คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 568 ชมหิมะ
หมิงเวยเปิดหน้าต่าง และมองไปที่พระราชวังอี๋ชุนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
“วันนี้หนาวมากใช่หรือไม่” นางถาม
ตัวฝูที่อยู่ด้านหลังตอบว่า “เจ้าค่ะ อากาศหนาวหิมะตกเป็นลางดี! ปีหน้าต้องเป็นปีที่ดีแน่ๆ เจ้าค่ะ”
“กำหนดวันเดินทางกลับแล้วหรือ” อีกเจ็ดแปดวันก็จะปีใหม่แล้ว ขบวนเสด็จต้องกลับก่อนหน้านี้ไม่อย่างนั้นจะกลับไม่ทันวันไหว้บรรพบุรุษ
“ยังไม่กำหนดวันที่แน่นอน แต่เหนียงเหนียงได้สั่งให้คนเก็บของแล้วเจ้าค่ะ”
หมิงเวยพยักหน้าสัมผัสได้ว่างูขาวที่อยู่ในแขนเสื้อขยับจึงเอื้อมมือไปลูบหัวของมันแล้วถามเสียงเบา “ทำไมหรือ”
“สิ่งนั้นมาอีกแล้วเจ้าค่ะ” งูขาวน้อยเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “นายท่าน เป็นอย่างที่ท่านบอกไว้เป็นหนอนพิษกู่ที่มีกลิ่นละอองเกสร”
หมิงเวยครุ่นคิด “ช่วงนี้บ่อยขึ้นนะ!”
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นางในจากด้านนอกก็บอกว่าเผยกุ้ยเฟยเรียกหา
“เหนียงเหนียง” หมิงเวยก้าวเข้าไปในห้องโถงหลักแล้วย่อกายทำความเคารพ
เผยกุ้ยเฟยกวักมือเรียกนาง “ทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง ดูเจ้าสิ สวมชุดบางอีกแล้ว”
ตัวฝูเดินตามหลังนางเข้ามา “เหนียงเหนียง ขนสุนัขจิ้งจอกที่ท่านให้มาบ่าวนำมาด้วยเพคะ ภายในวังอบอุ่น แต่พอออกไปข้างนอกคุณหนูจะสวมมันเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยหัวเราะ “เด็กดี!”
จากนั้นก็พูดว่า “ฝ่าบาทต้องการชมหิมะพวกเจ้าไปด้วยกันเถอะ”
หมิงเวยถาม “เหนียงเหนียงไปกับฝ่าบาท พวกเราไปด้วยเกรงว่าจะไม่เหมาะสมเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยพูดว่า “ไม่เป็นไร วันนี้คนไปด้วยเยอะ ไม่ได้มีแค่พวกเรา ฮุ่ยเฟยกับสาวงามหลายคนก็ไปด้วยเช่นกัน ฝ่าบาทเชิญใต้เท้าหลายคนด้วยไม่ได้ไปแค่กับพวกเรา”
เนื่องจากเป็นกิจกรรมร่วมกัน หมิงเวยจึงยอมไปยิ่งไปกว่านั้นนางไม่วางใจที่จะให้เผยกุ้ยเฟยไปคนเดียว
…………
เนื่องจากเขาซิ่วชานมีความร้อนใต้ผืนดินจึงอบอุ่นตลอดทั้งปีแม้ว่าหิมะจะตก หิมะก็จะละลายทันทีที่ตกลงบนพื้น
วันนี้ฮ่องเต้ตื่นบรรทมเห็นหิมะโปรยปรายอยู่บนท้องฟ้าจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในช่วงไม่กี่ปีมานี้สุขภาพของเขาย่ำแย่ หากอยู่ในเมืองหลวง และในสภาพอากาศเช่นนี้คงได้แต่จุด ดไฟอยู่แต่ในห้อง
ตอนนี้อยู่ที่พระราชวังอี๋ชุนไม่ชมหิมะก็น่าเสียดายไปหน่อย
ดังนั้นเขาจึงส่งข้อความที่เรียกเผยกุ้ยเฟย และฮุ่ยเฟย รวมถึงเชิญใต้เท้าอีกหลายท่านไปที่หอคอยชมทิวทัศน์บนยอดเขาเพื่อชมหิมะ ส่วนฐานของเขาซิ่วชานเกือบแบนราบ หากนำรถพระที่นั่ งขึ้นเขาก็สามารถเดินทางได้ตลอดทาง
หมิงเวยออกไปพร้อมกับเผยกุ้ยเฟย และเห็นกองทหารต่อแถวยาวบนเส้นทางบนภูเขา ด้านหน้าสุดเป็นฮ่องเต้ที่รายล้อมไปด้วยทหารกำลังสนทนาอยู่กับเหล่าขุนนางอย่างอารมณ์ดี
ฮุ่ยเฟยอยู่ด้านหลังพวกนางเมื่อหมิงเวยหันกลับไปก็เห็นเวินซิ่วอี๋ส่งยิ้มให้นางพอดี
หมิงเวยพยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นหันกลับมาถามตัวฝู “โหวเหลียงล่ะ”
ตัวฝูตอบ “ท่านโหวอยู่ข้างหลังเจ้าค่ะ”
หมิงเวยพยักหน้า “บอกให้เขาระวังตัวหน่อย”
จากนั้นก็เดินตามหลังเผยกุ้ยเฟยขึ้นรถพระที่นั่งไป การเดินทางก็ไม่ไกลไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เดินทางมาถึงหอคอยชมทิวทัศน์
มีน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่บนยอดเขาซิ่วชาน หอคอยชมทิวทัศน์นี้สร้างขึ้นรอบบ่อน้ำพุร้อนจึงไม่จำเป็นต้องเผาถ่านด้านนอก และไม่จำเป็นต้องปิดประตู และหน้าต่าง
หมิงเวยก้าวเข้าไปในห้องอบอุ่น เครื่องเรือนในที่นี้ให้ความรู้สึกสดชื่น ไม่ให้ความรู้สึกถึงฤดูหนาวที่หนักหน่วงแต่อย่างใด ประตู และหน้าต่างเปิดกว้าง มีเพียงม่านไม้ไผ่ที่แขวนไว้เ เพื่อป้องกันลม และหิมะ
ทิวทัศน์ทั้งสองด้านจึงไร้สิ่งกีดขวางมองลงมาจากด้านซ้ายมือคือพระราชวังอี๋ชุน แต่ก็เห็นต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจี และกำแพงวัง
อีกด้านหนึ่งเป็นทิวทัศน์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่มีบ้านเรือน มีเพียงภาพหิมะที่โปรยปรายไปทั่วท้องฟ้า งดงามดั่งหยกขาว ดูบริสุทธิ์ และสวยงาม ภูเขาที่ทอดยาวเป็นลูก กคลื่น และป่าเขาล้วนเป็นสีขาว ลำธาร และภูเขาปกคลุมไปด้วยหิมะ ผืนฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล
ไม่นานหลังจากนั้น ฮุ่ยเฟย และสนมระดับล่างอีกหลายคนที่มากับนางก็มาถึง ภายในห้องอบอุ่นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
เวินซิ่วอี๋เข้ามาคุยกับหมิงเวย “พี่สาว ไม่ได้พบท่านเสียหลายวัน ท่านทำอะไรบางหรือ”
หมิงเวยตอบ “ก็ไม่ได้ทำอะไร กินแล้วก็นอนทุกวันแล้วก็เรียนระบายสีกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
เวินซิ่วอี๋รู้สึกอิจฉา “ทักษะการวาดภาพของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงนั้นยอดเยี่ยม พี่สาวได้เรียนกับท่านช่างน่าอิจฉาจริง”
หมิงเวยยิ้มเยาะตนเอง “น่าเสียดายที่ข้าหัวไม่ดีเรียนตั้งนาน แต่สามารถแยกแยะได้เพียงไม่กี่สีเท่านั้น”
ในวันที่หิมะตก สิ่งฆ่าเวลาที่ดีที่สุดคือย่างเนื้อดื่มสุรา ฮ่องเต้ให้คนยกเนื้อสัตว์ป่ามา จากนั้นก็ให้นางในตั้งเตาถ่าน และย่างเนื้อ
เวินซิ่วอี๋ผูกแขนเสื้อ และย่างเนื้อให้ฮุ่ยเฟยด้วยตนเอง บรรดาเหม่ยเหริน[1]ต่างชมเชย และยกย่องเวินซิ่วอี๋ที่มีความกตัญญูจนฮุ่ยเฟยอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
จ้าวเหม่ยเหรินเห็นหมิงเวยนั่งอยู่ข้างกายเผยกุ้ยเฟย และทานเนื้อย่างอย่างเงียบๆ ก็ปิดปากยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูหมิง ท่านไม่ย่างเนื้อให้กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงบ้างหรือ”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ทักษะการทำอาหารของข้านั้นไม่ค่อยดีนัก ไม่สามารถเทียบกับคุณหนูเวินได้ หากย่างไม่อร่อยกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงจะทานได้หรือ ทำให้กุ้ยเฟยลำบ บากใจเสียเปล่าจึงไม่ทำดีกว่าเจ้าค่ะ”
เผยกุ้ยเฟยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “มีนางในย่างเนื้ออยู่แล้ว เหตุใดนางต้องทำด้วยเล่า”
จ้าวเหม่ยเหรินรู้สึกเบื่อในใจคิดถึงงานฉลองวันเกิดครานั้น หากให้แข่งกับเวินซิ่วอี๋อีกคงตื่นเต้นน่าชมไม่หยอก
เมื่อเห็นสีหน้าของหมิงเวยปกติดูไม่สนใจสักเท่าไรนางจึงไม่พูดยั่วยุต่อ
ทางด้านเวินซิ่วอี๋เรียกให้นางในนำเนื้อสองชิ้นมอบให้เผยกุ้ยเฟย “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงลองลิ้มรสฝีมือซิ่วอี๋ดูหรือไม่เพคะ”
หมิงเวยมองไปที่จานเนื้อย่าง และไม่รอให้เผยกุ้ยเฟยเปิดปากพูดนางพูดขัดขึ้นว่า “เหนียงเหนียงทานไปมากแล้วเมื่อวานหมอหลวงบอกว่าระบบย่อยอาหารของท่านไม่ค่อยดี ไม่ควรทานอาหา ารมันๆ มากเกินไป แต่คุณหนูเวินมีน้ำใจ หากไม่ทานก็เสียดายเช่นนั้นมอบให้ข้าแทนได้หรือไม่”
เผยกุ้ยเฟยยิ้มโบกมือให้นางในข้างกายรับจานมาแล้วพูดว่า “เจ้าตะกละไปแล้วหรือไม่ คุณหนูเวินอุตส่าห์มีน้ำใจเปิ่นกงขอน้อมรับด้วยน้ำใจก็พอ” พูดแล้วนางก็ไม่ได้ทานจริงๆ และให ห้นางในเอาน้ำแกงมา
เวินซิ่วอี๋มองเนื้อย่างที่อยู่ตรงหน้าหมิงเวยแล้วกัดริมฝีปาก สีหน้าของหมิงเวยยังคงไม่เปลี่ยน อีกทั้งยังเรียกให้ตัวฝูหั่นเนื้อเป็นชิ้นๆ แล้วคีบใส่เข้าไปในปากต่อหน้านาง
อืม…เนื้อย่างที่ปรุงด้วยยาลับของสำนักหมอผีนั้นอร่อยจริงๆ! งูขาวเตรียมพร้อมที่จะจู่โจมแล้ว
เวินซิ่วอี๋ดูไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ฝืนยิ้ม และถอยออกมา
หลังจากทานเนื้อย่างเสร็จเผยกุ้ยเฟยก็ให้คนมากางกระดาษวาดรูปที่หน้าต่าง เป็นที่ทราบกันดีว่านางชอบวาดภาพพระราชวัง เมื่อเห็นนางวาดเหล่าสนมจึงหยุดพูดคุย และเข้ามาดู
เผยกุ้ยเฟยมองทิวทัศน์อยู่ครู่หนึ่งแล้วให้นางในฝนหมึก นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะวาดรูป หยิบพู่กันขึ้นมา และเริ่มร่างเค้าโครง ท้องฟ้าสีเทา กิ่งก้านที่แห้งแล้ง ภูเขาที่กว้างใหญ่ แล ละหิมะสีขาว เผยกุ้ยเฟยตวัดพู่กันไม่กี่รอบก็เห็นเค้าโครงได้อย่างชัดเจน
เมื่อเผยกุ้ยเฟยวางพู่กันลงเหล่าสนมต่างก็ยกยออีกครั้งชมว่าภาพวาดนี้มีหัวศิลปะที่ลึกซึ้งถึงจิตรกรมีอายุไม่น้อยแล้วอย่างไร…
จ้าวเหม่ยเหรินที่ก่อนหน้านี้ยั่วยุไม่สำเร็จก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ภาพวาดของเหนียงเหนียงนั้นสวยงามเป็นธรรมชาติ แต่องค์ประกอบนั้นค่อนข้างซ้ำซากจำเจ หากมีการเติมสีสักหนึ่งหรื อสองสี ศิลปะจะยกระดับสูงขึ้นไปอีกขั้น”
สตรีผู้นี้แม้จะปากเปราะเราะราย แต่ก็มีสายตาที่ดี เผยกุ้ยเฟยพินิจพิเคราะห์อย่างระมัดระวัง และสั่งให้นางในนำสีแดงมา
แต่เมื่อถึงคราวจะลงสี นางก็เกิดลังเล
จ้าวเหม่ยเหรินสังเกตเห็นสีหน้าของนางจึงถามว่า “เหนียงเหนียงต้องการวาดดอกเหมยหรือเพคะ หากไม่มีการเปรียบเทียบกับของจริง เกรงว่าวาดออกมาอาจจะขาดจิตวิญญาณไปบ้างนะเพคะ”
เผยกุ้ยเฟยเหลือบมองนางแล้วก้มหน้าครุ่นคิด แต่ได้ยินเวินซิ่วอี๋พูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่ขึ้นเขา ข้าเห็นข้างทางมีดอกเหมย เหนียงเหนียงโปรดรอสักครู่ ซิ่วอี๋จะให้คนไปหัก กิ่งไม้มาให้เพคะ”
………………
[1] เหม่ยเหริน : ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ ขั้น 4 ชั้นเอก