คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 572 คุมขัง
กัวสวี่สวมเสื้อคลุม และเดินออกจากท้องพระโรง หลานชายของเขาติดตามอย่างใกล้ชิด และถามว่า “ท่านอาหก อันอ๋องยังอยู่ที่นี่ท่านจะกลับแล้วหรือ”
กัวสวี่พ่นลมหายใจ “ไม่ได้กลับจวน แต่จะกลับไปที่ทำการ หิมะตกหนักเช่นนี้อาจเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นพวกเราจะไม่กลับจวนจนกว่าหิมะจะหยุด”
“ท่านอาหกทุ่มเทจริงๆ ทำงานอย่างระมัดระวังรอบคอบ และทุ่มเทสติปัญญาทั้งหมด” ผู้เป็นหลานชายกล่าวชื่นชม
ผู้ใดจะรู้ว่าชื่นชมเพียงนี้แล้วกัวสวี่ไม่เพียงไม่ยินดี แต่ยังคิดอยากตีเขาด้วย
“ไร้สาระ!”
ผู้เป็นหลานไม่เข้าใจไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิด อย่างไรก็ตามเขาติดตามอยู่ข้างกายกัวสวี่ได้นานเช่นนี้ ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือหน้าหนาทำยิ้มระรื่นตอบรับ และกล้าที่ จะเล่นกับอีกฝ่าย
กัวสวี่เหยียบย่ำหิมะ และเดินไปที่ประตู
เจ้าหลานโง่ ผู้ใดจะอยากทำเพื่อส่วนรวมกันเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ศาลเสียหน่อยที่ทำงานหนักตรากตรำเช่นนี้ก็เพื่อเลื่อนตำแหน่ง ไม่อย่างนั้นในวันที่หิมะตก สู้อยู่ในจวนที่ห้อมล้อมไปด้ว วยอนุมากมาย เพลิดเพลินกับเรือนร่างของสตรีไม่ดีกว่าหรือ เขาหวังว่าการเดิมพันครั้งนี้จะได้ผลตอบแทนในอนาคต
หลังจากครุ่นคิดวุ่นวายในที่สุดก็เดินทางมาถึงประตูหย่งเล่อ หลานชายของเขาหยิบป้ายแขวนให้ทหารรักษาพระองค์ตรวจสอบอย่างเชื่อฟัง
ทหารที่มีหน้าที่เฝ้าประตูหย่งเล่อเข้ามาทักทาย “ผู้อาวุโสกัว ข้างนอกหิมะหนามากจนไม่สามารถข้ามสะพานได้ พวกเรากำลังตักหิมะอยู่เหตุใดท่านไม่รอด้านในเล่า”
จากนั้นก็เรียกทหารให้มานำทาง “ห้องพักของพวกเรายังอุ่นอยู่ ท่านผู้อาวุโสสามารถไปผิงไฟที่นั่นก่อนได้ ดื่มชาเลี่ยงความหนาวสักหน่อยขอรับ”
เขาดูใส่ใจมากเป็นพิเศษ…
ไม่เป็นไร ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสผู้ใดบ้างจะไม่ปลื้ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกัวสวี่ที่อายุยังน้อย แต่มีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ อนาคตของเขานั้นไร้ขีดจำกัด และวันหนึ่งเขาอาจได้เป็นโส่วเ เซี่ยงซึ่งเป็นรองแค่ฮ่องเต้เท่านั้น
กัวสวี่คิดเช่นนั้นเขาเข้าไปในห้องพักภายใต้การดูแลของทหารยาม และไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ แต่เมื่อดื่มชาไปแล้วสามถ้วย ทานขนมเต็มท้องไปแล้วหนึ่งจาน แต่หิมะก็ยังขุดไม่เสร ร็จ เขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เขาคิดจะออกจากห้องพัก แต่ก็ไม่รู้ว่าทหารยามโผล่ออกมาจากตรงไหนยืนยิ้มขวางเขาอยู่ด้านหน้า
“ผู้อาวุโสกัว ข้างนอกมันหนาว! ท่านยังทานไม่อิ่มไม่ใช่หรือ ข้าน้อยให้คนนำบะหมี่สักชามมาให้ท่านรองท้องก่อนดีหรือไม่”
กัวสวี่ตอบ “ข้าจะกลับที่ทำการแล้ว หลีกไป!”
เท้าของทหารยามราวกับมีรากยึดติดกับพื้นร่างกายเขาไม่ขยับเลยสักนิด ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม “ใต้เท้ากัวอย่าเพิ่งโกรธ ข้างนอกกำลังขุดหิมะกันอยู่ ท่านโปรดรอสักครู่”
ขนาดนี้แล้วหากยังไม่รู้ว่ามีปัญหากัวสวี่ก็เสียชาติเกิดแล้ว
เขาพูดอย่างเย็นชา “ขุดหิมะใช้เวลานานเพียงนี้เลยหรือ”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ ถนนถูกปิดกั้นอย่างหนักมาก” ทหารยามพูดอย่างไม่อาย ขนาดเผชิญหน้ากับสายตาเย็นชาของกัวสวี่เขายังไม่สะดุ้งเลย
จนกัวสวี่รู้สึกนับถือ “เจ้านี่กล้าจริงๆ!”
ทหารยามยิ้ม “ท่านชมเกินไปแล้ว”
กัวสวี่สงบอารมณ์แล้วพูดว่า “ไม่กลับที่ทำการไม่เป็นไร ข้าจะกลับไปที่ท้องพระโรงก่อน เวลาเป็นสิ่งมีค่าแทนที่จะนั่งเสียเปล่าโดยเปล่าประโยชน์ กลับไปอ่านฎีกาอีกสักสองสามฉบับดีกว่า ”
“น่าชื่นชมๆ” ทหารยามคำนับให้เขา แต่ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยเขาไป “แต่เส้นทางกลับไปยังท้องพระโรงถูกหิมะปกคลุมเสียแล้ว ผู้อาวุโสกัวนั่งอยู่ที่นี่ดีๆ เถอะขอรับ!”
“เจ้า…” กัวสวี่โกรธจัดเมื่อครู่ยังคงคลุมเครือ แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้ว ขนาดบอกไปอย่างชัดเจน แต่ก็ยังต้องการให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ
เกิดอะไรขึ้นกัน…ผู้อาวุโสผู้สง่างามอย่างเขามาถูกทหารยามผู้หนึ่งกักขังเนี่ยนะ ไม่รู้ว่าทหารยามผู้นั้นฉลาดเกินไปหรือโง่เกินไป อีกฝ่ายไม่สนใจท่าทีโกรธเกรี้ยวของเขาแล้วยังโค ค้งคำนับให้เขาอีก “ผู้อาวุโสกัวเชิญกลับไปนั่งเถอะขอรับ หากต้องการสิ่งใดให้บอกข้าน้อย ข้าน้อยจะรีบสรรหามาให้”
กัวสวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ และถามเขาว่า “ผู้ใดเป็นคนสั่งเจ้า”
ทหารยามมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ผู้อาวุโสพูดอะไรหรือ ข้าน้อยไม่เข้าใจ”
กัวสวี่พูดเสียงขรึม “เจ้าคิดถึงผลที่ตามมาดูสิ ฝ่าบาทขึ้นครองราชสมบัติมายี่สิบเอ็ดปี บ้านเมืองปลอดภัย ราชสำนักมั่นคง คิดว่าปลาเล็กปลาน้อยอย่างพวกเจ้าจะสั่นคลอนได้หรือ หากไม ม่สำเร็จนายของพวกเจ้าก็ไม่อาจใช้สายเลือดปกป้องชีวิตได้หรอก ส่วนบริวารอย่างพวกเจ้าก็จะตายโดยไม่มีที่ฝังศพ!”
สีหน้าของทหารยามเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย และยังพูดบ่ายเบี่ยงต่อไปว่า “ผู้อาวุโสกัวไม่ชอบบะหมี่ เช่นนั้นเอาเป็นข้าวดีหรือไม่ขอรับ วันนี้ห้องเครื่องต้มน้ำแกง งเป็ด รสชาติกลมกล่อมมาก ข้าน้อยจะสั่งคนให้เอามาให้ นอกจากนี้จะเตรียมสุราชั้นดีให้ร่างกายท่านอบอุ่นด้วย”
กัวสวี่มองดูเขาอย่างเย็นชา หลังจากที่ทหารยามพูดจบ เขายิ้ม และโค้งคำนับให้ก่อนจะออกไปเรียกใครสักคน
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนนำน้ำแกงเป็ดมาให้จริงๆ ด้วยกลิ่นหอม พร้อมด้วยเครื่องเคียงสองสามอย่าง และข้าวขาวชามโตซึ่งทำให้คนดูถึงกับน้ำลายสอ
กัวสวี่ยังไม่ทันได้พูดอะไรท้องของหลานชายก็ร้องเสียงดังก่อน ด้วยสายตาจ้องมองของเขาทำให้อีกฝ่ายยิ้มเก้อ
ทหารยามยิ้ม “ดูแล้วท่าจะหิวจริงๆ ผู้อาวุโสค่อยๆ ทานนะขอรับ”
จากนั้นก็ถอยออกไปกัวสวี่เลิกคิ้วจากนั้นก็นั่งลง
“มัวยืนอึ้งอะไรอยู่” เขาดุ “ยังไม่รินสุราอีก!”
“อ้อ! ขอรับ” ผู้เป็นหลานรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วรินสุราให้เขาอีกทั้งยังพูดอีกว่า “เชิญท่านอาหกทานอาหารก่อน ดื่มสุราตอนท้องว่างไม่ดีนะขอรับ”
กัวสวี่พ่นลมหายใจ และมองดูเขาที่นั่งลงข้างกายแล้วทานอาหารอย่างมีความสุขไม่รู้ว่าควรจะหมดกำลังใจหรือรู้สึกยินดีดี
หลานชายของเขาค่อนข้างโง่มีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจหลังจากสั่งสอนมาหลายปี แต่ไม่สามารถปล่อยให้เขารับผิดชอบด้านหนึ่งคนเดียวได้ แต่เขาเป็นคนกล้าเพราะในเวลานี้ยังสามารถทานอาหารไ ได้
ช่างเถอะเป็นคนก็ต้องทาน ในเมื่อไปไหนไม่ได้เช่นนั้นก็ทานให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน
…………
ผู้อาวุโสกัวผู้ซึ่งมีแผนอยู่เต็มหัวประมาทเลินเล่อจนถูกทหารยามคุมขัง แต่ใต้เท้าเจี่ยงผู้มั่นคงซื่อตรงได้รับข้อความตั้งแต่เช้าแล้วตอนนี้คงกำลังยุ่งอยู่
เมืองหลวงทั้งหมดอยู่ภายใต้เขตอำนาจของเขาตอนนี้หิมะตกหนักจนเป็นหายนะทุกคนต่างคิดว่าเขากำลังยุ่งอยู่ จึงไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเขากำลังควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมดในเมืองหลวงอย่ างเงียบๆ
ช่วงบ่ายเขาเรียกเหลยหงมาสั่งการในที่ลับตาคน “เจ้ารีบไปที่ซิ่งโจวแล้วมอบสิ่งนี้ให้กับผู้บัญชาการกองพลทหารรักษาพระองค์เว่ยเหิงให้เขารีบส่งทหารมาที่เมืองหลวงต้องเดินทางมาถึง งประตูทิศเหนือคืนนี้!”
เหลยหงตอบกลับว่า “ใต้เท้า…หิมะตกหนักเพียงนี้ไม่ใช่อากาศที่ดีสำหรับยกพลทหารเลยนะขอรับ”
“ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดพวกเขาก็ต้องมาที่นี่!” เจี่ยงเหวินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าไปบอกเขาเช่นนี้เขาต้องเข้าใจ”
เหลยหงตอบรับ “ขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขาเดินจากไปคิ้วของเขาขมวดแน่น เว่ยเหิงเป็นแม่ทัพจากสายตระกูลจงซึ่งประจำการอยู่ในเมืองซิ่งโจว ก่อนที่จงซู่จะออกจากเมืองหลวงเขาได้จัดการอย่างเงียบๆ และก็ เป็นความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาด้วย
ทางด้านกองทหารรักษาพระองค์มีความขัดแย้งบางอย่างกับจงซู่ พวกเขาจึงไม่สามารถยื่นมือเข้ามาแทรกแซงได้ หยางชูเองก็กลัวว่าจะเป็นการทำให้ฮ่องเต้รู้ตัวจึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไป คนที่พว วกเขาคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วคือตี๋ฝาน และกลุ่มของเขา แต่ตำแหน่งของพวกเขาค่อนข้างต่ำ เจี่ยงเหวินเฟิงไม่ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้จริงๆ แต่มาถึงจุดนี้แล้วเขาไม่มีส่วนร่วมคงไ ไม่ได้
ในพันธมิตรกบฏมีเขาเพียงผู้เดียวที่เป็นเจ้าหน้าที่ราชการ ส่วนกัวสวี่จอมฉวยโอกาสยังไม่ได้รับความไว้วางใจเต็มที่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งสถานะของเขาก็สูงเกินไปมันดูเด่นชัดไปหน่อย ด ดังนั้นเจี่ยงเหวินเฟิงจึงถูกบีบบังคับให้รับหน้าที่สำคัญ