คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 573 พายุหิมะ
“ใต้เท้า ท่านอาจารย์ของท่านมาขอรับ” เจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินรายงาน และเห็นฟู่จินสวมเสื้อคลุมเดินเข้ามาจากด้านนอก ร่มในมือของเขายังมีเกล็ดหิมะติดอยู่
เขาหัวเราะไม่ออก “อาจารย์ หิมะตกหนักเช่นนี้แค่ร่มจะบังลมหนาวได้อย่างไร สวมเสื้อกันฝนไม่ดีกว่าหรือ”
ฟู่จินวางร่มลงแล้วพูดขณะถอดเสื้อคลุมออก “สวมเสื้อกันฝนอะไรกัน ข้าดำอย่างกับอีกา”
เจี่ยงเหวินเฟิงรู้สึกจนปัญญา ด้วยบุคลิกของอาจารย์แล้วคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว
“ท่านมาทำไมหรือ” เจี่ยงเหวินเฟิงให้เขานั่งข้างเตาไฟแล้วยื่นชาร้อนให้เขา
ฟู่จินจิบคำหนึ่งแล้วพูดว่า “แน่นอนว่ามีเรื่องสำคัญ”
“ท่านไม่กลัวถูกคนเห็นหรือ”
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาฟู่จินไม่ได้ติดต่อกับเขามากนักมีหลายคนรู้ว่าพวกเขาเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กัน แต่กลับไม่มีผู้ใดคิดว่าพวกเขาเป็นพรรคพวกเดียวกัน
ลูกศิษย์ของฟู่จินมีมากมายเจี่ยงเหวินเฟิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
“เวลานี้แล้วจะกลัวอะไร” ฟู่จินดื่มชาเสร็จแล้วถาม “เจ้าส่งคนไปซิ่งโจวหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบใช่ ฟู่จินพยักหน้า “ส่งคนไปเขาซิ่วชานด้วย” ไปเขาซิ่วชานแน่นอนว่าต้องเดินทางไปแจ้งฮ่องเต้
เจี่ยงเหวินเฟิงถาม “ไม่เร็วไปหรือขอรับพวกเขายังไม่เคลื่อนไหว หากไปรายงานตอนนี้ไม่ได้เป็นการบอกว่าพวกเราทราบเรื่องนี้ล่วงหน้าหรือ”
ฟู่จินพูด “เจ้าเป็นจิงจ้าวอิ่น การพบความผิดปกติล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องสมควรหรือ ในฐานะขุนนางที่ซื่อสัตย์เป็นเรื่องปกติที่จะรายงานตั้งแต่เนิ่นๆ”
เขาชะงักชั่วขณะหนึ่งแล้วพูดเสริมว่า “แล้วยังเรื่องขอความช่วยเหลือควรอธิบายให้ทราบล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการคิดบัญชีย้อนหลัง” เจี่ยงเหวินเฟิงเข้าใจความหมายของเขาอย่างชาญฉลาด
“ท่านต้องการ…”
ฟู่จินเงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้านั่งอยู่ในตำแหน่งนี้มาสามปีแล้ว ถึงเวลาที่ต้องขยับแล้ว หลู่เซียงบอกว่าเขาจะเกษียณในปีหน้า เมื่อถึงตอนนั้นราชสำนักจะไม่มีตำแหน่งเพิ่มมาหนึ่งหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหัวอย่างสังหรณ์ใจ “ไม่ได้! อายุอย่างข้าเข้าสู่ราชสำนัก จะมีอำนาจอยู่กี่ปีกันฝ่าบาทไม่มีทางยินยอม…”
“วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน” ฟู่จินโยนถ่านเข้าไป “ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยแย่ลงเรื่อยๆ อันอ๋องทำให้พระองค์วางพระทัยไม่ลง หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก เขาต้องการขุนนางผู้ซื่อสัตย์สักสองสามคน ในเวลานี้หากเจ้ายืนขึ้นมาฝ่าบาทจะต้องเชื่อใจเจ้าเป็นอย่างมาก”
“อาจารย์…”
ในที่สุดเจี่ยงเหวินเฟิงก็เข้าใจอาจารย์ของเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อผลักดันเขาไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นจากขุนนางผู้ซื่อสัตย์เป็นขุนนางคนโปรด แต่จริงๆ แล้วเขา…
ฟู่จินเงยหน้าขึ้น และยิ้ม “ถึงตอนนี้แล้วอย่าพูดว่าเจ้าไม่มีความทะเยอทะยาน”
“…” เจี่ยงเหวินเฟิงเงียบ ไม่กี่ปีก่อนเขาไม่ต้องการจริงๆ แค่ต้องการสืบสวนคดี และใช้เวลาอยู่กับเชี่ยนเหนียง แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป เชี่ยนเหนียงได้พบร่างที่เกิดใหม่ของนางแล้วขอเพียงรอเวลาอีกสักสามสี่ปีพวกเขาก็จะได้อยู่ด้วยกัน เพื่อที่จะได้พบกับเชี่ยนเหนียงเขาต้องก้าวหน้ามากกว่านี้
“เจ้าคงคิดได้แล้วว่าหากเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นข้าวางแผน คงตามใจอีกฝ่ายไปจนกระทั่งเกิดความสูญเสียทั้งสองฝ่าย จากนั้นค่อยให้ท่านอ๋องออกมาเก็บกวาดและฉวยโอกาสคว้าเอาผลประโยชน์ไปแทน” ฟู่จินเคาะหม้อถ่าน “แต่ท่านอ๋องไม่เห็นด้วย”
ฟู่จินถอนหายใจ “แต่หากพวกเราทำเยอะเช่นนั้นก็ต้องมีประโยชน์บ้างใช่หรือไม่ ถ้าไม่สามารถผลักเจ้าขึ้นไปได้พวกเราจะพยายามอย่างมากไปเพื่ออะไรกัน”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านกำลังบีบบังคับข้า”
ฟู่จินยิ้ม “เช่นนั้นเจี่ยงชิงเทียนจะยอมให้บังคับหรือไม่ หากเจ้าไม่รับปากข้าก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้”
เขาควรตอบคำถามนี้อย่างไร เจี่ยงเหวินเฟิงหลับตา และยอมรับความพ่ายแพ้ “ท่านพูดมาเถอะ!”
ฟู่จินหัวเราะแล้วสั่งการว่า “รีบส่งคนไปที่เขาซิ่วชาน ขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาท และรายงานการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่พวกเราตรวจพบในกองทหารรักษาพระองค์ นอกจากนี้เรียกตัวตี๋ฝานมาข้าจะพาเขาไปทำอะไรบางอย่าง”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “ตอนนี้ตี๋ฝานถูกพักงานเกรงว่า…”
“ไปเรียกเขามาก่อน” ฟู่จินพูด “เขาถูกพักงาน แต่เขาอยู่ในกองทหารรักษาพระองค์มาหลายปีเขาต้องมีสหายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
เหตุผลเรียบง่ายเกินไปเจี่ยงเหวินเฟิงได้แต่ยอมแพ้ “…ขอรับ”
หลังจากนั้นไม่นานตี๋ฝานก็มา เจี่ยงเหวินเฟิงแนะนำฟู่จินให้เขารู้จัก
ตี๋ฝานรู้จักชื่อเสียงของเขามานานแล้วจึงทักทายเขาด้วยความเคารพ
ฟู่จินยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ทัพตี๋ ท่านดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการมาหลายปี ไม่คิดอยากเลื่อนขั้นบ้างหรือ ท่านอยากเป็นผู้บัญชาการหรือไม่”
“…” เจี่ยงเหวินเฟิงอยากจะปิดปากเขา! น้ำเสียงนี้อย่างกับลุงประหลาดที่ชอบหลอกลวงเด็กอย่างนั้นแหละ!
………….
เสวียนเฟยนั่งอยู่บนหอดูดาว มองดูหิมะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
หลังจากคดีของอวี้หยางเขาก็ถูกลงโทษไม่ให้ออกนอกเสวียนตูกวันเป็นเวลาครึ่งปี จึงปิดประตูปฏิบัติธรรม
เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชื่อเสียงของเสวียนตูกวัน และด้วยเหตุนี้อำนาจภายในเสวียนตูกวันจึงถูกเขาระงับ และเริ่มทำการฟื้นตัวใหม่ แต่สภาพจิตใจของเสวียนเฟยกลับโปร่งใสอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเขาเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ผิดปกติก็ทำประหนึ่งไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นั่งทำสมาธิทุกวัน
“ท่านอยู่ที่นี่จริงๆ!”
เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน เสวียนเฟยเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็เห็นหนิงซิวเดินลงจากทางบนภูเขาด้วยท่าทางสง่างาม
“พี่หนิง” เขาทักทายด้วยรอยยิ้ม
หนิงซิวพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากไม่เป็นอะไรแล้วก็ไปกับข้า!”
เสวียนเฟยเลิกคิ้ว “ไปไหน”
“พระราชวัง”
เสวียนเฟยตกใจเล็กน้อย “ทำไมหรือ”
หนิงซิวไม่คิดปิดบังเขา “ข้าได้รับข่าวจากศิษย์น้องว่าอาจมีการกบฏขึ้นในคืนนี้”
เสวียนเฟยร้องอ้อ “ท่านเลยจะรีบไปปกป้องเขาหรือ”
“เปล่า” หนิงซิวพูด “ไปปกป้องอันอ๋อง”
เสวียนเฟยตกใจ เขาถามอย่างสงสัย “เหตุใดต้องไปปกป้องอันอ๋องด้วย หากไม่มีอันอ๋อง หนทางข้างหน้าของเขาจะไม่ราบรื่นขึ้นหรือ”
หนิงซิวตอบเสียงเรียบ “อันอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา”
เสวียนเฟยเลิกคิ้ว “แค่นั้นหรือ”
“แล้วท่านคิดว่าอะไร” เสวียนเฟยไม่ตอบ
หนิงซิวพูดต่อ “ข้ารู้ว่าในใจท่านไม่ได้ไว้ใจเขามากเพียงนั้น ที่ท่านอยู่กับพวกเราเพราะเป้าหมายทับซ้อนกัน ด้วยความสัตย์จริงเดิมทีข้าไม่ต้องการให้เขาเดินไปในเส้นทางนี้ก็ได้แต่หวังว่าสักวันเขาจะคิดออก และจากไปกับข้า แต่เมื่อความจริงมาอยู่ตรงหน้า ข้าไม่สามารถปฏิเสธความพยายามของเขาได้แล้วก็ไม่สามารถละเลยความจริงที่ว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดได้”
เสวียนเฟยมองไปที่หอดูดาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และไม่พูดอะไร
“เขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน ข้าไม่สามารถขอให้ท่านเชื่อใจเขามากกว่านี้ แต่ข้าหวังว่าท่านจะเห็นว่าเขาดีเพียงใด”
เสวียนเฟยยิ้ม “ท่านประทับใจในตัวเขาแล้ว”
หนิงซิวถอนหายใจ “ข้าเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้พาเขาจากไปในทันที แต่นี่เป็นทางเลือกของเขาเอง ในเมื่อเขาเรียกข้าว่าศิษย์พี่แล้วข้าจะทำอะไรได้นอกจากสนับสนุน”
เสวียนเฟยพยักหน้า “ท่านเป็นศิษย์พี่ที่ดี”
“แล้วท่านล่ะ” หนิงซิวจ้องมาที่เขา “จนถึงตอนนี้ท่านเชื่อในตัวเขาได้หรือไม่”
เสวียนเฟยยื่นมือออกมาเกล็ดหิมะลอยตกมาที่ฝ่ามือ และกลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว
มันเยือกเย็น และใสมาก
“ได้ ข้ายอมรับ เขาทำได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้” เขายืนขึ้น “เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าจะให้โอกาสเขา หากเขาทำได้หลังจากนี้เป็นต้นไปข้าจะเชื่อฟังแต่เขาเท่านั้น”
…………………