คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 575 น่าเกรงขาม
มือของหยางชูขยับกลไกที่ซ่อนอยู่ และแล้วตู้หนังสือตรงมุมห้องก็ขยับออกไปเผยให้เห็นช่องที่มืดมิด
อันอ๋องตกใจ “มีจริงๆ ด้วย!”
หยางชูเองก็ดูประหลาดใจเช่นกัน “ที่แท้อยู่ที่นี่นี่เอง!”
เขาติดตามหมิงเวยมายังเส้นทางลับมาแล้วมีแผนที่ในมือจึงรู้ว่ามีทางเข้าในท้องพระโรง
อันอ๋องตื่นเต้นมาก “พวกเราเข้าไปสำรวจกันดีหรือไม่”
“ดี!” หยางชูมองไปรอบๆ อย่างกระตือรือร้น เขาหยิบเทียนไขเข้ามาใส่ในตะเกียงแล้วให้อีกฝ่ายถือ “มืดเกินไป ท่านถือไว้เถอะ”
“ได้!” อันอ๋องรู้สึกสนุกมาก “เมื่อก่อนข้าอยู่คนเดียวเลยไม่กล้าเดินไปรอบๆ มีเจ้าไปด้วยก็ดีเลย เจ้าเป็นวรยุทธ์ข้าไม่กลัวเรื่องความปลอดภัยแล้ว”
หยางชูยิ้มตอบเขา จากนั้นรีบใช้ผ้าคลุมห่อขนมแล้วยัดใส่อ้อมแขนของอีกฝ่าย
“เจ้าทำอะไรน่ะ” อันอ๋องงุนงง
“เส้นทางลับมักจะไม่เห็นดวงอาทิตย์อากาศหนาวเช่นนี้ต้องหนาวยิ่งกว่าเดิมแน่ พวกเราต้องเตรียมพร้อม”
อันอ๋องพยักหน้า “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”
หยางชูกลอกตา และพูดว่า “เสื้อผ้าของท่านบางไปเปลี่ยนชุดใหม่ดีหรือไม่”
“จำเป็นหรือ”
“แน่นอนว่าจำเป็น! ในท้องพระโรงอบอุ่นมากกว่าปกติท่านก็รู้” หยางชูอดไม่ได้ที่จะดึงเขาขึ้นมาแล้วถอดชุดหมางเผ่าออกอย่างรวดเร็วแล้วหยิบเสื้อคลุมผ้าฝ้ายมาสวมบนศีรษะของเขา
“เดี๋ยว!” อันอ๋องร้อง “เจ้างุ่มง่ามจริงข้าจัดการเอง!”
“เร็วหน่อย!” หยางชูเร่งอย่างกังวล
“รู้แล้วๆ” อันอ๋องสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้าย และปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก “เจ้าไม่เปลี่ยนหรือ”
“ข้าเป็นวรยุทธ์มีกำลังภายในไม่รู้สึกหนาวหรอก”
อันอ๋องอิจฉา “เป็นวรยุทธ์ก็มีดีตรงนี้ กลับไปข้าจะให้อาจารย์สอนฝึกกำลังภายใน”
“ได้! อย่างไรจวนท่านก็มีอาจารย์อยู่แล้ว” หยางชูพูดเรื่อยเปื่อยกับเขา แต่มือขยับอย่างรวดเร็ว เขาใช้ผ้าพันรอบศีรษะอีกฝ่ายแล้วยัดโคมในมือให้เขาอีกครั้ง จากนั้นก็ผลักอีกฝ่ายเข้าไปที่ทางเข้าทางลับ
อันอ๋องถือตะเกียงไปบ่นไปว่า “นี่หมายความว่าอะไรให้ข้าขนของ ถือตะเกียง เจ้าจะทำอะไรน่ะ หลานชายข้าจะบอกอะไรเจ้า เช่นนี้มันเกินไปแล้วนะ ข้าอาวุโสกว่าเจ้า รู้หรือไม่คำว่าอาวุโสน่ะ! เคารพอาวุโสเมตตาผู้เยาว์…”
อันอ๋องพูดไปได้ครึ่งทางทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปิดประตูทางลับ เขาหันไปอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือกำแพง
“นี่! หลานชาย เจ้าทำอะไรน่ะ” อันอ๋องตบกำแพง
เสียงของหยางชูดังทะลุกำแพง “ท่านอาสาม หลานชายคนนี้ทำเพื่อท่าน ท่านทำตัวดีๆ อากาศหนาวก็สวมเสื้อผ้าให้มากขึ้น เมื่อหิวก็ทานขนม อดทนหน่อย ผ่านคืนนี้ไปก็ดีขึ้นเอง”
อันอ๋องตกตะลึง “เจ้าเล่นอะไร”
“จำไว้ว่าอย่าส่งเสียงเด็ดขาด! หลานชายได้ทำทุกอย่างไปหมดแล้วอย่าให้ความพยายามของข้าสูญเปล่า”
อันอ๋องตบกำแพง “เจ้าหมายความว่าอย่างไรรีบปล่อยข้าออกไปนะ!”
น่าเสียดาย ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีการเคลื่อนไหวจากหยางชู อันอ๋องโกรธมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาหันศีรษะไปมองรอบๆ ยกเว้นตะเกียงในมือก็เห็นว่าบริเวณโดยรอบมืดสนิท
เขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว ปากท่องอะไรบางอย่าง “อวี้หวงต้าตี้ พระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม เทพเซียนทั้งหลาย ข้าทายาทอันดับที่สามแห่งตระกูลเจียงผู้ไร้ความรู้ เกียจคร้าน เสเพล แต่ไม่เคยทำเรื่องไม่ดี! พวกท่านช่วยอวยพรให้ข้าอยู่รอดปลอดภัยไม่มีสิ่งชั่วร้ายรุกราน...”
ในตอนที่พูดเขามักจะรู้สึกเหมือนมีหลายสิ่งหลายอย่างจ้องมองมาที่เขาในความมืด เขาขยับร่างกายพยายามหดตัวบรรเทาความรู้สึกที่มีอยู่
อันอ๋องไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าค่ายกลที่นี่ได้ถูกหมิงเวยแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ไม่มีวิญญาณชั่วร้ายใดๆ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่สะอาดที่สุดในเมืองหลวงทั้งหมด…
…………..
เมื่อขี่ม้าข้ามสะพานจินสุ่ยจิตใจขององค์ชายรองไม่เคยหวั่นไหวเท่าวันนี้มาก่อน ตราบใดที่เขาทำสำเร็จ เขาก็จะได้นั่งในตำแหน่งที่เขาใฝ่ฝันมานาน
ไม่! ต้องบอกว่าดีกว่าที่เขาฝันไว้เยอะ
เขานึกย้อนถึงตัวเอง เหตุใดเมื่อก่อนเขาขี้ขลาดเพียงนั้น สู้กันไปกันมา รู้เพียงว่าต้องต่อสู้เพื่อตำแหน่งไท่จื่อกับขยะอย่างพี่ใหญ่ ไท่จื่อมีดีอะไร ชีวิตไม่ได้อยู่ในมือของผู้อื่นงั้นหรือ ดูอย่างพี่ใหญ่สิพูดไร้สาระอย่างไรก็ไม่เป็นไร
ตำแหน่งนั้นดีมากหากได้ขึ้นไปนั่งก็จะอยู่เหนือผู้คนนับพัน! จะไม่มีผู้ใดมายุ่งกับเขาอีกแล้วเขาจะทำอะไรก็ได้!
องค์ชายรองมาถึงประตูหย่งเล่อด้วยความตื่นเต้น ประตูเมืองถูกปิดอาจารย์หงก้าวไปข้างหน้าเพื่อเรียกให้เปิดประตู มีคำถามมาจากข้างใน อาจารย์หงพูดเสียงดังว่า “องค์ชายรองเดินทางมาถึงพวกเจ้ายังไม่เปิดประตูอีก!”
เมื่อได้ยินเสียงผู้คนที่อยู่เหนือกำแพงเมืองก็สั่นสะท้าน และบางคนก็ก้มหน้ามองลงไป องค์ชายรองเหยียดหลังให้ตรง และพยายามแสดงสีหน้าน่าเกรงขาม
เขาสบตากับทหารเฝ้าประตูเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหรี่ตาเนื่องจากมองไม่ชัด เขาจึงถอดผ้าคลุมออกเผยใบหน้าของตนท่ามกลางพายุหิมะอย่างชัดเจน ลมหนาวพัดเข้ามา และเข้าไปในคอเสื้อทำให้เขาตัวสั่นจากความหนาวเย็น แต่เขายังคงไม่ขยับเพราะต้องการรักษาท่าทีสง่างามเอาไว้
ไม่นานประตูเมืองก็เปิดออก เสียงอันหนักแน่นนั้นสำหรับองค์ชายรองแล้วราวกับเสียงจากสวรรค์
บัลลังก์ของเขาหากผ่านประตูนี้ไปก็ไม่มีสิ่งใดกีดขวางแล้ว!
“ถวายพระพรองค์ชาย ทรงพระเจริญ พันปี พันๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ” ทหารปกป้องเมืองคุกเข่าลงทำให้เขาได้สัมผัสถึงรสชาติอันยอดเยี่ยมของการเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า
เขาพยักหน้าด้วยท่าทีเมตตา แต่ยังคงความสง่างาม
“ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!” องค์ชายรอง และทหารองครักษ์ของเขาถูกเชิญเข้าไปข้างใน
ทหารผู้เป็นหัวหน้านำทาง “ผู้อาวุโสกัวอยู่ในห้องพัก เขามีผู้ติดตามเพียงคนเดียว แต่ถูกพวกเรากักตัวไว้อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม แต่อันที่จริงเขาประหม่าเกินกว่าจะพูด
อาจารย์หงกล่าวเสริมในทันทีว่า “ทำได้ดี! ลำบากเจ้าแล้ว หากเรื่องในวันนี้ทำสำเร็จถือว่าเจ้ามีส่วนร่วมอย่างมาก องค์ชายไม่มีทางลืมเจ้าอย่างแน่นอน”
ทหารผู้นั้นดีใจมาก “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”
วีรบุรุษผู้อยู่ข้างกายฮ่องเต้ และต่อสู้จนได้รับชัยชนะคงได้รับการแต่งตั้งเป็นโหวใช่หรือไม่ ก้าวเดียวถึงฟ้าจริงๆ ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ[1]!
เขาผลักประตูอย่างขยันขันแข็ง และยกม่านขึ้น “เชิญองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองก้าวเข้าไปในห้องพัก และเห็นกัวสวี่นั่งอยู่ที่นั่น เขาผิงไฟไปดื่มชาไปดูไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด
นี่…ดูจะแตกต่างไปจากที่เขาคิดไว้
เมื่อถูกกักบริเวณผู้อาวุโสกัวควรจะหงุดหงิดสิถึงจะถูกแล้วเขาก็จะเข้าไปปลอบใจ และกลายเป็นที่ชื่นชอบ และดูน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน..
อาจารย์หงเห็นว่าบรรยากาศดูผิดปกติจึงชิงพูดก่อน “ผู้อาวุโสกัว องค์ชายรองเสด็จมายังไม่ทำความเคารพอีก”
จริงๆ แล้วกัวสวี่ไม่ได้กระสับกระส่ายเพราะเขามีประสบการณ์มาก่อน และคุ้นเคยกับมันมานานแล้ว เมื่อคิดย้อนไปมีครั้งไหนที่ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วไม่ตื่นเต้นบ้าง เมื่อปีก่อนที่เดินทางไปซีเป่ยเขาติดตามกองทัพใหญ่ไปออกรบ เจอเรื่องเสี่ยงอันตรายอยู่ทุกวันจะมาตื่นตระหนกอีกก็ดูเกินไปหน่อย
เขาคิดในใจว่าองค์ชายรองมีความกล้าหาญเช่นนี้จริงหรือ จับกุมเขาจะทำอะไรได้ รับประกันความปลอดภัยของตนเองหรือ ทางเยวี่ยอ๋องเตรียมรับมือเป็นอย่างดีใช่หรือไม่…ทุกคำถามเขาคิดอยู่หลายครั้งเมื่อองค์ชายรองเสด็จมาเขาจึงประหม่าไม่ออก…
กัวสวี่ยืนขึ้นอย่างช้าๆ และคำนับ “กระหม่อมกัวสวี่ถวายพระพรองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
……………
[1] ควันเขียวผุดจากหลุมฝังศพบรรพบุรุษ : ผู้มีความดีความชอบหรือเป็นขุนนางใหญ่ แต่ก็เป็นเรื่องให้ถูกว่าร้ายถากถาง(มีครหาไม่น่าเชื่อถือ)