คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 562 ออกเดินทาง
เวินซิ่วอี๋ขึ้นรถม้าคันใหญ่ ฮุ่ยเฟยเอนกายบนหมอนนุ่มแล้วถามนางว่า “เจ้าไปคุยกับคุณหนูหมิงมาหรือ”
“เจ้าค่ะ” เวินซิ่วอี๋เอ่ยขอน้ำร้อนนางพูดไปพลางเช็ดมือไปว่า “อยากตรวจสอบนางสักหน่อย”
“แล้วตรวจสอบได้อะไรบ้าง”
เวินซิ่วอี๋ส่ายหน้า “ยังหาไม่เจอ แต่นางดูเหมือนเสวียนชื่อที่แท้จริง”
ฮุ่ยเฟยพูด “ในเมื่อเป็นเสวียนชื่อที่แท้จริงแล้วเหตุใดถึงตรวจสอบไม่พบล่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ” เวินซิ่วอี๋พูด “ทุกๆ สำนักจะมีด้านที่ตนเน้นความสำคัญ อย่างเช่น เสวียนตูกวันเชี่ยวชาญในเรื่องการดูดาว และยันต์ แต่ว่าจากข่าวที่ข้าได้ยินมา และจาก การสังเกตของข้า สิ่งที่นางสามารถทำได้ล้วนทำหมดแล้ว ยังไม่มีอะไรพิเศษ”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งนางพูดอีกว่า “วรยุทธ์ค่อนข้างแปลก เชี่ยวชาญในคลื่นเสียง เพียงแต่ไม่ได้เห็นกับตาเลยแยกแยะไม่ออก”
ฮุ่ยเฟยเตือน “เจ้าอย่าไปจดจ่อกับนางมากจนลืมเรื่องสำคัญล่ะ”
เวินซิ่วอี๋ไม่เห็นด้วย “การแน่ใจในที่มาของนางก็เป็นเรื่องสำคัญมีคนเช่นนี้อยู่ข้างกายกุ้ยเฟยทำให้ข้าลงมือไม่ได้แล้วข้าจะช่วยอย่างไร”
ฮุ่ยเฟยถูกคำพูดของนางดักไว้ ท่าทีของฮุ่ยเฟยจึงอ่อนลงนางกุมมืออีกฝ่ายแล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ซิ่วอี๋ ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
เวินซิ่วอี๋ยิ้มราวกับออดอ้อนป้าของตนจริงๆ นางเอนตัวพิงอีกฝ่ายแล้วพูดว่า
“ตอนนี้พี่ใหญ่มีอุปสรรคสองอย่างคือ อันอ๋อง และกุ้ยเฟย หลังจากฝ่าบาทเสด็จแล้วทางฝั่งพี่ใหญ่จะโจมตีอันอ๋อง ส่วนพวกเราอาศัยโอกาสที่การรักษาความ ปลอดภัยไม่เข้มงวดเท่าในพระราชวั งคิดหาวิธีทำให้กุ้ยเฟย…สูญเสียความ โปรดปราน ความผิดของพี่ใหญ่ก็จะเบาบางลง เมื่อถึงเวลานั้นนอกจากพี่ใหญ่แล้วฝ่าบาทจะไม่เห็นโอรสองค์ไหนเหมาะสม และปล่อยพี่ใหญ่ไปแต่โดยดี”
ฮุ่ยเฟยพยักหน้า “ข้าจะเชื่อฟังเจ้า”
เวินซิ่วอี๋ยิ้ม และโอบกอดนาง “ท่านป้าดีจริง”
สิ่งที่ฮุ่ยเฟยมองไม่เห็นก็คือความเยือกเย็นในสายตาของนาง แน่นอนว่านางจะไม่บอกฮุ่ยเฟยถึงสถานการณ์ที่แท้จริง ให้ฮุ่ยเฟยสังหารฮ่องเต้นางจะกล้าหรือ
สู้โกหกนางไปไม่ดีกว่าหรือให้คิดว่าคนที่พวกเขาต่อกรอยู่คือเผยกุ้ยเฟย ฮุ่ยเฟยจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยนางอย่างแน่นอน
…………
ขบวนเสด็จออกเดินทางแล้ว หมิงเวยขึ้นรถม้าคันใหญ่ของเผยกุ้ยเฟย รถม้าแห่งนี้มีขนาดใหญ่ราวกับห้องๆ หนึ่งที่สามารถเคลื่อนไหวได้
เผยกุ้ยเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างกายมีนางในคนหนึ่งกำลังจุดเครื่องหอม อีกคนกำลังชงชา เมื่อหมิงเวยขึ้นมานางจึงยิ้มและกวักมือเรียก
“เหนียงเหนียง” ยังไม่ทันย่อกายทำความเคารพเสร็จก็ถูกอีกฝ่ายรั้งให้มานั่งข้างกาย
“เหตุใดถึงสวมเสื้อผ้าบางเช่นนี้ มือเย็นหมดแล้ว” เผยกุ้ยเฟยตะโกนเสียงดัง
“ไปเอาเตาอุ่นมือมา เติมถ่านให้แรงขึ้นหน่อย”
หมิงเวยรีบบอกว่า “เหนียงเหนียง หม่อมฉันไม่กลัวหนาวเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยไม่ฟัง แต่ตบมือนางกลับเบาๆ “เป็นสตรีควรใส่ใจให้ความอบอุ่น ไม่อย่างนั้นอนาคตจะลำบากเอา”
จากนั้นก็ให้นางในนำเสื้อขนสัตว์ออกมา “…ขนจิ้งจอกขาวนั่น เอามาด้วยหรือไม่”
นางในลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เหนียงเหนียง ขนจิ้งจอกขาวนั่นเป็นของที่ฝ่าบาทพระราชทาน…”
เผยกุ้ยเฟยพูดว่า “เปิ่นกงไม่ได้มีแค่ขนจิ้งจอกขาวนั่น ไปเอามา”
นางในจำต้องตอบรับไป “เพคะ”
หมิงเวยมองพวกนางที่กำลังวุ่นวายก็พูดอย่างละอายใจ “เหนียงเหนียง หม่อมฉันมีเสื้อขนสัตว์เพคะ หม่อมฉันไม่กลัวหนาวแลยไม่ได้ใส่”
“ถึงมีก็รับไปเถอะ” เผยกุ้ยเฟยไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ “ถือเสียว่าเปิ่นกงให้เป็นรางวัล”
นางในนำขนจิ้งจอกขาวมาอย่างรวดเร็วเผยกุ้ยเฟยสวมให้นางด้วยรอยยิ้ม
“เป็นสตรีควรแต่งตัวให้ดีกว่านี้ เจ้าเกิดมางดงามเพียงนี้ แต่ไม่แต่งตัวให้สวยงาม ไม่ละอายใจต่อใบหน้าที่มารดาให้มาหรือ”
หมิงเวยยิ้ม เผยกุ้ยเฟยอารมณ์ดีจึงให้นางในค้นหาเสื้อผ้า และเครื่องประดับที่เข้ากันมาอีก เส้นทางช่างน่าเบื่อดังนั้นหมิงเวยจึงเออออคล้อยตามนางไป ภายในรถม้าจึงมีเสียงหัวเราะดังขึ้ นเป็นครั้งคราว
ฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหน้าได้ยินเสียงจึงถามขันทีไปว่า “กุ้ยเฟยหรือ มีเรื่องอะไรเหตุใดถึงได้หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนั้น”
ว่านต้าเป่าเลิกม่านถามหลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ตอบว่า “ทูลฝ่าบาท กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงกำลังสนทนากับคุณหนูหมิงพ่ะย่ะค่ะ…”
เขาพูดอีกครั้ง และฮ่องเต้ก็หัวเราะ “คิดถูกจริงๆ ที่พานางมาด้วย กุ้ยเฟยไม่ได้มีความสุขเช่นนี้มานานแล้ว”
ว่านต้าเป่าเห็นด้วย “คุณหนูหมิงเป็นผลไม้แห่งความสุขของเหนียงเหนียงจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พูด “แน่นอน นางไม่ทำอะไรกุ้ยเฟยก็มีความสุข!”
คำเหล่านี้ดูเหมือนจะมีความหมาย แต่หลังจากที่ฮ่องเต้กล่าวจบเขาก็อ่านฎีกาต่อ ว่านต้าเป่าจึงไม่พูดอะไรอีก
ต่อมาหมิงเวยสวมเสื้อจนเหงื่อท่วมตัวกุ้ยเฟยจึงเชื่อว่านางไม่หนาวแล้วสั่งให้นางในรินชาจากนั้นก็คุยเล่นกับนาง
“พวกเจ้าไปเถอะ เปิ่นกงจะคุยกับคุณหนูหมิง เหนื่อยแล้วว่าจะนอนพักสักหน่อย”
นางในลังเล “เหนียงเหนียง แต่ท่านจะไม่มีคนคอยปรนนิบัติข้างกาย”
เผยกุ้ยเฟยชี้ไปทางหมิงเวย และบ่าวรับใช้ของนาง “แล้วพวกนางไม่ใช่คนหรือ”
ตัวฝูฉลาดมากนางพูดทันทีว่า “พี่สาวทั้งสองวางใจได้ข้าจะอยู่รับใช้ทางนี้เอง หากมีอะไรที่ทำไม่ได้จะออกไปเรียกพวกท่าน” ได้ยินดังนั้นนางในทั้งสองจึงถอยออกไป
ภายในรถม้าคันใหญ่ตกอยู่ในความเงียบ เผยกุ้ยเฟยรอสักครู่พอเสียงกีบม้าดูเหมือนจะไกลออกไปจึงเปิดปากพูดขึ้นว่า “พูดได้หรือยัง”
หมิงเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เผยกุ้ยเฟยถาม “เจ้าไม่วางใจ เป็นห่วงเปิ่นกงจึงตั้งใจมาด้วยหรือ”
“เพคะ”
เผยกุ้ยเฟยพูด “เจ้าระแวงเกินไปแล้ว คุณหนูเวินผู้นั้นข้าจับตาดูแล้ว แต่ไม่เห็นนางทำอะไรผิดปกติเลย” หมิงเวยส่ายหน้า
เผยกุ้ยเฟยเลิกคิ้ว “ทำไม..มีเรื่องอื่นหรือ”
“เพคะ” หมิงเวยตัดสินใจบอกความจริงกับเผยกุ้ยเฟย “พวกเราสงสัยว่าจุดประสงค์ของพวกเขาอาจเป็นการปลงพระชนม์ฮ่องเต้เพคะ”
“อะไรนะ” เผยกุ้ยเฟยมือสั่นขนมอบที่นางหยิบเมื่อครู่กลิ้งตกลงไป
หมิงเวยพยักหน้าบอกให้รู้ว่านางได้ยินไม่ผิด เผยกุ้ยเฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความรู้สึกยากที่จะเชื่อ “พวกเขากล้าได้อย่างไร”
หมิงเวยพูดเสียงเบา “นี่เป็นการคาดเดาของพวกเราซึ่งอาจไม่ถูกต้องก็เป็นได้ แต่อาจารย์ฟู่เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงมากเพราะฉะนั้นพวกเราควรระวังตัวเข้าไว้เพคะ”
เผยกุ้ยเฟยครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มันก็เป็นไปได้ หมากในมือองค์ชายรองมีไม่มาก ครึ่งปีมานี้อันอ๋องก็ทำตัวดีคงยิ่งทำให้เขารู้สึกเสียเปรียบ”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยกำลังสับสนนางคิดวุ่นวายไปหมด แต่ก็ได้ยินหมิงเวยถามนางว่า
“เหนียงเหนียง หากเป็นเช่นนั้นจริง ท่าน…หวังจะให้หม่อมฉันหยุดหรือไม่เพคะ”
เผยกุ้ยเฟยตกใจ และสับสน หากไม่หยุดยั้งเขาก็ตาย และตนจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์นี้ แต่หากเป็นเช่นนั้นละก็…
เผยกุ้ยเฟยสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้สติ “หยุดยั้งก่อน”
หมิงเวยจ้องมองนาง “ทำไมหรือเพคะ”
“ยังไม่ถึงเวลา” เผยกุ้ยเฟยพูดอย่างใจเย็น “พลังของพวกเจ้าส่วนใหญ่ซ่อน ตัวอยู่ในความมืด หากคิดจะจบเรื่องนี้ตอนนี้ยังยากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นการปลงพระชนม์ฮ่องเต้ง่ายต่อการที่ ชื่อเสียงจะแปดเปื้อนถึงตอนนั้นคงพูดอะไรไม่ได้”
“แต่เหนียงเหนียง…หากว่าเขาตายท่านจะสามารถจบชีวิตที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้ทันทีนะเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยพูดเสียงเรียบ “ข้าทนมายี่สิบปีแล้วเวลายังน้อยไปหรือ ในเมื่อทำไปแล้วก็ต้องทำอย่างหมดจดเพื่อไม่ให้มีภัยพิบัติตามมาในภายหลังได้”