คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 587 ล้มเหลว
หอสังเกตการณ์ตกอยู่ในความวุ่นวาย หมิงเวย และเวินซิ่วอี๋ซึ่งอยู่ในป่าไม่รู้สึกถึงความวุ่นวายนี้ พวกนางถูกกั้นอยู่ด้วยกัน และไม่มีผู้ใดสามารถออกไปจากที่นี่ได้
พิษกู่ลับของเวินซิ่วอี๋ถูกกินไปแล้ว พลังของนางลดลง ตอนนี้นางไม่สามารถต่อสู้กับหมิงเวยได้อีก แต่หมิงเวยต้องการออกไปจากค่ายกลหมอกพิษซึ่งมันไม่ง่ายเช่นนั้น มีเวินซิ่วอ อี๋คอยรบกวนอยู่ข้างกายซึ่งไม่มีทางไม่ได้รับบาดเจ็บ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อยู่ที่นี่เถอะ!
นางกล้าตามออกมาแน่นอนว่าต้องมีความมั่นใจ ตัวฝูตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วมีนางคอยปกป้องกุ้ยเฟยการปกป้องคนหนึ่งคนไม่ใช่เรื่องยาก
ส่วนฮ่องเต้…ด้วยสัญญาณเตือนของนางเชื่อว่ายอดฝีมือที่อยู่รอบกายเขาไม่ปล่อยให้เขาถูกลอบทำร้ายหรอก นอกจากนี้หากโดนลอบทำร้ายขึ้นมาก็ไม่ใช่ความสูญเสียที่ไม่สามารถรับได้เสียหน่อย
หมิงเวยยอมรับว่านางมีความคิดที่ดำมืดเช่นนี้จึงกล้าที่จะปล่อยไป ไม่ว่าเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตามมันก็ดีสำหรับอีกฝ่าย
ฮ่องเต้ปลอดภัย สถานการณ์ในแคว้นฉีมั่นคงหากเกิดอะไรขึ้นกับฮ่องเต้ หยางชูก็ผ่านพ้นความยากลำบากมาได้
เวินซิ่วอี๋เริ่มรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกนางยังคุยกับหมิงเวยแม้ว่าเนื้อหาที่คุยจะเป็นการทะเลาะวิวาทก็ตาม
ในท้ายที่สุดนางไม่พูดอะไร และนั่งหักกิ่งไม้บนต้นไม้เงียบๆ หมิงเวยขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจนางแล้วจึงหยิบขนมออกมาทานด้วยความหิว ตอนแรกเวินซิ่วอี๋ไม่รู้สึกอะไร แต่พอมองไปมอ องมาก็แอบกลืนน้ำลายเงียบๆ
หมิงเวยเลิกคิ้วก่อนเอ่ย “อยากทานหรือ” เวินซิ่วอี๋แค่นหัวเราะ และหันหน้าไปทางอื่น
“ไม่อยากทานก็ไม่เป็นไร” หมิงเวยกัดขนมต่อไป
เวินซิ่วอี๋ด่าอีกฝ่ายในใจ คนอะไร!
แต่จะให้นางเปิดปาก และก้มหัวให้หมิงเวยหรือเป็นไปไม่ได้เป็นอันขาด!
ไม่ใช่ว่าหิวหรือก็ไม่ถึงขนาดทนไม่ได้ ท่ามกลางความเงียบงันในที่สุดดวงจันทร์ก็อยู่กลางท้องฟ้า หมิงเวยทานเสร็จก็เอนหลังพิงกิ่งไม้อย่างเกียจคร้าน และครวญเพลงที่ไม่รู้ชื่อออกมา า
เวินซิ่วอี๋มองไปที่หอสังเกตการณ์ครู่หนึ่งจากนั้นก็มองนางด้วยความงุนงง
เมื่อเห็นท่าทางของนางหมิงเวยก็กลับมาสนใจแล้วถามไปว่า “ท่านคิดว่าที่เมืองหลวงจะทำสำเร็จหรือไม่”
แววตาของเวินซิ่วอี๋ไหววูบ แต่ไม่ตอบอะไร
หมิงเวยยิ้ม “ดูเหมือนท่านจะรู้คำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่าความเป็นไปได้ที่ในเมืองหลวงจะทำสำเร็จนั้นน้อยมาก ดังนั้นความหวังของพวกท่านจึงอยู่ที่นี่ตั้งแต่ต้นแล้วใช่หรือไม่ ไม่สำคัญ ว่าที่เมืองหลวงจะทำสำเร็จหรือไม่ ตราบใดที่ฮ่องเต้ถูกสังหาร เป้าหมายก็จะสำเร็จ หากให้ข้าคิดว่าเรื่องนี้มีประโยชน์ตรงไหน สำหรับแคว้นศัตรูแล้วการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ที่ชราภาพ จะนำมาซึ่งความไม่มั่นคงต่อสถานการณ์ในราชสำนักอย่างแน่นอน และยังส่งผลต่อความเป็นหนึ่งเดียวของจิตใจประชาชน…เอ๋ หรือว่าพวกท่านคิดจะยกทัพไปทางเหนือ”
เวินซิ่วอี๋เงียบ
หมิงเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ไม่สิ ก่อนหน้านี้ก็มีการยกทัพไปซีเป่ย ไม่เห็นพวกท่านฉวยโอกาสเลย เป็นไปได้ว่ากำลังไม่พอ ตอนนี้แคว้นของพวกเราเจริญรุ่งเรืองพวกท่านไม่น่ามี กำลังที่จะยกทัพไปทางเหนือ เช่นนั้นกำลังเตรียมตัวสำหรับอนาคตใช่หรือไม่”
นางจมอยู่กับความทรงจำของตนเองนึกถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ “หากฮ่องเต้แคว้นฉีสิ้นพระชนม์เช่นนั้นเป่ยฉีจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เพิ่งมีการปลดรัชทายาท และรัชทายาทคนใหม่ยังไม ม่เติบโตพอซึ่งเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับราชวงศ์ เมื่อคนหนึ่งตายไปต้องมีคนใหม่มาแทนที่ พวกท่านสามารถใช้โอกาสนี้รีบพัฒนาบ้านเมืองรอจนวันนั้นมาถึงวันที่แข็งแกร่งเหนื อเป่ยฉีก็ถึงเวลายกทัพมาทางทิศเหนือได้”
ในประวัติศาสตร์ของนางแคว้นฉู่ก็เคยทำเช่นนี้ แต่นั่นก็เกิดขึ้นหลังจากที่อันอ๋องขึ้นครองบัลลังก์
ความโกลาหลของแคว้นฉีเป็นผลมาจากหลายๆ เรื่อง ในประวัติศาสตร์อันอ๋องเป็นที่รู้จักในนามหลิงตี้ เสวียนเฟยเดินทางสู่เส้นทางของปีศาจ บ้านเมือง และประชาชนต่างเดือดร้อน ซูถูก่อตั้งราช ชวงศ์เว่ยตะวันตก รุกล้ำซีเป่ย และแคว้นฉู่ก็ส่งสายลับมาแคว้นฉีเพื่อสร้างสถานการณ์วุ่นวาย หากเป็นไปตามนี้ในเวลาเพียงยี่สิบปี เป่ยฉีที่ทรงอำนาจก็จะกลายเป็นวุ่นวายไร้ระเบียบ
หลังจากนั้นอีกไม่กี่สิบปีทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ถูกใช้จนหมดเป่ยฉีก็จะล่มสลายเพียงแต่ชาตินี้สถานการณ์ได้ต่างออกไปแล้ว
ตอนนี้เผ่าหูถูกผลักไปที่ส่วนลึกของทุ่งหญ้า เสวียนเฟยเดินออกจากชาติกำเนิดปริศนาของตนเอง ถึงแม้อันอ๋องจะได้ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งเขาก็อาจจะไม่ไปถึงขั้นนั้น
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วการที่แคว้นฉู่ส่งสายลับมาล่วงหน้าก็มีความเป็นไปได้มาก
ท้ายที่สุดผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยาน
หมิงเวยมองสีหน้าของเวินซิ่วอี๋แล้วยิ้ม “ดูจากท่าทางของท่านหมายความว่าข้าเดาถูกใช่หรือไม่”
เวินซิ่วอี๋เงียบไม่พูดอะไร หมิงเวยพูดต่อว่า “งั้นข้าเดาต่อว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของท่านคือผู้ใด!”
เวินซิ่วอี๋ส่งสายตาดูถูก
หมิงเวยทำเป็นไม่เห็นแล้ววิเคราะห์ว่า “ท่านเกลียดชังราชวงศ์ฉู่ใต้ ดังนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา เช่นนั้นผู้ที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้มีเพียงตระกูลขุนนางใหญ่ไม่กี่ตระกูล ในแคว้นฉู่ซึ่งตระกูลถังเข้าข่ายมากที่สุด ปัจจุบันตระกูลถังมีอำนาจมากที่สุด และมีความทะเยอทะยานที่จะเข้ามาแทนที่ราชวงศ์ฉู่ชัดเจนที่สุดเช่นกัน เป็นตระกูลถังที่ส่งท่านมาใช่หรือไม่”
เวินซิ่วอี๋ยังคงไม่พูดอะไร
หมิงเวยไม่สนใจ และพูดต่อ “ผู้กุมอำนาจในตระกูลถึงตอนนี้…อา ข้าไม่คิดว่าพวกเขาสามารถเอาใจคุณหนูเวินได้ คนอย่างคุณหนูเวินไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนอย่างแน่นอน เช่ นนั้นแล้วมันเพื่ออะไรล่ะ บางทีอาจเป็นเพราะบรรพบุรุษติดค้างน้ำใจ หรือมีคนที่ทำให้ท่านซาบซึ้งใจ…คำตอบนี้บางทีวันหนึ่งข้าไปแคว้นฉู่คงได้คำตอบ”
ดวงตาของเวินซิ่วอี๋ไหววูบนางดูลังเล
หมิงเวยยิ้ม และต้องการพูดมากกว่านี้ แต่หูได้ยินเสียงเหมือนว่ามีคนทำลายค่ายกลหมอกพิษได้แล้ว
นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูเวิน ดูเหมือนคนที่มาจะเป็นคนของข้า ไม่ว่าฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์หรือไม่ ผู้ที่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็คือข้า!”
เวินซิ่วอี๋แค่นหัวเราะ หมิงเวยกระโดดลงจากต้นไม้ และปัดหิมะในมือ “เสี่ยวไป๋พาคนมาที่นี่”
“เจ้าค่ะ” งูขาวเลื้อยลงมาจากต้นเหมยแล้วหายเข้าไปในสายหมอกอย่างรวดเร็ว
เวินซิ่วอี๋ก็ลงมาจากต้นไม้ด้วยเช่นกัน จากนั้นก็อาศัยโอกาสตอนที่หมิงเวยก้มหน้าคำนวณตำแหน่ง สะบัดแขนเสื้อแล้วโยนบางอย่างออกมา
หมิงเวยกระโดดขึ้น และก็เกิดควันพิษที่พื้นดิน
ในตอนที่นางก้าวถอยหลังเงาของเวินซิ่วอี๋ก็สั่น และหายตัวไปในหมอกพิษอย่างรวดเร็ว
หมิงเวยปัดควันออกจากจมูกแล้วเลิกคิ้ว “ฟื้นตัวเร็วเช่นนี้เลยหรือ ดูเหมือนนางจะไม่เป็นอะไรเลย! แข็งแกร่งเกินคาด” แต่นางไม่ได้ไล่ตามไป
หากเข้าไปในหมอกพิษพลังของนางจะถูกสกัดกั้นแล้วหากเวินซิ่วอี๋โต้กลับคงยากที่จะรับมือ ไม่นานงูขาวก็พาคนมา
“คุณหนู!” ตัวฝูวิ่งเข้าไปสำรวจนาง “คุณหนูไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร” หมิงเวยปลอบนาง “เจ้ามาอยู่ที่นี่กุ้ยเฟยปลอดภัยดีใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” ตัวฝูพูด “พวกเราถอนตัวทันเวลา แต่ฝ่าบาทลื่นล้มเจ้าค่ะ”
“อ้อ” หมิงเวยไม่สนใจความปลอดภัยของฮ่องเต้แล้วพูดว่า “เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถอะ”
…………
เวินซิ่วอี๋เดินออกจากกลุ่มหมอกอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ภายใต้แสงจันทร์ มีคนสวมชุดแปลกประหลาดรออยู่ที่นั่น
“เจ้าถูกลอบทำร้ายหรือ” สำเนียงของคนผู้นั้นดูแปลกเล็กน้อย
เวินซิ่วอี๋พ่นลมหายใจ และถามว่า “ทำสำเร็จหรือไม่”
เขาส่ายหน้า “ไม่ ดูเหมือนพวกเขาเตรียมตัวมาก่อนพวกเราสูญเสียกำลังคนไปบางส่วน”
เวินซิ่วอี๋พยักหน้า “ไปกันเถอะ!”
คนผู้นั้นถามอย่างแปลกใจ “เจ้าไม่คิดกลับไปแก้แค้นหรือ”
เวินซิ่วอี๋พูดอย่างเย็นชา “พลังของอีกฝ่ายเหนือกว่าพวกเรา จะแก้แค้นอะไรได้ ข้าแกล้งทำเป็นโง่ไม่ใช่เพื่อส่งตัวเองออกไปอีก แต่เพื่อในอนาคตจะได้กลับมาแก้แค้นสักวัน อย่ารอช้าเล ลยไปกันเถอะ!”