คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 584 กินเกลี้ยง
หลังจากจัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อันอ๋อง และหยางชูก็ไม่ได้เดินทางกลับจวน แต่พักที่ท้องพระโรง
อันอ๋องหรี่ตาไปได้ครู่หนึ่งก็ถูกปลุกให้ตื่นเป็นขุนนางกลุ่มหนึ่งเข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบ อย่างเช่นซื่อเซียงจางถาน ฝูอ๋อง และคนอื่นๆ ที่รีบเข้าไปในวังเพื่อตรวจสอบสถานการณ์เ เพื่อให้แน่ใจว่าอันอ๋องปลอดภัยดี
คืนนั้นอันอ๋องไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขเริ่มจากถูกหยางชูหลอกให้เข้าไปในทางลับ และตกใจอยู่ค่อนคืน จากนั้นก็จัดการเรื่องที่เกิดขึ้นจนกระทั่งรุ่งสางตอนนี้ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กั บคนพวกนี้ซึ่งเขารู้สึกรำคาญใจมาก
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ฮ่องเต้มอบหมายให้เขารับผิดชอบงานราชการซึ่งอันที่จริงแล้วผู้ที่รับผิดชอบงานราชการที่แท้จริงก็คือจางถานซึ่งเขาต้องอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง ส่วนฝูอ๋องเป็นผู อาวุโส อายุมากแล้วไม่สามารถละเลยเขาได้จึงทำได้เพียงฝืนเรียกสติเรียกกำลังใจทั้งๆ ที่ในใจนั้นขมขื่น
งานนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ผู้ใดอยากเป็นรัชทายาทก็เป็นไปเขาแค่อยากใช้ชีวิตไปวันๆ อยากนอนจนกว่าจะตื่นเอง! เมื่อนึกถึงหยางชูที่นอนหลับอย่างสบายอยู่จวนข้างๆ อันอ๋องก็อิจฉาจนแ แทบบ้า!
กว่าจะจัดการอะไรเสร็จก็บ่ายแล้ว อันอ๋องรีบพูดกับขันทีเขาแทบรอไม่ไหวที่จะได้ไปนอน หลังจากเขาไปได้ไม่นานหยางชูก็ตื่น หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จเขาก็เดินไปที่ห้องพักขณะ ะรอเวลาอาหาร
“เยวี่ยอ๋อง” กัวสวี่ลุกขึ้นคำนับเขาตามปกติ
“ผู้อาวุโสกัว! ท่านกลับมาทำงานแล้วหรือ ขยันจริงๆ แล้วนี่ทานอะไรแล้วหรือยัง” หยางชูเดินเอ้อระเหยลอยชายเข้าไปหาอย่างท่าทีเกียจคร้าน
กัวสวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “กระหม่อมหลับไปพักหนึ่งแล้ว แต่มีงานค้างมากมายจึงไม่กล้าหลงระเริง” เขาพูดอีกว่า “กระหม่อมยังไม่ได้ทานอาหารกลางวัน ตอนนี้มีคนไปเอามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ะ”
หยางชูพยักหน้า “ข้าเองก็ยังไม่ได้ทานเหมือนกัน เหตุใดพวกเราไม่ทานด้วยกันล่ะ! มีคนทานด้วยดีกว่าเยอะ”
กัวสวี่ตอบตามฉบับว่า “กระหม่อมมิบังอาจ”
แต่หยางชูตะโกนออกไปข้างนอกว่า “พวกเจ้านำอาหารมาที่นี่เปิ่นหวางจะทานกับผู้อาวุโสกัว”
ขันทีตอบรับ และไม่นานอาหารก็ถูกวางลงบนโต๊ะเล็ก
“ไม่มีสุราหรือ” หยางชูถาม
ขันทีตอบอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสกำลังปฏิบัติหน้าที่ไม่สะดวกที่จะดื่มพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่างเถอะ” หยางชูผิดหวัง “ข้ากับผู้อาวุโสกัวจะค่อยๆ ทาน พวกเจ้าออกไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้อาวุโสกัว เชิญ”
ผ่านไปสักพักเมื่อแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดกำลังจ้องมองแล้วหยางชูจึงพูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสกัวโชคดีมาก! เหตุการณ์เมื่อวานนี้พลิกผันไม่เพียงแต่ไม่เป็นอะไร แต่ยังมีความดีความชอบอีกด้วย”
กัวสวี่เงยหน้ามองหยางชู เขาเข้าใจดีจึงตอบกลับไปว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เข้าใจ และให้การสนับสนุน”
เรื่องเมื่อวานที่เขาโดนข่มขู่ อย่างไรก็ตามในการต่อสู้ทางการเมือง ผู้ใดจะสนความจริงกัน หากจับจุดอ่อนได้ก็ฆ่าศัตรูทางการเมืองให้ตายเขาที่เดินทางมากับองค์ชายรองทำให้ทุกคนรู้ ได้ว่าสามารถทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตได้
“ด้วยมิตรภาพที่เปิ่นหวางกับผู้อาวุโสกัวสร้างร่วมกันที่ซีเป่ยถึงคนอื่นไม่เชื่อท่าน แต่เปิ่นหวางเชื่อท่าน”
กัวสวี่หัวเราะ แต่ในใจกลับถอนหายใจที่ตนนั้นโชคร้ายเกินไป เรื่องนี้หยางชูเคยส่งสัญญาณบอกเขาแล้ว เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าจะถูกกักตัวไว้เมื่อออกจากวังเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้จึ งต้องแสร้งทำเป็นยืนข้างอีกฝ่าย
เรื่องนี้เขาไม่ได้ลงแรงอะไรนัก หลังจากจัดการเรื่ององค์ชายรองเสร็จ หยางชูก็พาเขาออกมาถอดเขาออกจากการถูกสงสัยว่าร่วมมือก่อกบฏ นอกจากนี้ยังได้รับความดีความชอบในการร่วมป ปราบปรามกบฏอีกต่างหาก เป็นความเมตตาที่มั่นคงเกินไป
กัวสวี่ถอนหายใจ และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ภายภาคหน้าหากท่านอ๋องต้องการใช้กระหม่อมเรื่องใดโปรดตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หยางชูพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสกัวเป็นคนฉลาดเฉลียวเช่นนี้มีหรือต้องให้เปิ่นหวางเอ่ยปาก”
กัวสวี่ตอบด้วยความโศกเศร้า “ไม่ว่าท่านอ๋องจะทำอะไร กระหม่อมจะติดตาม แต่โดยดีพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นหมายความว่าเลือกอยู่ข้างเขา หยางชูยิ้ม “ผู้อาวุโสกัวอย่าเป็นคนดีที่ทำความชั่วเลย ท่านรู้อยู่แก่ใจว่าผู้ที่เอาเปรียบก็คือท่านไม่ใช่เปิ่นหวาง”
พูดจบเขาก็วางชามลงเช็ดมุมปากแล้วพูดช้าๆ ว่า “ได้ยินว่าสามวันหลังจากนี้พู่กัน และหมึกจากหออวี้เป่าลดราคา ผู้อาวุโสกัวอย่าลืมไป หากบอกเจ้าของร้านไปว่าเตรียมตัวไปวาดภาพรูปปั นบูชาจะได้ส่วนลดมากกว่านี้” จากนั้นเขาก็เดินออกไป
กัวสวี่มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายจนหายลับไปเขาเหม่อลอยอยู่พักหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ และตบหัวของตนเอง รู้อยู่นานแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาที่แท้ก็มีรากฐานที่อุ ดมสมบูรณ์เช่นนี้
ตนนั้นบางครั้งก็ใกล้ชิดบางครั้งก็ห่างเหินกับเขามาโดยตลอด การบอกความลับให้อีกฝ่ายรู้ แต่ก็ยังคงรักษาระยะห่างเพื่อที่จะติดต่อมีสัมพันธไมตรีกับเขาและถ้าหากสิ่งต่างๆ ล้มเหลวข ขึ้นมาก็จะได้ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแน่ใจได้ว่าตาแก่ผู้นี้จะประสบความสำเร็จจึงยกความดีความชอบมาให้เพื่อให้สามารถได้ตำแหน่งที่เหนือกว่านั้นได้ อย่างไรเขาก็เก่งเรื่องสร้างผลประโยชน์ อีกฝ่ ายก็ฉลาดมากเช่นกัน แต่สวรรค์ไม่ได้อยู่ข้างเขาเรื่องสำคัญมากเช่นนี้ทำให้เกิดการสร้างบุญคุณ
ช่างเถิด…มาถึงจุดนี้แล้วหากไม่เลือกข้างจะทำอย่างไรได้ โสเภณีแสร้งทำเป็นหญิงพรหมจรรย์เพื่อเพิ่มราคา แต่ถึงทำได้ก็รู้สึกไม่ดี เพราะฉะนั้นทำแค่พอเหมาะพอควรก็พอ แต่นี่ก็ไม่ใช่ ไม่มีข่าวดีเลย
หลังจากเหตุการณ์นี้ผู้อาวุโสกัวสามารถมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าอันอ๋องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทุกคนเลย ส่วนฮ่องเต้ที่ชราภาพแล้วแม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย รอสักสองสามปีใต้หล้าก็ถึงเว วลาเปลี่ยนมือ
เมื่อถึงตอนนั้นเขาที่เข้าร่วมกลุ่มโจรมาตั้งแต่เนิ่นๆ ยังต้องกังวลว่าจะไม่มีอนาคตที่ดีหรือ นอกจากนี้ยังจะมีผู้ใดมีสถานะสูงกว่าเขาอีก ยังมีผู้ใดที่เล่ห์เหลี่ยมลึกซึ้งกว่าเขา อีก
ผู้อาวุโสกัวรู้สึกพึงพอใจเขาดื่มชาแทนสุราอวยพรตัวเองด้วยความปีติยินดีและหลังจากนั้นไม่นานเขาที่เข้าร่วมกลุ่มอย่างเป็นทางการก็ได้พบกับสมาชิกแกนหลักของหยางชูซึ่งเขาแทบจะตบ บตัวเองในเวลานี้ จะมีผู้ใดสูงกว่าเขาอีกงั้นหรือ เนื่องจากเป็นคดีกบฏยึดพระราชวัง เจี่ยงเหวินเฟิงจึงเข้ามาอยู่ในศูนย์กลาง เด็กคนนี้อายุน้อยกว่าเขาสิบปี และมีชื่อเสียงมาก!
แล้วยังมีผู้ที่เล่ห์เหลี่ยมลึกซึ้งกว่าเขา อาจารย์ฟู่ที่ซ่อนตัวคอยยุยงอยู่ข้างกายไท่จื่อ และไม่มีผู้ใดสงสัยในตัวตนของเขาเลยตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้ าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์โดยรวม! แต่เรื่องนี้ไว้พูดในภายหลังจะดีกว่า
…………
ณ ป่าเหมย หมิงเวยยืนอยู่บนต้นเหมย ม่านหมอกปกคลุมทั่วทั้งผืนป่า มีเพียงชายคาของหอสังเกตการณ์เท่านั้นที่สามารถเห็นได้ไม่ชัดเจน เสียงขลุ่ยเล็ดลอดออกมาจากใต้นิ้วมือของนาง ฝ ฝูงแมลงบินไม่สามารถเข้าใกล้ร่างกายของนางได้เลย
เวินซิ่วอี๋พูดอย่างเย็นชา “ท่านคิดว่ามีเพียงท่านที่ทำได้งั้นหรือ”
นางหยิบวัตถุหนึ่งออกมาจากอกเสื้อเป็นขลุ่ยสั้นหนึ่งเลา ขลุ่ยสั้นนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น ตัวขลุ่ยมีสีเขียว และมีลักษณะที่แปลกประหลาด เวินซิ่วอี๋ยกขึ้นจรดริมฝีปาก และเ เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้น
ทันใดนั้นหมิงเวยก็ได้ยินเสียงสวบดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดที่หน้าต้นเหมย เป็นฝูงงูจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากพื้นดิน
เป็นภาพที่น่าขยะแขยงจริงๆ แววตาของนางเย็นชา และเสียงขลุ่ยกลายเป็นเสียงที่แหลม และเศร้ารันทด ทันใดนั้นฝูงงูก็ดูโหดร้ายขึ้น และตั้งท่าโจมตี แต่เป้าหมายไม่ใช่นาง แต่เป็นโจมต ตีกันเอง
เวินซิ่วอี๋ตกตะลึงเสียงขลุ่ยสั้นของนางเปลี่ยนไป แต่การที่นางทำเช่นนี้เป็นเพียงการชะลอความเร็วของการโจมตีของฝูงงูเท่านั้น เมื่อเสียงขลุ่ยดังขึ้นเรื่อยๆ นางก็รู้สึกเหนือ บ่ากว่าแรงทำได้เพียงถอยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
ฝูงงูนี้โจมตีซึ่งกันและกัน และกินกันเอง จนกระทั่งเหลือรอดชีวิตมาได้หนึ่งตัว
หมิงเวยถือขลุ่ยไว้ในมือแล้วสะบัดแขนเสื้อ งูขาวตัวเล็กพุ่งออกมาอยู่ต่อหน้ามัน จากนั้นอ้าปากกว้างแล้วกินมันเข้าไป