คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 574 สร้างแรงผลักดัน
หิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และเส้นทางสู่พระราชวังขาวโพลน องค์ชายรองกำลังถือสายบังเหียนอยู่ในมือ มือของเขาสั่นเทาอย่างประหม่าจนแทบไม่รู้สึกถึงความร้อน
“องค์ชาย” อาจารย์หงขี่ม้าเข้าไปใกล้ และเดินเคียงข้างเขา
องค์ชายรองถามเขาราวกับหาที่พึ่งสุดท้าย “อาจารย์ พวกเราจะเข้าไปเช่นนี้หรือ”
อาจารย์หงยิ้ม “ไม่อย่างแน่นอน”
“แล้วเราจะทำอย่างไร”
อาจารย์หงพูด “พวกเรายังต้องการคนเขียนพระราชโองการหนึ่งคน”
องค์ชายรองตกใจสมองที่หยุดนิ่งเป็นเวลานานในที่สุดก็ได้ขยับ
“ท่านหมายถึงผู้อาวุโสงั้นหรือ” อาจารย์หงพยักหน้า
ว่ากันตามตรงต้องมีผู้ที่มีน้ำหนักมากพอที่จะสนับสนุนเขา หลังจากก่อการกบฏสำเร็จแล้วต้องมีขุนนางตัวแทนคำนับกราบไหว้ การแสดงท่าทีว่าเป็นการรับช่วงต่อถึงจะดูสมจริง มีหลายครั้งที ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเมื่อตนเองอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
องค์ชายรองรู้ว่าเขาไม่มีกำลังมากนัก ฮ่องเต้ยังทรงอยู่ในอำนาจ ขุนนางส่วนใหญ่ที่เขาผูกมิตรด้วยล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ที่ยังไม่มีสิทธิ์เสียงในการพูด ในด้านของกองทหารรักษาพร ระองค์มีเพียงค่ายเสวียนอู่เท่านั้นที่สามารถระดมกำลังได้
ดังนั้นจะต้องมีการสร้างแรงผลักดันมหาศาล อาศัยช่วงที่ผู้อื่นไม่เข้าใจสร้างพลังที่ทรงอานุภาพด้วยการโน้มน้าวใจผู้ที่สับสน และมองไม่เห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน
ลองนึกภาพเขาประสบความสำเร็จในการยึดวัง และได้นั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นดูสิ มีขุนนางคนสำคัญพูดกับเขาว่าทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี บรรดาขุนนางที่มีตำแหน่งไม่สูงพอนั้นมีภาพลวงตาที่ เขาได้ครองใต้หล้าหรือไม่ ตราบใดที่พวกเขายอมจำนนคุกเข่าให้ก็จะได้ชื่อเสียงฐานะ พูดให้ชัดเจนก็คือการหลอกลวงนั่นเอง
แต่องค์ชายรองยังคงไม่มั่นใจ “อาจารย์ คนเหล่านั้นเจ้าเล่ห์เกินไป! เปิ่นหวางพยายามผูกสัมพันธ์มานาน แต่ไม่มีผู้ใดอยากอยู่ฝั่งข้าสักคน…”
อาจารย์หงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ท่านซื่อตรงเกินไปต้องให้พวกเขาเป็นคนเริ่ม”
องค์ชายรองไม่เข้าใจ “พวกเขาไม่เริ่มก็ยากที่จะบังคับ…”
อาจารย์หงพูดแฝงความหมายไปว่า “วันนี้ผู้ที่ต้องเดินทางไปท้องพระโรงคือกัวสวี่ ก่อนหน้านี้เขาเดินทางออกจากพระราชวังได้ถูกกักตัวอยู่ที่ประตูหย่งเล่อแล้ว”
องค์ชายรองขานรับ
อาจารย์หงพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า “ผู้อาวุโสกัวเป็นคนอย่างไร องค์ชายคงทราบดีอยู่แก่ใจ ก่อนหน้านี้ท่านผูกสัมพันธ์กับพวกเขาในบรรดาพวกเขาผู้ที่มีทัศนคติไม่ชัดเจนที่สุดก็คือ อกัวสวี่ เหตุใดเขาจึงไม่อยากขัดใจองค์ชาย หนึ่ง รากฐานของเขาไม่ลึกเท่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ สอง เขามีนิสัยชอบแสวงหาผลกำไร เขารู้สึกว่าองค์ชายมีโอกาสที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์จึง งไม่อยากทำให้องค์ชายขุ่นเคือง”
“แต่ตั้งแต่เขากลับมาจากซีเป่ยก็เจริญก้าวหน้าขึ้นตอนนี้ไม่สนใจเปิ่นหวางแล้ว…”
อาจารย์หงส่ายหน้า “องค์ชาย สิ่งที่กระหม่อมต้องการจะบอกคือนิสัยของกัวสวี่ เขาเป็นคนโลภในอำนาจหันหางเสือไปตามลม มีความคิดอย่างนักพนัน พวกเราจับตัวคนของเขาไว้ ทำให้เขารู้ ว่าหากไม่ทำตามจะถูกฆ่าแบบนั้นแล้วเขาจะทำอย่างไรได้ หากไม่ยินยอมก็ไม่ได้อะไรนอกจากความตาย หากยินยอมอาจได้เป็นถึงโส่วเซี่ยง เช่นนี้ไม่สอดคล้องกับนิสัยของเขาหรือ กระหม่อมคิ ดไม่ออกว่าเขามีเหตุผลอะไรที่ต้องปฏิเสธ”
ในที่สุดองค์ชายรองก็เข้าใจ “อย่างนี้นี่เอง!”
อาจารย์หงอธิบายให้เขาฟังทีละอย่างยิ่งทำให้ความมั่นใจขององค์ชายรองเพิ่มขึ้นทันที
จากที่กล่าวมาเขามีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างมาก! ฮ่องเต้เสด็จประทับนอกวัง ขุนนางคนสำคัญเดินทางไปด้วยเกือบครึ่ง ตอนนี้ราชสำนักว่างเปล่า!
หากเกลี้ยกล่อมกัวสวี่ได้เขาก็จะนำหน้า และสังหารคนที่ไม่เชื่อฟัง พวกขุนนางที่เหลืออยู่ไม่มีทางทนได้แน่ ดังนั้นแม้จะมีเพียงค่ายเสวียนอู่ ตราบใดที่เขากุมสิ่งสำคัญไว้ได้ ทำลา ายรังของศัตรู ยึดพระราชวัง เท่านี้เขาก็ได้เป็นใหญ่ในหยุนจิงแล้ว
ทางด้านเขาซิ่วชาน หากการลอบสังหารประสบความสำเร็จ เหล่าขุนนางเสียชีวิต เมื่อเดินทางกลับมาอำนาจของเขาก็เต็มเปี่ยมแล้ว เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีกนอกจากยอมรับชะตากรรม ยังมีกฎที่ว่า าความสัมพันธ์ของฮ่องเต้เสมือนบิดาและบุตร หากเหล่าขุนนางต้องการเปลี่ยนฮ่องเต้ก็ต้องหาผู้เป็นนาย
หากเขาทำสำเร็จ อันอ๋องตาย ไท่จื่อที่ถูกปลดแล้วน้องชายอีกสองคนก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเขาไม่เพียงหาเจ้านายไม่ได้ ต่อให้ไม่ยอมอย่างไรก็ต้องคุกเข่าตรงหน้าเขา! หลัง งจากพยายามทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ ในที่สุดองค์ชายรองก็หยุดประหม่า และรู้สึกมีกำลังใจขึ้น
เขาจำคำพูดของอาจารย์หงก่อนหน้านี้ได้ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ
นี่คือเส้นทางสู่การเป็นฮ่องเต้!
…………..
ม้าวิ่งมาจนสามารถมองเห็นค่ายปรากฏขึ้นท่ามกลางหิมะ ตี๋ฝานดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้า
ฟู่จินที่อยู่ข้างหลังเขาก็หยุดเช่นเดียวกัน
“อาจารย์ฟู่ ด้านหน้าคือค่ายจูเชว่ขอรับ” ตี๋ฝานพูดเสียงหอบ
“อืม” ฟู่จินหายใจหอบหนักกว่าเขาเล็กน้อย แต่ก็ยังดูกระปรี้กระเปร่าราวกับเด็กรุ่นเยาว์ไม่ปาน
ตี๋ฝานยังคิดว่าฟู่จินเป็นบัณฑิตที่มีอายุมากแล้วคงไม่สามารถขี่ม้าฝ่าหิมะได้ ไม่คิดว่าเขาจะดูกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้
“อาจารย์ฟู่ ข้าจะบอกความจริงกับท่าน ในค่ายจูเชว่ผู้ที่ข้าคุ้นเคยมีผู้ตรวจการไม่กี่นาย ผู้บัญชาการของพวกเขาไม่เป็นมิตรกับข้าคงโน้มน้าวใจพวกเขาไม่ได้”
ฟู่จินยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวใจพวกเขา”
ตี๋ฝานไม่เข้าใจ “แล้วท่านจะทำอย่างไร”
ฟู่จินเหลือบมอง “ผู้ตรวจการของพวกท่านคือทัพแนวหน้า”
ตี๋ฝานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็โพล่งออกมาว่า “ท่านต้องการยืมแรงพวกเขา…”
“จะเรียกว่ายืมแรงได้อย่างไร” ฟู่จินพูดเสียงเบา “แค่เปลืองแรงสักเล็กน้อย ให้พวกเขาพักหนึ่งวันก็พอแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทีไม่กระตือรือร้นของเขาฟู่จินก็พูดกระตุ้นต่อว่า “แม่ทัพตี๋ สิ่งที่พวกเราต้องทำเป็นเรื่องที่ดี ท่านลองคิดดู พวกกบฏสังหารผู้คนไปทั่ว มีคนอาศัยช่วงที่ฝ่าบาทไม่อ อยู่ก่อเหตุชั่วร้าย การที่พวกเราปราบความโกลาหลคือการแสดงความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ ในทางกลับกันหากพวกเราเพิกเฉยต่างหากที่ควรรู้สึกละอายใจ”
ตี๋ฝานถอนหายใจ “อาจารย์ฟู่ ท่านไม่จำเป็นต้องพูดแล้วเหตุผลนี้ข้าเข้าใจดี ข้าเองก็เชื่อใจใต้เท้าเจี่ยง” เขาชะงักแล้วพูดต่อว่า “ข้าไม่ได้คิดมากเรื่องผู้บัญชาการ แต่ใต้เท้าเจี ยงกับเยวี่ยอ๋องล้วนมีพระคุณต่อข้า ในช่วงเวลาที่ข้าลำบากที่สุดพวกเขาเชื่อใจข้า และพยายามอย่างหนักเพื่อข้า หากวันนี้คนเหล่านั้นทำสำเร็จใต้เท้าเจี่ยงไม่ต้องพูดถึง ชีวิตของ งเยวี่ยอ๋องก็อาจไม่สามารถรับประกันได้ ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อสิ่งนี้”
ฟู่จินยิ้ม “แม่ทัพตี๋มีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้าจริงๆ”
ตี๋ฝานฝืนยิ้ม และกระตุกสายบังเหียน “ไปกันเถอะ!”
เขาคิดว่าสิ่งที่ฟู่จินพูดนั้นสมเหตุสมผลพวกแม่ทัพแนวหน้าอ้างว่าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท แต่ผู้บัญชาการไม่ปรากฏกาย ทหารระดับล่างจะสงสัยได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดถึงมิตรภาพค ความจริงที่ว่าพวกเขาคลุกคลีอยู่กับทหารระดับล่างก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะเกลี้ยกล่อมผู้บัญชาการแล้ว ค่ายเสวียนอู่เคลื่อนไหวแล้วหากจะหยุดยั้งต้องรีบส่งกองทัพไปทันที!
…………..
ทางเจี่ยงเหวินเฟิงเองก็ยุ่งเช่นกัน
หลังจากที่ฟู่จินพาตี๋ฝานออกไปเขาก็ส่งคนออกไปเจรจากับเหล่าอ๋อง โหวและขุนนางคนสำคัญ
ใต้เท้าเจี่ยงเป็นคนมีหน้ามีตามากจนกระทั่งกลางดึกมีคนมาถึงที่ว่าการไม่ขาดสาย คนที่เข้าใจเจตนาของเขาล้วนแต่เป็นคนฉลาด เมื่อเข้าไปในที่ว่าการแล้วเห็นคนมากมายเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ สบายใจ
เมื่อเจี่ยงเหวินเฟิงเข้ามาเหล่าอ๋อง โหว และขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ก็รีบเข้าไปหา
“ใต้เท้าเจี่ยง นี่มันเกิดอะไรขึ้น”