คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 566 เลื่อนออกไป
ตี๋ฝานอยู่ที่ศาลาว่าการ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เขาก็ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี
เมื่อเจี่ยงเหวินเฟิงผลักประตูเข้าไปเขาก็ยังอยู่ในความตกใจ
เสียงผลักประตูปลุกเขาให้ได้สติ และตี๋ฝานลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าเจี่ยง”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า และหลีกทางให้อีกคน
ตี๋ฝานตกใจที่เห็นหยางชูซึ่งกำลังถอดหมวกออก “เยวี่ยอ๋อง ท่านมาได้อย่างไร”
“แน่นอนว่าไม่วางใจเจ้า” หยางชูถอดเสื้อคลุมของศาลาว่าการแล้วนั่งตรงหน้าเขา “ไม่พูดอะไรให้มากความข้าต้องปลอมตัวมาที่นี่ พวกเรารีบมาพูดเรื่องคดีกันเถอะ”
ตี๋ฝานรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสำคัญอย่างไม่คาดฝัน “จะรบกวนท่านอ๋องได้อย่างไร”
“แน่นอนว่ากังวลเรื่องของเจ้า” หยางชูเคาะโต๊ะแล้วเข้าประเด็น “ข้าได้ฟังคำอธิบายจากใต้เท้าเจี่ยงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้มีคำถามสองสามข้อซึ่งมีแต่เจ้าที่สามารถให้คำตอบข้าได้”
ตี๋ฝานพยักหน้า “เชิญท่านอ๋องพูดมาได้ หากกระหม่อมทราบจะตอบ”
หยางชูพูด “เจ้าลองนึกดูว่าเมื่อคืนเจ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรที่น่าสงสัยเลยหรือ”
ตี๋ฝานตอบว่า “ไม่มีจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ หิมะกำลังตกกระหม่อมไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงลมและหิมะ”
“เช่นนั้นเมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ของเจ้าเอง โอกาสที่เขาถูกยอดฝีมือโจมตี และสังหารโดยไม่มีโอกาสที่จะส่งเสียงร้องเลยมีมากแค่ไหน”
ตี๋ฝานพูด “คำถามนี้กระหม่อมคิดทบทวนมาหลายรอบแล้ว วรยุทธ์ของพี่หลู่ไม่ได้แย่ไปกว่าข้า มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขาที่จะไม่สามารถตอบโต้ได้ อีกฝ่ายสามารถลอบสังหารเขาอย่างเงียบๆ บนถนนได้ กระหม่อมเองก็ไม่ทราบว่าวรยุทธ์ของคนผู้นั้นสูงเพียงใด พูดตามตรงแม้แต่ท่านอ๋องก็คงห่างชั้นไม่น้อย”
ความแข็งแกร่งของหยางชูนั้นหายากอยู่แล้ว หากฝีมือสูงกว่าเขามากคิดไปคิดมาอาจมีคนระดับสูงไม่กี่คนอยู่เบื้องหลัง ยอดฝีมือจากภายนอกวิ่งมาสั่งหารผู้ตรวจการคนหนึ่งจากกองทหารรักษาพระองค์ เล่นตลกอะไรกัน
เจี่ยงเหวินเฟิงเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วจึงถามไปว่า “ท่านคิดว่าอย่างไร”
หยางชูส่ายหน้า “ข้าเห็นว่าปัญหานี้ต้องไปถามศิษย์พี่”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ท่านหนิงรู้เรื่องยุทธจักรเป็นอย่างดี บางทีอาจทราบว่ามียอดฝีมือเช่นนี้หรือไม่”
“ไม่ใช่หรอก” หยางชูพูด “ข้าสงสัยว่าอาจเป็นเคล็ดวิชา”
เจี่ยงเหวินเฟิงชะงัก
หลังจากพูดประโยคนี้ออกไปหยางชูก็เปลี่ยนเรื่องทันที “ตี๋ฝาน ช่วงนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฝ่ายทหารล้อมวังของพวกเจ้าหรือไม่”
ตี๋ฝานงงงวย “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ปกติดีทุกอย่าง!”
หยางชูพูด “แล้วการย้ายคนล่ะ ขบวนเสด็จเดินทางออกจากเมืองหลวง ฝ่ายทหารล้อมวังของพวกเจ้าครึ่งหนึ่งเดินทางไปด้วย ต้องมีการจัดหน้าที่ใหม่ใช่หรือไม่”
“อ้อ” ตี๋ฝานเข้าใจ และพูดถึงเรื่องการย้ายคนช่วงนี้ให้ฟัง “…หากเป็นเรื่องนี้ การอยู่เวรบางอย่างถูกยกเลิก ทุกคนที่เหลืออยู่ถูกแบ่งดูเหมือนว่าเวลาเข้าเวรจะมีมากขึ้น อันที่จริงขบวนเสด็จไม่อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดจึงมีการผ่อนปรนเล็กน้อย”
“หมายความว่าตอนนี้ผู้ตายรับผิดชอบหน้าที่เฝ้าประตูเหยียนฝูใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยางชูพยักหน้า และถามอีกสองสามคำถามซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในกองทหารรักษาพระองค์
แม้ตี๋ฝานจะไม่ทราบเจตนาของเขา แต่ก็ยอมตอบคำถามแต่โดยดี
พอหยางชูถามจบเขาก็สวมเสื้อคลุมของเจ้าหน้าที่อีกครั้งแล้วพูดกับเขาว่า
“เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสบายใจสักสองวัน ไม่ต้องคิดอะไรมากเมื่อถึงเวลานั้นความสงสัยของเจ้าก็จะหายไป”
ตี๋ฝานตอบรับอย่างงงๆ และมองพวกเขาสองคนเดินออกไป
“ท่านอ๋อง ท่านหมายความว่าอย่างไร” เจี่ยงเหวินเฟิงเองก็ไม่เข้าใจ
หยางชูหมุนตัวกลับมาแล้วพูดว่า “ข้าจะรีบไปเสวียนตูกวันเพื่อถามว่ามีเคล็ดวิชาที่สามารถทำให้ไร้เสียงใช่หรือไม่ หากคำตอบคือใช่ก็มีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว”
“คำตอบอะไร ท่านอ๋องรู้ตัวคนร้ายแล้วหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่สามารถยอมรับได้ เขาสอบสวนคดีนี้มานานแล้ว และยังไม่พบความสงสัย หยางชูเข้ามาถามไม่กี่คำถามก็พบความจริงแล้วหรือ
“ไม่ ข้าไม่รู้” หยางชูตอบด้วยรอยยิ้ม “ฆาตกรคือผู้ใด ฆ่าคนอย่างไร ข้าไม่รู้เลย แต่ข้ารู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดเกี่ยวกับคำถามที่เขาเพิ่งถาม และค่อยๆ เข้าใจ “ท่านอ๋องจะบอกว่าเป็นหน่วยงานภายในกองทหารรักษาพระองค์หรือ”
หยางชูพยักหน้า “ใต้เท้าเจี่ยง ท่านสามารถเลื่อนคดีนี้ออกไปก่อน หากผ่านไปสองวันแล้วไม่พบหลักฐานใดๆ ให้ปล่อยตี๋ฝานออกไป”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “ถึงข้าจะปล่อยเขาไป แต่หากเขากลับไปเช่นนี้จะถูกพักงานแน่นอน”
ฝ่ายทหารล้อมวังมีหน้าที่สำคัญอย่างไร ชายผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมจะปล่อยให้เขาเฝ้าวังได้อย่างไรกัน
หยางชูยิ้ม “พักงานก็พักงานไป บางทีมันอาจเป็นการดีสำหรับเขาที่ถูกพักงาน บางทีปลายปีนี้คงได้คำตอบ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “ได้ ข้าจะลองตรวจสอบเพิ่มหวังว่าจะไม่นานเกินรอ”
เขาคิดแล้วหัวเราะเยาะตนเอง “ข้าทำเช่นนี้แล้ว สมกับเป็นชิงเทียนจริงๆ! ไม่สนใจรูปคดี แต่จงใจใช้ตำแหน่งหลีกเลี่ยง”
“ท่านไม่คิดที่จะใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศหรือ” หยางชูพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ฆาตกรตัวจริงในคดีนี้ไม่มีความหมาย การสมรู้ร่วมคิดที่ซ่อนอยู่ในนั้นต่างหากคือสิ่งสำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ท่านอ๋องวางใจเถอะ ข้าเข้าใจ”
ในหัวใจของคนทั่วไป เจี่ยงชิงเทียนนั้นกระทำอย่างยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงนี่เป็นเพียงความเข้าใจผิดที่สวยงาม คนที่ไม่เข้าใจทางเบี่ยงไม่สามารถอยู่ในราชสำนักได้เป็นอย่างดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งตั้งแต่อายุยังน้อย
พูดได้อย่างเดียวว่าเขาจะไม่ละเมิดหลักการของตัวเองในการทำสิ่งต่างๆ ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องถือเคร่งในกรอบมากเกินไป
…………
ไม่กี่วันต่อมาหิมะบนถนนก็ถูกกวาดเรียบร้อย และหยางชูก็ออกเดินทางไปที่พระราชวังนอกเมืองหลวงอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเขาจึงเดินทางมาถึงในช่วงบ่าย
หมิงเวยได้รับข่าว และมาที่ห้องโถงหลัก และเห็นสองแม่ลูกนั่งคุยกัน
เผยกุ้ยเฟยพูดคุยพลางสั่งให้คนยกอาหารมา แทบอยากจะตักอาหารเข้าปากเขาไม่ไหวแล้ว กลัวว่าเขาจะหิวซะก่อน เมื่อเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของหยางชู หมิงเวยกลั้นยิ้มแล้วเดินเข้าไปทำความเคารพ
เผยกุ้ยเฟยประคองนาง “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องทำความเคารพ ตอนบ่ายเจ้าทานน้อยมาก ทานสักหน่อยเถอะ”
หมิงเวยกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยเหนียงเหนียง แต่หม่อมฉันยังไม่หิวเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยมองคนที่นั่งเรียบร้อย แต่ในด้านนี้นางเหมือนมารดาทุกคน กลัวว่านางจะหนาวและหิว พอหมิงเวยใกลชิดกับนางถึงได้รู้ว่าหากเชื่อฟังนางจริงๆ อีกไม่นานนางต้องอ้วนเป็นก้อนกลมแน่
ในที่สุดหยางชูก็ทานอาหารเสร็จ และทั้งสองก็คุยกับเผยกุ้ยเฟย จนกระทั่งเวลาอาหารเย็นเผยกุ้ยเฟยไปหาฮ่องเต้ปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันสองคน
หมิงเวยพาเขาขึ้นบนตำหนัก และถามว่า “เกิดอะไรขึ้นที่เมืองหลวงหรือเจ้าคะ”
หยางชูประหลาดใจ “ข้ายังไม่พูดท่านรู้ได้อย่างไร”
หมิงเวยหยอกล้อ “ท่านมองข้าอยู่ตลอด หนังตากระตุกเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด”
“เป็นไปไม่ได้หรือที่ข้าจะอยากเจอท่านเฉยๆ” หยางชูไม่อายเลย เขาพูดเสียงหวาน “ไม่พบกันวันเดียวเหมือนไม่พบกันสามปี พวกเราไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปีแล้ว”
หมิงเวยแค่นหัวเราะในใจแล้วพูดว่า “เร็วเข้า มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะเจ้าค่ะ ไม่พูดเรื่องสำคัญให้เสร็จก็ไม่มีอารมณ์ฟังท่านพูดพล่ามไร้สาระหรอกนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นพูดเสร็จแล้ว มีอารมณ์หรือไม่” ท่าทีของเขาช่างไร้ยางอายจริงๆ
หมิงเวยเคยชินกับมัน แต่ในตอนนี้หน้ากลับร้อนขึ้นจึงตะคอกเสียงดังไปว่า
“เช่นนั้นจะพูดหรือไม่พูดล่ะเจ้าคะ!”
“พูดแล้ว! ข้าจะพูดเดี๋ยวนี้!” หยางชูเห็นอะไรบางอย่างเขามีความสุขจนตัวลอย
………………