คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 565 สงสัย
เป็นเจี่ยงเหวินเฟิงจริงๆ ในเมื่อพบกันแล้วก็เข้าไปทักทายเสียหน่อย
“ใต้เท้าเจี่ยง!”
เจี่ยงเหวินเฟิงกำลังจ้องมองไปที่หิมะ และเมื่อหันกลับมาเห็นว่าเป็นเขาก็คำนับทักทาย “คารวะเยวี่ยอ๋อง”
หยางชูลงจากหลังม้า และเหวี่ยงบังเหียนให้อาสวนแล้วถามว่า “เช้าเพียงนี้ท่านกำลังทำอะไรหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมีเหลยหง และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ซึ่งต่างก็ยุ่งอยู่กับหิมะ
“พวกเราได้รับรายงานในตอนเช้า” เจี่ยงเหวินเฟิงพูดแล้วเปิดทางให้พวกเขาดู
หยางชูเห็นรอยเปื้อนสีแดงบนพื้นซึ่งดูเหมือนจะเป็นเลือด
“คดีฆาตกรรมหรือ”
“อืม”
หยางชูตบหน้าผาก “ผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนี้ล้วนแต่เป็นขุนนางชนชั้นสูง แล้วผู้ใดคือผู้โชคร้ายกัน”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบ “ผู้ตรวจการของกองกำลังรักษาพระองค์”
หยางชูตกตะลึง “กองทหารรักษาพระองค์งั้นหรือ”
“ใช่แล้ว”
หยางชูอดไม่ได้ที่จะมองลงไปตามถนนสายยาว ที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากเขตพระราชฐาน ถนนสายยาวนี้เป็นทางเดียวที่กองทหารรักษาพระองค์จะกลับเข้าเมือง
“เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นอุบัติเหตุงั้นหรือ”
“กลางดึกเมื่อคืนนี้ ตอนที่เกิงฟูตีกลองบอกเวลา ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือไม่ ผู้ตายดื่มสุรามา สาเหตุการตายมีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ” เจี่ยงเหวินเฟิงพูดจบอย่างรวดเร็ว แต่ยังดูมีความลังเล
หยางชูสังเกตเห็น และถามว่า “มีปัญหาอะไรหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “พวกเราพบว่าคนที่ผู้ตายดื่มด้วยเมื่อคืนคือตี๋ฝาน”
หยางชูตกใจ
ตี๋ฝานเป็นหนึ่งในราชองครักษ์ที่เดินทางไปตงหนิงกับพวกเขา หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงแล้วเขาถูกย้ายไปที่กองทหารรักษาพระองค์ และคดีก่อนๆ ได้ช่วยเหลือพวกเขามาไม่น้อยเลย
“เขาไม่มีพยานหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้า “ตอนนี้มีปัญหานิดหน่อย และไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นผู้ฆ่าออกได้ ตี๋ฝานเป็นคนสุดท้ายที่เห็นเขา และบอกไม่ได้ว่าไปที่ไหนมา”
หยางชูเงียบไปครู่หนึ่งแล้วหันไปหาอาสวน “ไปบอกเสี่ยวถงว่าพวกเราจะทานหม้อไฟกันตอนบ่าย”
อาสวนถาม “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ไปพระราชวังนอกเมืองหลวงแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“จะไปได้อย่างไร!” หยางชูพูดแล้วหันไปถามเจี่ยงเหวินเฟิงต่อ “เรื่องนี้แปลกนิดหน่อยข้าขอพบเขาได้หรือไม่”
เจี่ยงเหวินเฟิงลังเล คดีเสวียนตูกวันครั้งก่อนได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ แต่คดีนี้..ด้วยสถานะของเขาไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก!
เหลยหงเข้ามาพูดว่า “เยวี่ยอ๋อง ข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตี๋ฝาน หากมีเรื่องอะไร ท่านสามารถฝากข้อความไปถามเขาได้พ่ะย่ะค่ะ”
หยางชูรู้ว่านี่เป็นเรื่องลำบากใจจึงตอบไปว่า “ได้ ข้าเชื่อในความสามารถในการตรวจสอบคดีของพวกท่าน ข้าฝากเพียงประโยคเดียว หากมีเรื่องอะไรให้ช่วยให้รีบมาบอกข้าได้ทันที”
“ขอบพระคุณท่านอ๋อง” เจี่ยงเหวินเฟิงเงยหน้าขึ้น และสบตาเขา
ทั้งสองคนเงียบไม่พูดอะไร ดังนั้นหยางชูจึงไม่เดินทางไปพระราชวังนอกเมืองหลวง แต่กลับไปที่จวนอ๋อง
อาหว่านเห็นพวกเขากลับมาก็แปลกใจ
“ท่านอ๋องอารมณ์เปลี่ยนหรือเจ้าคะ การไปพบแม่นางหมิงเป็นเรื่องสำคัญเพียงนั้น แต่จู่ๆ กลับยกเลิก”
หยางชูเอนกายเข้าหาเตาถ่านแล้วพูดอย่างอ่อนแรง “ก็ไม่มีทางเลือก หิมะหนาเพียงนั้นจะไปได้อย่างไร!”
อาหว่านไม่เชื่อก่อนพวกเขาจะออกไปไม่รู้หรือว่าหิมะถมทางเดินอย่างแน่นหนา
นางจึงไปถามจากอาสวน
ทันทีที่อาสวนเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังนางเองก็แปลกใจ “ผู้ตรวจการผู้หนึ่งเสียชีวิตที่ถนนงั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้น! คนที่เป็นผู้ตรวจการในกองทหารรักษาพระองค์จะมาตายเพราะความมึนเมาได้อย่างไร” หยางชูส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่เชื่อ”
ทุกแผนกของกองทหารรักษาพระองค์อยู่ภายใต้อำนาจของผู้บังคับบัญชา และผู้ที่อยู่แนวหน้าของกองทัพคือผู้ตรวจการเหล่านี้
ในสถานที่เช่นเมืองหลวง ผู้ที่สามารถเป็นผู้ตรวจการได้นั้นไม่มีทางไร้ความสามารถเป็นแน่
อาหว่านครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ถึงจะแปลกไปหน่อย แต่ที่ท่านอ๋องไม่เดินทางไปพระราชวังนอกเมืองหลวงแล้วมีสาเหตุอื่นด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ผู้ตรวจการคนหนึ่งยังไม่มีน้ำหนักมากเพียงนั้น ถ้าผู้ตายคือผู้บัญชาการก็ไม่ต่างกัน
หยางชูพูด “ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ เป็นการดีกว่าที่จะให้ความสนใจกับการตายอย่างกะทันหันของผู้ตรวจการ” เขาลุกขึ้นนั่ง “อาหว่าน เจ้าไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวล่าสุดของกองทหารรักษาพระองค์”
“อ้อ เจ้าค่ะ!”
…………
ในตอนกลางคืนหออวี้เป่าได้ปิดประตูลงแล้วเหลือเพียงไฟที่สว่างขึ้นในห้องส่วนตัว หยางชูกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยก มองดูหนังสือภาพอย่างเกียจคร้าน
สักพักก็มีเสียงเคาะประตูด้านนอก
เสียงของเจี่ยงเหวินเฟิงดังขึ้น “เหตุใดพวกเราเจอกันต้องเป็นความลับทุกครั้งด้วย ราวกับจะบอกผู้อื่นว่าพวกเรากำลังทำเรื่องลับลมคมใน”
หยางชูพลิกหนังสือภาพ “พวกเราไม่ใช่ว่ากำลังทำเรื่องลับลมคมในหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิด “มีเหตุผล”
นี่เป็นการกบฏซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้ หยางชูนั่งตัวตรง “ว่าอย่างไรบ้าง”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอดเสื้อคลุมออก สะบัดเอาเกล็ดหิมะออกแล้วพูดว่า “จนถึงตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าเป็นอุบัติเหตุหรือการฆาตกรรม”
หยางชูแปลกใจ “ด้วยความสามารถของใต้เท้าเจี่ยงก็ตรวจไม่พบหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงขมวดคิ้วอย่างเหนื่อยหน่าย “เมื่อคืนที่ผ่านมาหิมะตกหนัก ร่องรอยถูกกลบหมด บาดแผลบนร่างกายหลายจุดที่เหมือนจะใช่ แต่ไม่ใช่ ไม่สามารถบอกได้ว่าล้มเองหรือมีคนผลัก”
หยางชูยิ้ม “หรือควรพูดว่าจากหลักฐานเหมือนจะเป็นการตายจากการดื่มสุรา แต่ด้วยสัญชาตญาณของใต้เท้าเจี่ยงที่จัดการกับคดีมานานหลายปี คิดว่าน่าจะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอยู่ในนั้นใช่หรือไม่”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า
“ที่ท่านอ๋องพูดมาก็ถูกหากเป็นเจ้าหน้าที่คนอื่นอาจสรุปได้ว่าเขาเสียชีวิตขณะเมาสุรา แต่ความสงสัยของข้าทำให้คดีนี้ยังไม่ถูกปิด” เขาหยุดพูดแล้วถอนหายใจ “อย่างไรก็ตามหากเป็นการฆาตกรรมตอนนี้มีผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียวคือตี๋ฝาน”
หลังจากคดีความที่ตงหนิง พวกเขาก็ติดต่อกับตี๋ฝานเป็นครั้งคราวเพราะเขาอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์ บางครั้งต้องขอความช่วยเหลือจากเขา และตี๋ฝานไม่เคยพูดอะไรเลย จากมุมมองทางอารมณ์พวกเขาไม่ต้องการให้ตี๋ฝานเกี่ยวข้องกับคดีนี้
“ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “ตี๋ฝานได้รับการเลื่อนตำแหน่งเมื่อหลายปีก่อนได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องโถงหลักกับผู้ตาย และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เมื่อคืนพวกเขาเลิกงาน และไปดื่มด้วยกันจนถึงเที่ยงคืน ตี๋ฝานบอกว่าเมื่อคืนเขาออกจากถนนสายหลัก และแยกกับผู้ตาย แต่ที่แย่ที่สุดคือสถานที่ที่ผู้ตายเสียชีวิตนั้นอยู่ห่างจากทางแยกที่พวกเขาแยกกันเพียงร้อยก้าว และเขาก็ไม่มีพยาน”
หยางชูครุ่นคิด “ในระยะทางกว่าร้อยก้าว หากผู้ตายตะโกนตี๋ฝานก็จะได้ยิน”
“ดังนั้น หากผู้ตายถูกฆาตกรรมตี๋ฝานไม่สามารถหลุดออกจากการถูกสงสัยได้”
“แล้วหากไม่มีพยานแล้วจะทำอย่างไร หากเขากลับเรือนพ่อบ้านก็ต้องตื่นสิ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เรือนของเขาอยู่ค่อนข้างไกลเลยเช่าเรือนอยู่แถวๆ นั้น บางครั้งทำงานดึกก็จะพักที่นั่นเรือนนั้นมีเพียงชายชราหูหนวกคนหนึ่งเฝ้าเรือนให้ ตี๋ฝานคิดว่ายุ่งยากที่จะตะโกนเรียกเขา เขาจึงมักจะปีนข้ามกำแพง และเข้ามาด้วยตัวเอง พวกเราพบเขาเมื่อเช้านี้ และเขายังคงหลับสนิท ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“พวกเขาเมามากหรือไม่”
เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้า “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร กองทหารรักษาพระองค์อาจถูกเรียกได้ตลอดเวลา ตี๋ฝานบอกว่าพวกเขาเมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สติยังคงชัดเจน เขาและผู้ตายมักดื่มด้วยกัน รู้ว่าการดื่มของอีกฝ่ายไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อทักษะ และการตอบโต้ของเขา”
เอาล่ะ หากเป็นเช่นนี้ความสงสัยของเขาจึงยากที่จะชำระล้างได้
หยางชูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วขอร้องขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า “ข้าอยากพบเขา”
……………