คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 569 หักกิ่งเหมย
เผยกุ้ยเฟยยังไม่ทันพูดอะไร เวินซิ่วอี๋ก็เรียกให้คนนำเสื้อคลุมขนสัตว์มา
นางจำต้องพูดว่า “ให้พวกนางไปก็ดีแล้ว คุณหนูเวินจะไปด้วยตนเองทำไมกัน”
ฮุ่ยเฟยตอบว่า “น้องสาวไม่ต้องสนใจหรอก เกรงว่านางคงอยากไปเดินเล่นเสียเองเลยอาศัยเจ้าเป็นข้ออ้างออกไป เด็กๆ กระตือรือร้นก็ปล่อยนางไปเถอะ!”
นางพูดเช่นนั้น เผยกุ้ยเฟยจะว่าอะไรได้
จ้าวเหม่ยเหรินพูดอีกว่า “คุณหนูเวินเป็นหลานสาวของฮุ่ยเฟยเหนียงเหนียงแต่กลับวิ่งวุ่นเพื่อกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง”
พูดไปดวงตาของนางก็เหลือบมองหมิงเวยซึ่งไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทำให้คนอื่นก็หันไปมองหมิงเวยเช่นกัน
เมื่อครู่ไม่ย่างเนื้อก็ช่างไป เวินซิ่วอี๋ไม่มีเหตุผลต้องช่วยกุ้ยเฟยตัดกิ่งเหมย นางยังไม่ขยับอีกหรือ และครั้งนี้หมิงเวยก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง นางลุกขึ้นพูดว่า “เหนียงเหนีย ยง หม่อมฉันไปกับคุณหนูเวินได้หรือไม่เพคะ อากาศหนาวเย็นถนนก็ลื่น หากเกิดอะไรขึ้นมาคงไม่ดี หม่อมฉันไปเป็นเพื่อนนางช่วยดูแลอีกคนน่าจะดีเพคะ”
นางพูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าเวินซิ่วอี๋ทำให้ในสิ่งที่นางควรทำ แต่ฟังดูเหมือนนางกำลังนึกถึงเวินซิ่วอี๋อยู่
มุมปากของจ้าวเหม่ยเหรินกระตุก อยากจะเยาะเย้ย แต่ต่อหน้าเผยกุ้ยเฟยนางไม่กล้าหยาบคายอีกจึงต้องกลืนมันลงไป
เผยกุ้ยเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ พวกเจ้าไม่ต้องรีบกลับ อยากจะออกไปเล่นก็ตามสบายเลย กิ่งเหมยให้คนนำกลับมาก็ได้”
หมิงเวยตอบรับ นางสวมเสื้อคลุมขนสัตว์แล้วบอกให้ตัวฝูอยู่ที่นี่แล้วพานางในข้างกายเผยกุ้ยเฟยคนหนึ่งไปตัดกิ่งเหมยด้วย
ทั้งสองเดินออกจากหอสังเกตการณ์พร้อมนางในไปด้วยจำนวนหนึ่ง เดินไปตามถนนบนภูเขา ไม่นานก็เดินทางมาถึงจุดที่ดอกเหมยเบ่งบาน
ดอกเหมยสีแดงดั่งเปลวเพลิง เมื่อตัดกับฉากหลังของหิมะยิ่งดูงดงาม
เวินซิ่วอี๋หักกิ่งเหมยสองสามกิ่งแล้วมอบให้นางใน จากนั้นหันไปถามหมิงเวย “พี่หมิง ในเมื่อกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงอนุญาตแล้ว เช่นนั้นพวกเราเล่นอยู่แถวนี้สักพักดีหรือไม่”
หมิงเวยตามใจ “ได้!”
เวินซิ่วอี๋ชี้ไปที่ป่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป “ตรงนั้นมีดอกเหมย พวกเราไปดูกันเถอะ ไม่แน่อาจบานสวยกว่านี้”
หมิงเวยตอบตกลง หญิงสาวสองคนที่ดูนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่ฝีเท้ากลับเร็วมาก เมื่อเข้าไปในป่าเวินซิ่วอี๋ก็พานางเดินไปรอบๆ มองหาดอกเหมยที่เบ่งบานงดงามจนเหล่านางในหาไม่เจอเสี ยแล้ว
เวินซิ่วอี๋พูดคุยกับนางไปพลางมองหาดอกเหมย
“พี่หมิงมีชีวิตที่ดีจริงๆ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงรักใคร่เอ็นดู เยวี่ยอ๋องประคบประหงมราวกับสมบัติล้ำค่า แม้แต่ครอบครัวลุงของท่านยังใจดีกับท่านมาก ซิ่วอี๋รู้สึกอิจฉาทุกครั้งที่ นึกถึง เฮ้อ ช่างโชคดีเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา! จนรู้สึกอยากทำลายด้วยมือของตัวเอง…”
เมื่อพูดประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของนางก็อ่อนลง จนกระทั่งสายตาของหมิงเวยมองมา นางก็เปลี่ยนสีหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าล้อเล่นน่ะ”
หมิงเวยพูดเสียงเรียบเฉย “แล้วคุณหนูเวินไม่โชคดีหรือ ข้าเห็นฮุ่ยเฟยเหนียงเหนียงดีกับคุณหนูเวินมาก อยู่ในความดูแลของฮุ่ยเฟย การแต่งงานกับสามีที่มีชาติตระกูลที่ดีไม่ใช่เร รื่องยาก แล้วจะอิจฉาข้าทำไมเล่า”
เวินซิ่วอี๋เดินอยู่ข้างหน้า เสียงของนางลอยมาพร้อมสายลมอันเยือกเย็น “มีตรงไหนดีหรือ สูญเสียบิดามารดาตั้งแต่ยังเด็ก ต้องพึ่งพาผู้อื่นไม่สามารถเป็นอิสระได้ แม้จะดูมีเกียรติ แ แต่ก็เป็นหนอนที่น่าสงสารที่ต้องมีชีวิตด้วยการเอาอกเอาใจผู้อื่น”
นางยิ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “คนเช่นข้ามีจิตใจที่มืดมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองผู้อื่นได้ดีไม่ได้ ดังนั้นเมื่อข้าเห็นพี่หมิงก็รู้สึกไม่ชอบตั้งแต่แรกเห็น เหตุใดมันจึงย ยากสำหรับข้าที่จะอยู่รอด แต่กับท่านต้องการสิ่งใดก็มีคนมามอบให้ถึงตรงหน้า”
สายลมเย็นพัดผ่านช่างไม่สอดคล้องกับคำพูดนี้พาให้คนฟังรู้สึกหนาวเหน็บ
หมิงเวยจ้องมองเวินซิ่วอี๋แล้วพูดเสียงเบาว่า “งั้นหรือ ไม่นานมานี้คุณหนูเวินเพิ่งบอกว่าชอบข้านี่นา!”
เวินซิ่วอี๋หัวเราะ น้ำเสียงของนางเยือกเย็นกว่าหิมะเสียอีก แต่ก็ยังมีความไร้เดียงสา “พี่หมิง ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นหนอนที่น่าสงสารที่ต้องมีชีวิตด้วยการเอาอกเอาใจผู้อื่น กา ารทำให้คนอื่นพอใจกลายเป็นสัญชาตญาณ แน่นอนว่าการพูดโกหกก็เป็นสัญชาตญาณเช่นกัน! ไม่ว่าข้าจะเกลียดแค่ไหน แต่ปากก็จะบอกว่าชอบ ด้วยวิธีนี้ก็ทำให้ผู้อื่นเป็นอัมพาตได้จริงหรือไ ไม่”
หมิงเวยพยักหน้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว”
เวินซิ่วอี๋พูดต่อว่า “แต่ยิ่งข้าเอาอกเอาใจผู้อื่น ข้าก็ยิ่งเกลียดคนผู้นั้น ทุกครั้งที่ข้ายิ้มให้นาง ในใจข้ายิ่งเกลียดนางมากขึ้น ความเกลียดชังแบบนี้เมื่อสะสมมากขึ้นแล้วข้ าอาจจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
“หากทนไม่ไหวแล้วจะทำอย่างไร” เวินซิ่วอี๋หยุดแล้วใช้นิ้วหักกิ่งเหมยมากิ่งหนึ่ง
“ทนไม่ไหว…ก็ทำให้นางตายซะ!”
ทันทีที่นางออกแรงกิ่งเหมยก็หักลงเสียงดัง ‘คลิก’ ท่ามกลางหิมะที่เงียบงันเสียงนั้นดังชัดจนน่าตกใจ
หมิงเวยพูด “แล้วท่านอยากให้ข้าตายอย่างไร”
เวินซิ่วอี๋หันกลับมา นางถือกิ่งเหมยไว้ในมือแล้วยิ้ม ใบหน้าที่เดิมทีเงียบขรึม ภายใต้ฉากหลังต้นเหมยสีแดงสด เผยให้เห็นถึงความงามที่พราวไปด้วยเสน่ห์เล็กน้อย
ดวงตาของนางเป็นประกาย นางยิ้มให้หมิงเวยด้วยท่าทีสง่างาม “ท่านคิดว่าการทานเนื้อย่างชิ้นนั้นแทนเผยกุ้ยเฟย อาศัยพลังของตนเองจะสามารถปราบยาลับของข้าได้งั้นหรือ”
หมิงเวยพูดอย่างใจเย็น “ยาลับของท่านมีดีอะไร ข้าทานไปแล้วไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”
เวินซิ่วอี๋หัวเราะ ดวงตาของนางฉายแววความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย “ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อไร”
“รู้ว่าท่านผิดปกติงั้นหรือ” หมิงเวยพูดอย่างเป็นกันเอง “ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน”
เวินซิ่วอี๋มีสีหน้าสับสน “วันนั้นข้าหลุดอะไรไปหรือ เหมือนจะไม่มีนะ”
หมิงเวยยิ้ม “ไม่มี ภาพหมู่มวลบุปผาที่ดึงดูดผึ้งนั้นไร้ที่ติ”
“เช่นนั้นท่านรู้ได้อย่างไร”
หมิงเวยมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า “ท่านฝึกหนอนพิษกู่ใช่หรือไม่ ในตอนที่ท่านแสดงจึงมีกลิ่นอายชั่วร้ายเล็กน้อย ผีเสื้อเหล่านั้นจริงๆ แล้วไม่ได้มุ่งตรงไปที่เกสรบนด้ายปัก แ แต่เป็นยาลับที่ท่านพกติดตัวใช่หรือไม่”
“แต่ท่านไม่น่าจะได้กลิ่นมัน” เวินซิ่วอี๋พูด “ไร้สีไร้กลิ่น เป็นความเฉพาะของยาลับจากสำนักข้า ซึ่งไม่เคยมีใครได้กลิ่นมัน”
หมิงเวยพูดเสียงเรียบเฉย “ดังนั้นมือของท่านจึงเหนียวอยู่เสมอ อันที่จริงก็น่าขยะแขยงนิดหน่อย!”
“…” เวินซิ่วอี๋เงียบไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้า “ที่แท้ก็ปัญหานี้นี่เอง”
หมิงเวยยิ้มให้นาง
เวินซิ่วอี๋พูดอีกว่า “ในเมื่อท่านรู้นานแล้ว เช่นนั้นท่านควรรู้ว่าวันนี้ข้าจงใจล่อท่านออกมาใช่หรือไม่” หมิงเวยพยักหน้า
“แล้วเหตุใดท่านถึงยังตามมาล่ะ”
หมิงเวยพูดว่า “หากข้าไม่ตาม ท่านคงทำการเคลื่อนไหว แบบนั้นยุ่งยากไปหน่อย”
เวินซิ่วอี๋หัวเราะน้ำเสียงของนางอ่อนโยน “พี่หมิงรู้ใจข้าจริง พวกเราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่พบกันครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนเป็นสหายกันมานาน”
หมิงเวยถอนหายใจ “แต่ท่านกลับบอกว่าอยากฆ่าข้า”
“ใช่” เวินซิ่วอี๋ไม่ปฏิเสธ “ข้าไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นอาจรู้สึกยินดีที่ได้สหายคนสนิทคนสองคน แต่ข้าน่ะเกลียดการถูกมองออกมากที่สุด”
หมิงเวยพยักหน้า “ก็จริง การที่จะทำอะไรแล้วถูกผู้อื่นมองออกมันน่าเบื่อ”
“เพราะฉะนั้น” ดวงตาของเวินซิ่วอี๋เปล่งประกาย นางพุ่งไปข้างหน้า “ท่านพี่ตายที่นี่เสียเถอะ!”