอบถามเรื่องราวของพี่สาว ถึงได้รู้ว่าพี่สาวเก่งกาจเพียงน นี้น่าทึ่งมากจริงๆ!”
จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับคดีที่ตงหนิง และพูดคุยเรื่องการแข่งขันชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของเสวียนตูกวัน คำพูดของนางเต็มไปด้วยความชื่นชม และความปรารถนาที่มีต่อเคล็ดวิชา
หมิงเวยฟังด้วยรอยยิ้มปล่อยให้นางพูดเจื้อยแจ้วจนกระทั่งถึงเวลาออกเดินทางจึงกล่าวลากับตนอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเวินซิ่วอี๋จากไปตัวฝูก็พูดว่า “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเวินคิดจะทำอะไร เมื่อครู่กลิ่นอายของเสี่ยวไป๋รั่วไหลออกมาเล็กน้อย ข้าเห็นเปลือกตาของนางกระตุกแต่แสร้งทำเป็นไม่มีอะไ ไรเกิดขึ้นเจ้าค่ะ”
“หมายความว่านางเป็นคนที่สุดยอดมาก” หมิงเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือที่ถูกนางกุม จากนั้นก็ยกผ้าขึ้นมาดม “ไม่มีสีไม่มีกลิ่นสมแล้วที่เป็นวิชาลับของสำนักหมอผี”
ตัวฝูตกใจ “นางวางยาหรือเจ้าคะ”
“ก็แค่เกสรดอกไม้เล็กน้อย” หมิงเวยอธิบายเสียงเบา “ตอนแรกข้าคาดเดาที่มาของนางไม่ได้ แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้ว”
ตัวฝูรู้สึกสับสน “นางเป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ”
“เป็นคนจากสำนักหมอผี”
“สำนักหมอผีหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยพยักหน้า “สำนักหมอผีมาจากเหยาหรือชุ่น[2] ซึ่งสืบทอดวิชาหมอผี หมอผีผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตนั้นเชี่ยวชาญในการอัญเชิญวิญญาณ คำสาป ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และการอธิษฐานขอพร บูชาค คนไม่ต่างจากเทพเจ้า แต่หลังจากผ่านไปหลายพันปีการสืบทอดถูกตัดขาดหลายครั้ง และตอนนี้สิ่งเดียวที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้คือการใช้คาถาทำร้ายมนุษย์”
นางเขย่าผ้าเช็ดหน้าในมือ “เกสรดอกไม้นี้ใช้ควบคุมสัตว์พิษ นางให้เกสรติดร่างกายข้าหมายความว่านางคิดจะติดตามร่องรอยของข้า”
ตัวฝูตกใจ และถามนางอย่างเป็นกังวล “สัตว์พิษหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยยิ้ม “ไม่ต้องกลัวสัตว์พิษมีค่ามาก นางไม่ปล่อยออกมาตามใจชอบหรอก อีกอย่างตัวเจ้ามีกลิ่นอายอสูรที่แข็งแกร่งอยู่สัตว์พิษพวกนั้นต้องกลัวเจ้าอยู่แล้ว นางไม่สามารถลงมือกั บเจ้าได้”
“แต่ว่าคุณหนู…”
หมิงเวยพับผ้าเช็ดหน้าใส่ในกระเป๋าเงิน จากนั้นก็หยิบยาเม็ดออกมาทำให้ละลายเป็นน้ำแล้วเช็ดกับมืออยู่หลายครั้ง
“ถึงแม้ว่าสมุนไพรของสำนักหมอผีจะไร้สีไร้กลิ่น แต่ก็มีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง” นางย่นจมูกด้วยความรังเกียจ “หากทิ้งไว้นานจะเหนียวเล็กน้อยนางคิดว่าข้าใช้น้ำผึ้งทามือหรืออย่างไ ไร อันที่จริงข้าไม่ชอบการสัมผัสด้วยมือ”
“….”
ตัวฝูเงยหน้าขึ้น และเห็นว่าเวินซิ่วอี๋ขึ้นรถม้าไปแล้ว และนางในข้างกายเผยกุ้ยเฟยก็มารับพวกนางแล้วเช่นกัน
…………………
[1] เจี้ยวฟาง : มีลักษณะเป็นสถานเริงรมย์ ซึ่งเหล่าบัณฑิตได้มาพบปะ ชมการแสดง อ่านบทกวี ฯลฯ ไม่ใช่เพื่อสนองความต้องการทางเพศเป็นหลัก
[2] เหยา/ชุ่น : กษัตริย์ที่ทรงปัญญาในอดีต