คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 579 ล้อมท้องพระโรง
หลังจากนั้นไม่นานทหารหนุ่มหลายคนที่องค์ชายรองซื้อตัวมาก็ได้กลับมารายงานการปฏิบัติภารกิจ พวกเขาใช้นามของผู้บังคับบัญชาแบกน้ำปลอบขวัญทหารรักษาพระองค์ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่
ในคืนที่หิมะตกมองดูน้ำร้อนที่เดือดปุดๆ เหล่าทหารที่แข็งใกล้ตายผู้ใดเล่าจะคิดว่าทหารเหล่านี้ที่อยู่ในกองทหารรักษาพระองค์เช่นเดียวกันกับพวกเขากำลังปิดบังเจตนาชั่วร้ายอยู่ เป็นผลให้เหล่าทหารที่ดื่มมันเข้าไปถูกวางยา ตำแหน่งสำคัญหลายหน้าที่ถูกแทนที่ทันที
องค์ชายรองที่ได้รับข่าวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้พระราชวังอยู่ในมือของเขาแล้ว ทุกอย่างสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งขอเพียงจับตัวอันอ๋องได้…
“องค์ชาย ทุกอย่างยังไม่สายเกินไปเราต้องรีบดำเนินการแล้ว” อาจารย์หงลดเสียงลง “พวกเรายังมีหลายสิ่งที่ต้องทำจำเป็นต้องวางรากฐานให้มั่นคงก่อนรุ่งสาง”
องค์ชายรองพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ไป!” กลุ่มคนรีบไปที่ท้องพระโรงท่ามกลางหิมะ
ทหารหน้าท้องพระโรงเห็นกองทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งเข้ามาใกล้ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจึงรีบล้อมพวกเขาไว้
“พวกท่านเป็นผู้ใด อยู่หน้าท้องพระโรงยังไม่รีบลงจากหลังม้าอีก!”
ไม่มีผู้ใดตอบ มีเพียงองค์ชายรองเท่านั้นที่ดึงหมวกคลุมลงมาเผยให้เห็นใบหน้าของเขา
หัวหน้าราชองครักษ์ตกตะลึง “องค์ชายรอง” เขาไม่ได้ถูกกักบริเวณอยู่หรือ
องค์ชายรองมองมาที่เขาอย่างเย็นชา ฉื่อฉวินก้าวไปข้างหน้า และตะโกนว่า
“องค์ชายรองเสด็จมาด้วยตนเอง ยังไม่รีบคุกเข่าอีก!”
หัวหน้าราชองครักษ์ไม่ใช่คนโง่เขาเข้าใจสถานการณ์นี้ทันที และพูดอย่างเคร่งขรึม “พวกท่านจะทำอะไร ยกพลเข้าวัง คือจะก่อกบฏหรือ รีบถอยไปซะ!”
ขณะที่เขาพูดก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
มีคนพาทหารเข้าไปในวัง และตรงไปที่ท้องพระโรง เขาไม่ได้รับข่าวแต่อย่างใด และผู้มาเยือนยังเป็นองค์ชายรองที่ควรถูกกักบริเวณอยู่ในจวน คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น อีกฝ่ายไม่ได้มาดี และเกรงว่าต้องการยึดพระราชวัง!
แน่นอนว่าองค์ชายรองส่งสายตาให้ฉื่อฉวิน ฉื่อฉวินไม่ได้พูดอะไร และชักกระบี่ออกมา กองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ข้างหลังเขายกธนูขึ้น ชักกระบี่ออกจากฝัก!
หัวหน้าราชองครักษ์ตะโกนว่า “ทหาร! มีคนกบฏ ปกป้องอันอ๋อง!”
เสียงฝีเท้าดังขึ้น และราชองครักษ์ทุกคนซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ออกมา
จำนวนทหารของทั้งสองฝ่ายมีความเหลื่อมล้ำกันเล็กน้อย
หัวหน้าราชองครักษ์เห็นท่าไม่ดี กองทหารรักษาพระองค์ล่ะ เหล่ากองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ห่างไกลออกไปเล็กน้อยล่ะ เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจบสิ้นแล้วเหลือเพียงราชองครักษ์หน้าท้องพระโรงที่ต้องต่อสู้เพียงลำพัง
“ไม่ต้องมองหรอก” ฉื่อฉวินมองอย่างดูถูก “พระราชวังทั้งหมดถูกคนของข้ายึดครองไว้หมดแล้วพวกเจ้าไม่มีกำลังเสริม ยอมแพ้เสียเถอะ!”
เมื่อข่าวได้รับการยืนยันหัวหน้าราชองครักษ์หนาวเยือกไปทั้งหัวใจ แต่ผู้ที่สามารถเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ และเป็นแนวหน้ารับผิดชอบความปลอดภัยของฮ่องเต้จะสั่นคลอนด้วยคำพูดไม่กี่คำได้อย่างไร ไม่ว่าฝ่าบาทจะอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ตาม หน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องท้องพระโรงหากวันนี้วังหลวงถูกพวกกบฏยึดครองจะมีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
เขากัดฟันตะโกนขึ้นว่า “ต่อหน้าท้องพระโรงไม่อนุญาตให้กำเริบเสิบสาน! มิฉะนั้นจะฆ่าอย่างไร้ความปรานี!”
ฉื่อฉวินยิ้มเยาะเขายังเป็นสมาชิกของกองทหารรักษาพระองค์ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าราชองครักษ์มีความจงรักภักดีอย่างยิ่ง และไม่สามารถพูดโน้มน้าวได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องจัดการพวกเขาซะ!
เขาเงยหน้าขึ้นและกำลังจะสั่ง…
เสียงเปิดประตูดังขึ้นในเวลานี้ ทุกคนหันไปมอง แต่เห็นขันทีนายหนึ่งก้าวออกจากประตู และมองดูพวกเขา
“ท่านอ๋องมีคำสั่งให้ทุกคนถอยไปให้หมด!” เขาพูดกับหัวหน้าราชองครักษ์
หัวหน้าราชองครักษ์อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างโกรธเคือง “หลิวกงกง ท่านหมายความว่าอย่างไร”
หลิวกงกงมองอย่างสงบนิ่งเขาสบตากับอีกฝ่าย “ท่านอ๋องตรัสว่า อีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่าพวกท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ อย่าเสียสละชีวิตโดยเปล่าประโยชน์”
คำพูดนี้ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมหัวหน้าราชองครักษ์ได้เขาตะโกนขึ้นว่า “นี่เป็นหน้าที่ของข้า! ตราบใดที่ยังมีลมหายใจจะไม่มีผู้ใดสามารถก้าวเข้าไปในท้องพระโรงได้! พวกเราไม่กลัวตาย!”
ทหารที่เหลือตอบเสียงดัง “ใช่! พวกเราไม่กลัวตาย!”
หลิวกงกงยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า “ความจงรักภักดีของพวกท่าน ท่านอ๋องเข้าใจดี แต่ท่านอ๋องตรัสว่าพวกท่านทำเช่นนี้ไปก็ไร้ประโยชน์มิสู้ให้ท่านอ๋องสนทนากับองค์ชายรองดีกว่าหรือ”
“นั่น…” สายตาของหลิวกงกงหันไปทางองค์ชายรอง
“องค์ชายรอง การเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธระหว่างพี่น้องเป็นเหตุการณ์ที่เศร้าสลด ท่านอ๋องจึงเชิญท่านเข้าไปพูดคุยด้านในพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งนี้เกินความคาดหมายขององค์ชายรองไปมาก เขามองอาจารย์หง
อาจารย์หงเลิกคิ้วไม่พูดอะไร เดิมทีคิดว่าต้องมีการเข่นฆ่าถึงจะสามารถเข้าไปในท้องพระโรงได้ ผู้ใดจะคาดคิดว่าอันอ๋องจะต้องการเช่นนี้กัน
พูดตามตรงไม่เกิดการต่อสู้จะเป็นการดีกว่า ราชองครักษ์เหล่านี้ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ หากต้องกำจัดพวกเขาทั้งหมดก็จะเกิดความสูญเสียมากมาย กำลังคนของพวกเขามีคนไม่มาก และยิ่งมีกำลังมากเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
หลิวกงกงรอครู่หนึ่งแล้วพูดอีกครั้ง “องค์ชายรองสามารถนำองครักษ์ส่วนตัวเข้าไปได้ แต่ราชองครักษ์เหล่านี้ต้องรออยู่ด้านนอกเช่นนี้วางใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองมองดูเขาอย่างสงสัย “ท่านหมายถึงเขาอยู่คนเดียวงั้นหรือ”
หลิวกงกงตอบ “ยังมีบ่าวอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองมองอาจารย์หงอีกครั้ง เขาคิดว่าเช่นนี้ก็ดีคนโง่อย่างน้องสามไม่มีองครักษ์อยู่ข้างกาย เขาที่พาคนไปด้วยก็เป็นการปล่อยให้ฝ่ายตนได้เปรียบ
อาจารย์หงคิดว่ามันแปลกนิดหน่อย อันอ๋องผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ใช่คนเช่นนั้น! แต่พอคิดดูอีกทีจะมีกับดักอะไรได้อีก ราชองครักษ์ล้วนอยู่ด้านนอก ถึงต่อสู้ขึ้นมาฝ่ายตนก็ชนะ
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายครั้งก็ไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติเขาจึงพยักหน้าช้าๆ
องค์ชายรองได้ความเห็นจากเขาแล้วจึงตอบไปว่า “ได้ ในฐานะพี่ชายต้องทะนุถนอมเขาอยู่แล้ว เขาว่าอย่างไรก็ตามนั้น”
หลิวกงกงยืนนิ่ง และโค้งกายด้วยความเคารพ “เชิญองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายรองกวาดสายตาออกไป ฉื่อฉวินก็เรียกทหารเจ็ดแปดนายตามไปคุ้มครองเขาทันที แน่นอนว่าอาจารย์หงตามไปด้วย พอเดินไปได้สองก้าวเขาก็รู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างหลัง และเมื่อเขาหันศีรษะไปก็เห็นว่าเป็นกัวสวี่ที่เดินตามมา
“ผู้อาวุโสกัว ท่าน…”
กัวสวี่มองบนแล้วพูดว่า “ท่านไม่ได้บอกว่าจะยกตำแหน่งนั้นให้ข้าหรือ ให้กระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจะเป็นการดีกว่า ไม่อย่างนั้นผู้ใดจะรู้ว่าพวกท่านจะทำอะไรโง่ๆ หรือไม่”
อาจารย์หงอยากจะปฏิเสธ แต่องค์ชายรองพูดก่อนว่า “ได้ รบกวนผู้อาวุโสกัวแล้ว”
เขาดีใจที่เกลี้ยกล่อมผู้อาวุโสกัวได้จึงให้เขาเข้าไปด้วยกันจะได้รู้ว่าช่องว่างระหว่างพวกเขาสองพี่น้องห่างกันเพียงใด การติดตามเขาย่อมดีกว่าติดตามน้องสามอยู่แล้ว!
คำพูดของอาจารย์หงที่ติดอยู่ปลายลิ้นจึงต้องกลืนลงไป
ฉื่อฉวินเดินนำหน้า องค์ชายรองเดินตรงกลาง อาจารย์หง และกัวสวี่เดินตามหลัง พวกเขาถูกล้อมด้วยเหล่าทหารเดินเข้าไปในท้องพระโรง
จากนั้นหลิวกงกงเดินตามเข้าไป และเมื่อทุกคนก้าวเข้ามาแล้วเขาก็ปิดประตู
องค์ชายรองเห็นว่าหน้าโต๊ะทรงอักษรมีโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ วางอยู่ บุรุษในชุดหมางเผ่านั่งหันหลังให้พวกเขาอยู่ตรงนั้น เขาเย้ยหยันในใจว่าน้องสามคงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โต๊ะนั้น ช่างดูไม่สง่างามเลยจริงๆ น้ำเสียงที่พูดออกไปจึงมีความเย่อหยิ่ง “ไม่เจอครึ่งปี น้องสามมีอนาคตที่สดใสจริงๆ ไม่อยากให้องครักษ์ผู้บริสุทธิ์ต้องตายมีความเป็นเสด็จพ่อยิ่งนัก!”
ภายใต้การจ้องมองของเขาคนที่อยู่หลังโต๊ะค่อยๆ นั่งตัวตรงซึ่งเห็นได้ชัดว่าร่างกายดูแข็งแกร่งกว่าอันอ๋องมาก พอหันกลับมาเผยให้เห็นใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ไฝสีชาดกลางหน้าผากดูเปล่งประกาย
“ท่านอารองชมเกินไปแล้ว!”
……………