คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 577 ร่วมมือ
ภายในห้องพิจารณาคดีตกอยู่ในความเงียบผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าเจี่ยงหมายความว่าองค์ชายรองต้องการยึดวังหลวงหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า
“เป็นไปไม่ได้” คนผู้นั้นแทบไม่เชื่อเลย “เขาไม่มีต้นทุนอะไร ในกองทหารรักษาพระองค์มีคนของเขาไม่มากนัก ส่วนในราชสำนัก…”
อืม…เขาซื้อคนไปไม่น้อย แต่จะบอกว่าเขาก่อกบฏก็ยังไม่มีน้ำหนักมากเช่นนั้น
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “ฉื่อฉวินจากค่ายเสวียนอู่เป็นคนสนิทของเขา นอกจากนี้ หิมะตกหนักมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว และกำลังคนไม่เพียงพอ ทหารรักษาพระองค์ส่วนใหญ่ถูกย้ายไปช่วยป้องกันภั ยธรรมชาติ” พูดถึงตรงนี้เขาก็กล่าวเสริมว่า
“อีกอย่างพวกท่านอย่าลืมว่าคนของเขามีไม่มากคนของอันอ๋องยิ่งน้อยกว่า ฝ่าบาทไม่อยู่ แม่ทัพผู้บัญชาการทหารก็ไม่อยู่ พวกเราซึ่งไม่มีป้ายอาญาสิทธิ์ ผู้ใดเล่าจะสั่งการทหารรักษาพร ระองค์ได้”
ซึ่งนั่นหมายความว่า…
“ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องมีคนมากเกินไปตราบใดที่ไม่ระวังตัวก็สามารถรวบเขตพระราชฐานไว้ในมือได้” เขาพูดชัดขนาดนี้มีหรือคนเหล่านี้จะไม่เข้าใจ
แม่ทัพชราผู้หนึ่งพูดเสียงดังขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้ายินดีที่จะนำทหารของตัวเองมาหยุดยั้งองค์ชายรอง! จะไม่ปล่อยให้เขาทำสำเร็จเด็ดขาด!”
“ข้าเองก็ยินดี! ถึงแม้ว่าพวกเราจะเกษียณแล้ว แต่พวกเรายังคงเป็นต้าฉี! ฝ่าบาทกำลังเดือดร้อนไม่มีเหตุผลใดให้นั่งดูอยู่เฉยๆ!”
“ข้าเองก็ด้วย!”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าอย่างพอใจ และพูดว่า “ท่านแม่ทัพทุกท่าน ความภักดีของพวกท่านข้าสัมผัสได้ แต่ทหารส่วนตัวเข้าเมืองหลวงมีเพียงสองร้อยนาย แม้จะเรียกข้ารับใช้ของขุนนางใหญ ญ่มาด้วยรวมกันก็ไม่น่าเกินพันคน การจะไปหยุดยั้งองค์ชายรองกำลังคนยังไม่ถึง!”
แม่ทัพชราผู้นั้นตะโกนขึ้นว่า “ผู้ใดบอกล่ะ ข้านำทหารม้าพันนายไปไล่ตามฆ่าหัวหน้าเผ่าหูไปจนถึงส่วนลึกของทะเลทรายแค่พันคนก็เพียงพอแล้ว!”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดปลอบ “ท่านแม่ทัพอย่าใจร้อนไป ข้าไม่ได้ดูถูกท่าน แต่พวกเราต้องกระทำการอย่างระมัดระวัง ด้วยความสัตย์จริงทันทีที่พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ข้าได้ส่งคนไปที่ซิ่งโ โจวเพื่อเชิญแม่ทัพเว่ยเหิงมาซึ่งกองทัพจะมาถึงในไม่ช้า ฝั่งด้านกองทหารรักษาพระองค์ยังมีแม่ทัพผู้หนึ่งที่เต็มใจช่วยเหลือ และได้รีบกลับไปส่งกำลังทหารแล้วในตอนนี้ สิ่งที่พวกเราต้อ องทำตอนนี้คือจะคุ้มครอง แต่ละตระกูลอย่างไรเพื่อปกป้องไม่ให้องค์ชายรองใช้มันข่มขู่พวกเรา และเป็นการตัดเส้นทางเบื้องหลังของเขา!”
“อย่างนี้นี่เอง!” แม่ทัพชราเข้าใจแล้ว “ท่านจะบอกว่ามีคนนำกองกำลังไปที่วังเพื่อหยุดองค์ชายรองแล้วสิ่งที่เราต้องทำคือป้องกันไม่ให้เขาเป็นสุนัขจนตรอก”
“ใช่” เจี่ยงเหวินเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาโค้งคำนับพวกเขาอย่างสุดซึ้ง “จึงอยากขอความร่วมมือจากทุกท่าน เมื่อองค์ชายรองเข้าไปในวังให้เข้าล้อมรอบทันที ด้วยวิธีนี้เขาจะหนีรอดไ ไปไหนไม่ได้ และรอให้ฝ่าบาทกลับมาจัดการ!”
ทุกคนคิดตามก็เห็นว่านี่เป็นวิธีแก้ปัญหาอย่างแท้จริง พวกเขาขาดแคลนกำลังคน กองทหารรักษาพระองค์มีอาวุธครบครัน และได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เกรงว่าเมื่อเผชิญหน้ากันคงไม่สาม มารถสู้ได้ แต่การปิดกั้นเส้นทางหนีทีไล่ง่ายกว่าเยอะ
ภายในเขตพระราชฐานมีทหารคุ้มกันอยู่แล้ว องค์ชายรองคงไม่สามารถซื้อตัวพวกเขาได้ทั้งหมดหรอก หากพบสิ่งผิดปกติพวกเขาคงหันหน้ามาเผชิญหน้ากับองค์ชายรอง
แม้ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่เส้นทางหนีถูกปิดกั้นองค์ชายรองจะหนีไปไหนได้ หรือหากอันอ๋องจะปล่อยให้เขาตายรอจนกระทั่งฝ่าบาทเสด็จกลับ องค์ชายรองก็ไม่รอดแล้ว
สรุปแล้วแผนนี้ปลอดภัยน่าเชื่อถือ! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อย่างที่เจี่ยงเหวินเฟิงบอกไว้ ต้องปกป้องครอบครัวของพวกเขา! ครอบครัวไม่ถูกนำมาข่มขู่ พวกเขาจะไปกลัวอะไร
ในบรรดาพวกเขาเดิมทีมีเพียงไม่กี่คนที่ใกล้ชิดกับองค์ชายรอง แต่ในตอนนี้ไม่สนใจแล้ว ได้ยินเจี่ยงเหวินเฟิงพูดเช่นนี้องค์ชายรองมีโอกาสสำเร็จน้อยมาก ผู้ใดจะอยากตามเขาไปตายก กันล่ะ
สิ่งสำคัญคือต้องรักษาชีวิตตนเอง!
ทุกคนเห็นด้วยไปในทางเดียวกันโดยเฉพาะบางคนที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมราวกับว่าคนที่แอบติดต่อกับองค์ชายรองอย่างลับๆ ไม่ใช่ตน
………….
“ผู้อาวุโสกัว” องค์ชายรองยิ้มออกมา “ช่วงนี้ท่านช่วยเหลือน้องสามคงลำบากมาก”
กัวสวี่ยิ้ม “มันเป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว”
องค์ชายรองมองมาที่เขาแล้วคาดเดาอารมณ์ภายใต้รอยยิ้มนั้น “ผู้อาวุโสกัวอย่าฝืนยิ้มไปเลย น้องสามเป็นคนอย่างไรเปิ่นหวางทราบดี เขาเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เล็กแล้ว เรียนหนังสือก็อยาก กหลับ ท่านช่วยเหลือเขาเช่นนี้อยู่ทุกวันเกรงว่าจะโกรธจนล้มป่วยเสียก่อน”
กัวสวี่ยังคงยิ้มเขาไม่เห็นด้วยหรือไม่ปฏิเสธ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเช่นนี้ องค์ชายรองมาพบเขาก่อนหมายความว่าตนอยู่ในแผนของอีกฝ่าย และมีบทบาทที่สำคัญมาก
ผู้อาวุโสกัวแอบดีใจจนตัวลอยในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเล็กน้อย
ที่แท้เขาเป็นคนสำคัญ! ขนาดองค์ชายรองก่อกบฏยังให้ความสนใจมาที่ตน
อืม…เขารักษาชีวิตตนเองไว้ได้แล้ว!
พอคิดทบทวนดูอีกครั้งผู้อาวุโสกัวก็เข้าใจเหตุผลชัดเจนยิ่งขึ้น เขาเป็นคนที่คลุกคลีกับหนังสือประวัติศาสตร์ ในเรื่องการก่อกบฏจำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรบ้างเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร
นี่คือการทำให้เขาโดดเด่น!
นอกจากนี้ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งในราชสำนักตอนนี้เหลือเพียงสี่คนที่อยู่ในเมืองหลวง เขาที่มีคุณสมบัติต่ำที่สุด และเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะรังแก
ผู้อาวุโสกัวเกิดความโกรธขึ้นในใจ แต่ใบหน้ายังคงยิ้ม กำลังดูถูกข้าอยู่ใช่หรือไม่ แล้วมาดูกันว่าผู้ใดรังแกผู้ใดกันแน่!
กัวสวี่ดูมีท่าทีสงบเช่นนี้ทำให้องค์ชายรองใจเต้น โดยไม่รู้ว่าควรเกลี้ยกล่อมหรือบังคับดี
อาจารย์หงเห็นท่าไม่ดีจึงเอ่ยเตือนว่า “องค์ชาย สายแล้วพ่ะย่ะค่ะ รีบเชิญผู้อาวุโสกัวให้ร่วมทางไปกับเราเถิด!”
องค์ชายรองรู้สึกตัว และรีบพูดว่า “ผู้อาวุโสกัว ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้ท่านตกใจเพียงแต่ใกล้ถึงเวลาแล้วจึงต้องเชิญผู้อาวุโสกัวเดินทางไปกับเราก่อน”
“อ้อ” กัวสวี่ยิ้ม “ไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงแล้วท่านจะรู้เอง”
อาจารย์หงส่งสายตาทหารรักษาพระองค์ติดอาวุธครบครันก้าวไปข้างหน้าและคุมตัวกัวสวี่ไว้ “ผู้อาวุโสกัว เชิญขอรับ!”
กัวสวี่มองมือของพวกเขาที่กระชับกระบี่ เขายิ้ม และเดินออกจากห้องพักโดยไม่ถามอะไรอีก องค์ชายรองรู้สึกไม่แน่ใจจึงเดินไปหาอาจารย์หง
อาจารย์หงทำสัญญาณมือแล้วพูดเสียงขรึม “องค์ชาย เวลาหมดลงแล้วไปกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชายรองพยักหน้าสูดหายใจลึกๆ แล้วเดินออกไปด้วยความมุ่งมั่นที่ว่าจะต้องประสบความสำเร็จ
เมื่อค่ำคืนเยื้องกรายเข้ามา แต่หิมะที่พัดพากลับไม่มีทีท่าจะหยุด รองเท้าทหารเหยียบย่ำบนพื้นหิมะจนเกิดเสียง ‘คลิก’ กัวสวี่เดินตามอย่างไม่คิดจะบ่นแม้แต่น้อย
อาจารย์หงมองตามหลังของเขาอย่างครุ่นคิดตามที่คาดไว้ผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในเป่ยฉี ความสามารถที่มีจิตที่ไม่ตระหนกเมื่อเผชิญการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ควรมองข้าม เขาจะเชื่อฟังจริ งหรือ พวกเขาเพิ่งกลับไปที่ประตูหย่งเล่อกลุ่มทหารเกราะดำก็ควบม้าเข้ามา
เมื่อเห็นองค์ชายรองผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ประสานมือคารวะ “องค์ชาย หวังว่ากระหม่อมคงไม่สายเกินไป”
องค์ชายรองปลื้มใจมาก “อาฉวิน ดีใจที่ได้พบท่าน”
กัวสวี่เหลือบมองเป็นฉื่อฉวินจริงๆ
ฉื่อฉวินไม่ได้ลงจากหลังม้าเขาพูดว่า “ในช่วงเวลาคับขันนี้โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย พวกเรารีบดำเนินการเถอะพ่ะย่ะค่ะ หากล่าช้าเกรงว่าผู้อื่นจะรู้เข้า”
“ดี”
ม้าถูกนำเข้ามาทุกคนกระโดดขึ้นขี่ม้าแม้แต่กัวสวี่เองก็ขี่ม้าท่ามกลางทหารที่ล้อมรอบ
ฉื่อฉวินยกมือขึ้น และตะโกนว่า “ไป!”
ทหารชุดเกราะดำเดินขบวนเข้าไปในวังอย่างเป็นระเบียบ หิมะตกหนักไม่มีผู้ใดส่งเสียงทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ไม่นานพวกเขาก็หยุดอยู่หน้าเรือนแถวหลังคาจั่วสันโค้ง
เมื่อฉื่อฉวินขยิบตาเหล่าทหารก็พุ่งเข้าไปด้านใน