คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 586 จับเข่าคุย
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของเวินซิ่วอี๋แล้วนางก็หัวเราะออกมา
“ช่างน่าขันนัก! จะมีผู้มีอิทธิพลคนไหนบังคับข้าได้!”
ผู้ใดจะไปรู้ว่าทันทีที่พูดออกไปหมิงเวยก็ปรบมือเบาๆ “อา ที่แท้ท่านก็ไม่ได้ยืนอยู่ข้างองค์ชายรองจริงๆ”
เวินซิ่วอี๋ตกตะลึงแล้วพูดออกไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านหลอกข้างั้นหรือ!”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านคิดว่าที่ข้าบอกว่าจะพูดคุยพลางชมดอกไม้ชมหิมะกับท่าน ข้าจะพูดคุยจริงๆ หรือ คุณหนูเวินดูเป็นคนฉลาด หรือท่านจะเหมือนกับองค์ชายรอง ภายนอกสง่างาม แต่ภายใน…”
“ท่านจะบอกว่าข้าเป็นถุงฟาง[1]งั้นหรือ” เวินซิ่วอี๋ถามอย่างฉุนเฉียว
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หมิงเวยปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม และเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายสงบลง นางก็กลับมาเข้าเรื่องอีกครั้ง “ถุงฟางดูไม่เหมาะเท่าไร อันที่จริงหมอนอบอุ่นกว่าเยอะ! ข ข้าจะเอาไปเปรียบเทียบได้อย่างไรดูถูกถุงฟางเกินไปแล้ว!”
“ท่าน นี่ท่าน…” เวินซิ่วอี๋หน้าซีดสลับแดงร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย โกรธจนเกือบหันหน้าหนี
เมื่อเห็นว่ากระตุ้นอะไรนางไม่ได้หมิงเวยก็ไม่พูดกระตุ้นอะไรอีก คุณหนูเวินผู้นี้ดูไม่ค่อยแข็งแรง หากโกรธจนเป็นอะไรขึ้นมาคงไม่ดีช่างเถอะ ทนๆ ไป!
หมิงเวยตัดสินใจว่าจะทำตัวดีจึงลดเสียงให้อ่อนลง “พวกเราอย่าไปยุ่งกับเรื่องเล็กน้อยนี้เลย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าเดินทางไปทั่วหล้าหายากที่จะได้พบกับยอดฝีมือเช่นคุณหนู เวิน คงน่าเสียดายหากเราไม่ได้มาพูดกันดีๆ”
เวินซิ่วอี๋เม้มปากแน่นไม่อยากคุยกับนาง
หมิงเวยยังมีใจเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “ในเมื่อท่านไม่ใช่คนขององค์ชายรอง เช่นนั้นท่านมาจากที่ใด ผู้ที่สามารถทำให้ท่านเคลื่อนไหวได้คงมีความสัมพันธ์กันไม่น้อย! ข้าเห็นฮุ่ยเฟ ฟย และองค์ชายรองล้วนเป็นคนโง่ที่ทำตัวเป็นคนฉลาด
แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ที่มาที่แท้จริงของท่าน คนของสำนักหมอผีมักมองตนเองอยู่สูง การที่สามารถทำให้ท่านเสี่ยงได้เช่นนี้ถึงกับวิ่งมาก่อเรื่องถึงหยุนจิงได้เกรงว่าคงมีแค่ราชว วงศ์จากแคว้นฉู่ใต้เท่านั้นแหละ เขาให้ท่านเท่าไรหรือ”
ตอนแรกเวินซิ่วอี๋ไม่อยากสนใจนาง แต่นางพูดซะเป็นเรื่องใหญ่ตนก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ท่านพูดอะไร ผู้ใดจะไปสนกันข้าไม่ใช่พวกเห็นแก่เงินเช่นนั้นหร รอก!”
“อ้อ!” หมิงเวยได้ยินดังนั้นจึงกล่าวต่อ “ท่านไม่ได้ปฏิเสธอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกันกับแคว้นฉู่ใต้จริงๆ แต่เมื่อฟังน้ำเสียงของท่านซึ่งดูเกลียดชังราชวงศ์แค คว้นฉู่มากแสดงว่าผู้ที่ใช้ท่านไม่ใช่พวกเขา อืม…ไม่เห็นแก่เงิน หรือว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์กัน”
แววตาของเวินซิ่วอี๋สว่างวาบ “ท่านจับผิดคำพูดข้าอีกแล้ว!”
หมิงเวยหัวเราะ และพูดอย่างใจเย็น “ใช่! ข้าไม่ได้บอกไปก่อนหน้านี้หรือว่า คุณหนูเวินไม่ต้องการให้ข้าสืบข้อมูลเลยไม่พูดอะไร ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกถูกหรือไม่”
เวินซิ่วอี๋แค่นหัวเราะ แต่ก็มีความลังเลเล็กน้อย ที่ฟังมาก็ถูก แต่นางไม่ต้องการทำตามคำพูดของหมิงเวย…
นี่มันยุ่งยากมาก!
หมิงเวยที่คอยสังเกตจากสีหน้า และคำพูดของนางแอบยิ้มเงียบๆ คุณหนูเวินผู้นี้เป็นคนหัวดื้อ ผู้อื่นพูดเรื่องอะไรนางจะไม่ชอบทำเรื่องนั้นแม้ว่ามันจะสมเหตุสมผลก็ตาม
จู่ๆ ก็รู้สึกว่านางน่ารักขึ้นมานิดหน่อย!
หมิงเวยคำนวณเวลา และมองไปยังทิศทางของหอสังเกตการณ์ “นานเพียงนี้แล้วพวกเขายังไม่มาหา ดูเหมือนว่าคนของท่านจะพบเข้าแล้ว หืม…เมฆฝั่งนั้นรวมตัวกัน แต่ไม่กระจาย และหิมะก็…”
เหนือหอสังเกตการณ์มียอดเขาสูง และความร้อนใต้พิภพไม่แผ่ขยายไปที่นั่น เช่นเดียวกันกับภูเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ปกติทิวเขาสีขาวเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม แต่ตอน นนี้ดูเหมือนวิกฤติแล้ว
แต่เวินซิ่วอี๋กลับมีท่าทีสบายๆ “เป็นอย่างไร ท่านจะทิ้งข้าไว้ที่นี่ก็ทิ้งซะสิ! อีกสักพักท่านจะได้เห็นความงดงามของหิมะถล่ม เสียงน้ำแข็งหิมะแตกกระจาย แม้ว่าพวกเขาจะมีความสาม มารถเพียงใดก็ไม่สามารถหนีพลังอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์และพิภพได้หรอก เมื่อถึงตอนนั้นแคว้นฉีก็จะล่มสลาย!”
อา ความรู้สึกชนะเช่นนี้นี่มันดีจริงๆ! ว่าอย่างไรล่ะถึงคราวที่นางต้องเป็นฝ่ายโกรธบ้างแล้ว เวินซิ่วอี๋รู้สึกภาคภูมิใจแล้วหันไปมองหมิงเวย ไม่คาดคิดว่าหมิงเวยจะมองนางด้วย สายตาแปลกๆ
“ทำไมกัน” มองนางเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร
หมิงเวยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูเวิน เหตุใดท่านถึงคิดว่าข้ามาเพื่อช่วยฮ่องเต้ล่ะ”
เวินซิ่วอี๋ตกใจนางตามความคิดอีกฝ่ายไม่ทัน
หมิงเวยพูดต่ออย่างช้าๆ “เหตุใดท่านถึงคิดว่าข้าหวังให้ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะ”
“ท่าน...” ความคิดของนางหยุดชะงักชั่วคราว
หมิงเวยพูด “ท่านอย่าลืมว่าด้วยชาติกำเนิดของเยวี่ยอ๋อง หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ลงที่นี่ องค์ชายใหญ่ และองค์ชายรองก็จบสิ้นแล้ว เขาควรจะมีความสุขมิใช่หรือ”
เวินซิ่วอี๋คิดตามคำพูดของนางแล้วสีหน้าค่อยๆ ซีดเผือด
จากมุมมองความเกลียดชังส่วนตัว เยวี่ยอ๋องเป็นทายาทของซือฮว๋ายไท่จื่อก็มีเหตุผลที่จะรู้สึกขุ่นเคืองต่อฮ่องเต้ และจากมุมมองของสถานการณ์โดยรวม สมาชิกในราชวงศ์แคว้นฉีมีน้อย หากฮ่ องเต้ และองค์ชายทั้งสองสิ้นพระชนม์ ในบรรดาเชื้อพระวงศ์จะก็เหลือเพียงอันอ๋อง หรือองค์ชายสามที่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ แต่ด้วยนิสัยของอันอ๋อง…
“ทีนี้ท่านเข้าใจหรือไม่” หมิงเวยยิ้ม “ข้าต้องขอบคุณท่านนะ! ด้วยสถานะแล้วเยวี่ยอ๋องไม่สามารถทำได้หากต้องการ เห็นได้ชัดว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างมากในการขยายชายแดน แต่พอกล ลับมาที่เมืองหลวงต้องแสร้งทำเป็นบ้าใบ้ ท่านคิดว่าพวกเราจะหวังให้ฮ่องเต้มีชีวิตอยู่หรือ ยิ่งเขาอายุสั้นก็ยิ่งดีต่อพวกเรา ไม่มีอะไรเสียเปรียบเลยสักนิด”
เวินซิ่วอี๋หายใจไม่ออกนางกัดฟันพูด “ท่านหลอกใช้ข้า!”
“จะพูดอย่างนั้นได้อย่างไร ข้าไม่ได้ทำอะไรเป็นพวกท่านที่คิดแผนเอง หากให้ข้าเดา ในเมื่อพวกท่านลงมือแล้วเช่นนั้นที่เมืองหลวงก็คงเริ่มแล้วใช่หรือไม่
อืม…หากสังหารอันอ๋องได้ในคราวเดียวก็ช่วยประหยัดแรงพวกเราไปไม่น้อย! ฮ่องเต้ และองค์ชายทั้งสามไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เหลือเด็กสองคนที่ไม่สามารถทำอะไรได้ สายของฮ่องเต้ไม่มีผู้ ใดให้สืบทอดต่อก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเปลี่ยนเป็นให้สายอื่นได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้!
ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถใช้เรื่องนี้เพื่อกวาดล้าง และขจัดผู้เห็นต่างและได้แคว้นฉีมาครองไว้ในมือ คุณหนูเวิน ท่านคงไม่สงสัยว่าเหตุใดเขาถึงเหมาะสมที่จะเป็นฮ่องเต้มากกว่าองค์ ชายรองหรืออันอ๋องใช่หรือไม่ เพราะสำหรับแคว้นฉู่แล้วดูเหมือนจะเป็นข่าวดีไม่ใช่หรือ”
เวินซิ่วอี๋ยากที่จะทำใจเชื่อ “เพราะอย่างนั้นพวกท่านถึงได้รอพวกเรา…”
“ใช่!” หมิงเวยพูดขัดจังหวะ นางเชิดหน้าขึ้นมองด้วยสายตาดูหมิ่น “พวกท่านอาศัยนามขององค์ชายรองก่อสร้างพายุ แต่อันที่จริงแล้วทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานให้พวกเรา อย่างที่ข้าพูดไ ไปก่อนหน้านี้ท่านคิดจะขังข้า ข้าเองก็คิดจะขังท่าน รอจนเรื่องราวสิ้นสุดลง ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ แคว้นฉีก็จะเป็นแคว้นฉีของพวกเรา!”
“ท่าน...”
เวินซิ่วอี๋พูดออกเพียงคำเดียว และทันใดนั้นก็มีเสียงก้องลอยเข้ามาในหูของนาง ทั้งสองหันไปมอง แต่ในที่สุดหิมะบนยอดเขาก็ตกลงมา
แม้ว่าหิมะในเขาซิ่วชานจะไม่หนักเท่าที่ซีเป่ย แต่หิมะถล่มก็ทำให้สะท้านฟ้าสะเทือนดินได้เช่นกัน เวินซิ่วอี๋หน้าซีดเผือด ครู่หนึ่งนางไม่รู้ตนควรคาดหวังว่าจะสำเร็จ หรือล้มเหล ลวดี
หากสำเร็จก็ถือว่านางทำแผนสำเร็จแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทำให้หมิงเวยพอใจเช่นกัน
หากล้มเหลว แล้วนางจะมาที่แคว้นฉีเพื่ออะไรกัน
ในช่วงอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงนี้เวลาได้ผ่านไปทีละน้อยจนกระทั่งพลบค่ำ
………………
[1] ถุงฟาง : ไร้ความสามารถ