คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 563 พระราชวังนอกเมืองหลวง
อันอ๋องรู้สึกหวาดกลัวมาก ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาเขาได้ศึกษาเรียนรู้กับอาจารย์อย่างเคร่งครัด
ไม่เคร่งครัดไม่ได้ พอไม่มีพี่ชายสองคนขวางอยู่ข้างหน้า ฮ่องเต้ก็จับจ้องมาที่เขา และเรียกเขามาทบทวนวิชาเรียนทุกสองวัน เขาได้แต่ไม่กล้าทำตัวเช่นนั้นเหมือนตอนเด็กอีก เขาเรียนและเรียน เดิมทีเขาอ่านหนังสือแล้วเข้าใจยาก แต่ก็พอรู้เรื่องขึ้นมาเล็กน้อย
พอรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นเล็กน้อย จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตัดสินใจเสด็จประพาสพระราชวังนอกเมืองแล้วให้เขาว่าราชการแทนชั่วคราว
อันอ๋องตกตะลึง
เขามีความก้าวหน้าด้านการเรียนก็จริง แต่ในเรื่องของงานราชการ เขายังงงอยู่เลย! บางครั้งในตอนที่ฮ่องเต้ประชุมขุนนางก็เรียกให้เขามาฟังอยู่ข้างกายซึ่งเขาฟังก็สับสนมึนงง
เรื่องนี้เขาหาใครมาพูดแทนไม่ได้ พวกคุณชายเจ้าสำราญรอบตัวเขาทั้งวันไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้ อันอ๋องเข้าใจดีไม่ว่าเขาจะก่อกวนแค่ไหนก็ตาม และเหล่าขุนนางที่ส่งมาอยู่กับเขา เขาก็ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม
หลังจากคิดดูแล้วดูเหมือนว่าจะมีแค่หลานชายคนโตที่เขาสามารถระบายความในใจด้วยได้
หยางชูพูดกับเขาว่า “ท่านจะไปกลัวอะไร ระดับของท่านฝ่าบาทจะไม่ทรงทราบหรือ หลู่เซียงจะไม่ทราบหรือ ท่านคิดว่าพวกเขาคาดหวังจากท่านมากแค่ไหนกัน”
อันอ๋องพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเข้าใจความรู้สึกนี้เมื่อนั่งอยู่ที่ตำหนักเหวินฮวา ทุกคนต่างคาดหวังกับเจ้ามาก แม้จะรู้ว่าระดับของเจ้าต่ำ แต่ก็ยังหวังว่าเจ้าจะเป็นหยกที่ยังไม่ได้เจียระไน พอให้คำชี้แนะก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง ทุกครั้งที่อาจารย์ถามข้าว่าเข้าใจหรือไม่ พอข้าส่ายหน้าเขาก็ทำหน้าผิดหวังมาก”
อันอ๋องไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นไปไม่ได้ที่คนผู้หนึ่งจะเป็นพญานกที่ร้องเพียงครั้งเดียว ทำคนตะลึงงัน[1] หลังจากที่เขาพลาดช่วงเวลาเรียนที่ดีที่สุดตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ถ้าสมองไม่ได้ใช้ก็ขึ้นสนิมการเรียนรู้เหมือนการพายเรือทวนน้ำ ไม่คืบหน้าก็ถอยหลัง ช่วงเวลาที่เราเสียไปจะโจมตีกลับมา และหากพลาดก็จะต้องใช้เวลา และกำลังกายใจมากขึ้นเพื่อชดเชย
หยางชูเงียบ เขาไม่เข้าใจความรู้สึกนี้จริงๆ
ท่านปู่ท่านย่าไม่เคยมีความคาดหวังเช่นนั้นจากเขา ตอนที่เขาเรียน ท่านย่าบอกว่าขอเพียงเข้าใจมารยาทก็ดีแล้ว
ทักษะที่แท้จริงของเขาได้รับการสอนโดยท่านปู่กับท่านย่า บางครั้งเขาเรียนรู้เร็วเกินไปกลับทำให้พวกเขารู้สึกยุ่งเหยิง
ในตอนนั้นหยางชูไม่เข้าใจ แต่หลังจากที่รู้ภูมิหลังของตัวเองแล้วเขาจึงเข้าใจความคิดของพวกเขา หากไม่สอนก็รู้สึกเหมือนทำให้เขาลำบาก แต่พอเห็นเขาเรียนรู้ได้ดีเพียงนี้ก็รู้สึกเสียดาย
น่าเสียดายที่เขาถูกกำหนดให้เป็นคุณชายเจ้าสำราญ สิ่งที่เรียนรู้ไปกลับไม่ได้เอาออกมาใช้
หยางชูทิ้งความทรงจำของเขาออกไปแล้วพูดว่า “ท่านจะคิดเยอะเพียงนั้นไปทำไมกัน อย่ากังวลไปเลย หลู่เซียง และคนอื่นๆ รู้ดีว่าการบริหารราชการชั่วคราวคือการให้ท่านได้เรียนรู้ ท่านก็ทำตัวเรียนรู้ไว้เวลาพวกเขาพูดท่านก็ฟัง ไม่เข้าใจก็ถามอย่างไรก็มีคนตีแผ่ออกมาหมด ท่านจะกลัวไปทำไมเล่า ไม่มีผู้ใดว่าอะไรท่านอยู่แล้ว”
อันอ๋องเกาศีรษะ “ดูเหมือนว่าจะใช่…”
หยางชูสอนเขาว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ท่านบอกกับทางราชสำนักว่าท่านไม่เคยสัมผัสกับงานราชการมาก่อนยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้พวกเขาส่งคนหนึ่งคนมาทุกวันเพื่ออธิบายเอกสารฎีกาเหล่านี้กับท่าน หากท่านมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ พวกเขาไม่มีทางไม่ไว้หน้าท่านหรอกจริงหรือไม่”
“ได้ๆๆ” อันอ๋องพยักหน้ารัวๆ “ให้เข้าไปว่าราชการ ข้ายอมเข้าเรียนดีกว่า หากข้าพูดออกมาก่อนพวกเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้”
พอคิดหาวิธีจัดการได้แล้วเขาก็ดึงแขนเสื้อของหยางชูอีกครั้ง “ไปกับข้า!”
หยางชูกลอกตา “ข้าไปมันไม่เหมาะ”
“แต่ไม่มีผู้ใดมากับข้า ข้าอึดอัด!”
“ท่านทำตัวให้ชินสิ!”
“ไม่เอาๆ แค่ข้าเห็นพวกเขาก็อยากไปถ่ายเบาแล้ว”
“เฮ้อ…” ในที่สุดอันอ๋องก็ลากหยางชูไป
หลู่เซียงเข้ามาเห็นหยางชูก็เลิกคิ้ว หยางชูกระตุกมุมปากแล้วพูดอย่างคนไม่มีทางเลือก “ข้ามาให้กำลังใจ พวกท่านตามสบายเลย”
จากนั้นก็ให้ขันทียกเก้าอี้มาแล้วนั่งอ่านหนังสือภาพที่มุมห้อง ซื่อเซียงจางถานเลิกคิ้วแล้วหันไปทางหลู่เซียงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม ผู้อาวุโสกวาดตามองทำให้เขาหันไปเห็นอันอ๋องที่นั่งกระสับกระส่าย จางถานชะงักแล้วถอนสายตากลับ
พวกเขาค่อนข้างผิดหวัง
พวกเขารู้ว่าอันอ๋องไม่มีความรู้หรือประสบการณ์มาก่อน แต่เหมือนที่อันอ๋องกล่าวไปก่อนหน้านี้ พวกเขายังคงหวังว่าเขาจะเป็นหยกที่ยังไม่ได้เจียระไน พวกเขาคาดหวังไว้สูงเกินไปจึงไม่เป็นที่พอใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกจิตตก
เมื่อการประชุมเริ่มต้นขึ้นเป็นอย่างที่หยางชูบอก ส่วนใหญ่พวกเขาจะพูดคุยกันเอง เพียงแต่มีอันอ๋องอยู่ในที่นี้ด้วย พวกเขาจะอธิบายบางสิ่งโดยละเอียดมากขึ้นเพื่อให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้นแล้วถามความเห็นของเขา
หลังจากนั่งจนถึงช่วงบ่าย การประชุมก็จบลง อันอ๋องถึงได้กล้าพูดประโยคนั้นออกไป
แววตาของหลู่เซียงอ่อนลง และพูดว่า “ท่านอ๋อง ทางราชสำนักปฏิบัติหน้าที่ทุกวัน เมื่อถึงเวลาจะช่วยท่านจัดการงานราชการ ท่านอ๋องไม่ต้องกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ”
อันอ๋องถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อทุกคนแยกย้าย จางถานมองไปที่มุมห้อง เห็นว่าเยวี่ยอ๋องดึงหนังสือภาพที่ปิดใบหน้าออกเขาหาวขึ้นมาแล้วถามว่า
“พวกท่านคุยจบแล้วหรือ ทานข้าวได้หรือยัง”
…………
ขบวนเสด็จมาถึงพระราชวังอี๋ชุนในช่วงเย็น พระราชวังแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมายี่สิบปีแล้วจึงดูค่อนข้างเก่า โชคดีที่ได้รับการบำรุงรักษา และซ่อมแซมจึงไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัย
เผยกุ้ยเฟยลงจากรถม้า และเห็นความเขียวขจีจากบริเวณโดยรอบก็แย้มยิ้ม
“อบอุ่นกว่าเมืองหลวงจริงๆ”
หมิงเวยพยักหน้า “อากาศชุ่มชื้นมากเพคะ”
“น้องสาว” ฮุ่ยเฟยเองก็ลงจากรถม้าแล้ว
เผยกุ้ยเฟยทักทายนางด้วยรอยยิ้มแล้วถามว่า “พี่สาวรู้สึกอย่างไรบ้าง อากาศบนเขาซิ่วชานนั้นแตกต่างจากในเมืองหลวงมาก!”
ฮุ่ยเฟยดูมีความสุขมาก “สบายกว่าเมืองหลวงมาก คนอายุมากอย่างข้ากลัวฤดูหนาว ทั้งหนาวทั้งแห้งรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง ตอนนี้ดีขึ้นแล้วไม่จำเป็นต้องสวมขนสัตว์อีก”
เวินซิ่วอี๋ติดตามข้างกายฮุ่ยเฟยเมื่อเห็นหมิงเวยจึงเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นพวกนางก็เข้าไปในพระราชวังจัดการที่พักของตนเอง ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด
หมิงเวยพักที่ตำหนักหลิงซีกับเผยกุ้ยเฟยซึ่งเป็นตำหนักเล็กๆ ที่แยกออกมา ที่นี่เป็นสถานที่สำหรับชมทิวทัศน์ เมื่อเปิดหน้าต่างสามารถมองเห็นพระราชวังอี๋ชุนได้ทั้งหมด นางรู้ดีว่าเผยกุ้ยเฟยจงใจจัดเตรียมเพื่อที่จะให้นางสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
หลังจากเดินทางมาหนึ่งวันเต็มๆ ทุกคนรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงจัดสัมภาระอยู่หนึ่งชั่วยามแล้วรีบทานข้าวพักผ่อน หมิงเวยจัดของอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ให้เสี่ยวไป๋เฝ้ายาม และตามไปนอน
เมื่อตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่างแล้ว หมิงเวยไปที่ห้องโถงหลัก เผยกุ้ยเฟยตื่นนานแล้ว และเรียกนางให้มาทานอาหารด้วยกัน
หมิงเวยถามว่า “ไม่ต้องรอฝ่าบาทหรือเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยพูดอย่างไม่ใส่ใจ “หากฝ่าบาทจะมาต้องส่งคนมาแจ้งแล้ว เจ้าทานอย่างสบายใจเถอะ”
แต่ครั้งนี้เผยกุ้ยเฟยเดาผิด เมื่อทานไปได้ครึ่งหนึ่งฮ่องเต้ก็เสด็จมาจริงๆ เขาถามทั้งรอยยิ้ม “ดูเหมือนเจิ้นจะมารบกวนพวกเจ้า”
เผยกุ้ยเฟยออกมาต้อนรับเขา “ฝ่าบาทเสวยอาหารเช้าหรือยังเพคะ”
“เดิมทีข้าอยากทานกับสนมรักไม่คิดว่าสนมรักจะไม่รอเจิ้น” ฮ่องเต้หัวเราะและตรัสว่า “พวกเจ้าทานต่อเถอะ เจิ้นขอข้าวต้มชามเดียวก็พอ”
ถึงพูดเช่นนั้นนางในจะกล้าปฏิบัติเช่นนั้นต่อฮ่องเต้ได้อย่างไรอาหารเช้าอีกชุดถูกนำมาถวายอย่างรวดเร็ว
หลังอาหารเช้า ฮ่องเต้ และเผยกุ้ยเฟยออกไปเดินเล่น เดิมทีหมิงเวยคิดจะติดตามไปด้วยไม่คิดว่าเวินซิ่วอี๋จะมาหานาง นางจึงต้องอยู่เข้าสังคม และให้ตัวฝูตามออกไปแทน
………………
[1] ร้องเพียงครั้งเดียว ทำคนตะลึงงัน : คนเก่งที่มีความสามารถอยู่เต็มตัว แต่ปกติธรรมดาอาจไม่มีใครรู้เพราะไม่ได้เผยตัวแสดงออก แต่ถ้าได้แสดงความสามารถมาเมื่อใด ก็จะทำให้คนรอบข้างตะลึงถึงความเก่งหรือความสามารถอันนั้นเป็นอย่างมาก