คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 598 เสียงขลุ่ย
“คุณหนูหมิง เหตุใดท่านไม่พูดอะไรเลยล่ะ” เวินซิ่วอี๋ถามด้วยรอยยิ้ม
เสียงของหมิงเวยดังขึ้น “โอ้ ข้ากำลังคำนวณจำนวนกับดักที่ท่านวางในวัดนี้”
“งั้นหรือ มีเท่าไรล่ะ”
หมิงเวยยังคงยิ้ม “เหตุใดข้าต้องตอบด้วย หากตอบผิดท่านก็หัวเราะเยาะข้า หากตอบถูก ท่านก็ไม่ยอมรับ ใช่หรือไม่”
“ใช่!” เวินซิ่วอี๋ยอมรับโดยง่าย “ดังนั้นปริศนาข้อสุดท้ายนี้คุณหนูหมิงถูกลิขิตให้ตอบไม่ได้”
“แล้วอย่างไร” หมิงเวยไม่สนใจ “จับตัวคนตั้งคำถามได้ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอหรือ”
หลังจากพูดเช่นนี้ห้องโถงก็เงียบลง เกิดการเคลื่อนไหวเงียบๆ ในความมืด
หมิงเวยจับขลุ่ยข้างเอวหยางชูไม่ได้พกอาวุธมาจึงใช้หมัดต่อสู้แทน
การต่อสู้ปะทุขึ้นในทันที มีเสียงดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด และมีบางอย่างเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็ว
“วู…” เสียงของขลุ่ยเซียวก่อตัวเป็นคลื่นเสียง และวาดออกไป
ในเวลาเดียวกันงูขาวก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของหมิงเวยมีแสงจางๆ สะท้อนอยู่ในความมืด ดวงตาของหยางชูเป็นประกายเขาเดินตามหลังมันแล้วเข้าโจมตี
……………
หลังจากที่อาหว่านวางโคมลอยนางก็ไปหาเสี่ยวถง เสี่ยวถงคุยเจื้อยแจ้วกับนาง แต่นางดูไม่ค่อยสนใจ
เสี่ยวถงสัมผัสได้จึงถามนาง “พี่อาหว่าน ท่านมีอะไรในใจหรือไม่”
อาหว่านได้สติแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไร แค่อารมณ์ไม่ดี”
“อ้อ…” เสี่ยวถงเกิดความคิดขึ้นมาอย่างเฉียบไว “พวกเราเข้าไปทายปริศนาในวัดดีหรือไม่ ได้ข่าวว่าวันนี้คึกคักมากขนาดเจ้าอาวาสฝ่าหมิงก็ออกมา!”
อาหว่านปฏิเสธไม่ได้ “ได้!”
ทั้งสองเข้าไปในวัดฉางเซิง อาหว่านดูเหมือนจะได้ยินอะไรบางอย่าง และถามเสี่ยวถงว่า “เจ้าลองฟังดู นั่นเสียงขลุ่ยใช่หรือไม่”
เสี่ยวถงตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เพลงนี้คุ้นมาก! อา ข้ารู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”
สีหน้าอาหว่านดูไม่น่ามอง “เจ้ารีบกลับไปหาอาสวน!”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เสี่ยวถงถามด้วยความประหลาดใจ
อาหว่านพูด “นั่นเสียงขลุ่ยของแม่นางหมิงเจ้าฟังแล้วเวียนหัวเพราะนางใส่พลังเข้าไป หมายความว่านางกำลังต่อสู้กับผู้อื่น ดูโคมลอยอยู่ดีๆ ไปต่อสู้กับผู้อื่นได้อย่างไร ข้าจะไปดูส สถานการณ์เจ้าไปบอกอาสวน หากเกิดเรื่องจะได้สนับสนุนได้”
เสี่ยวถงเริ่มประหม่า “ได้ เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองแยกจากกันคนหนึ่งกลับไปหาอาสวนอีกคนรีบตามเสียงขลุ่ยไป
อาหว่านมาที่วัดฉางเซิงหลายครั้งจึงรู้พื้นที่เป็นอย่างดี นางเดินเบียดออกจากฝูงชนแล้วเดินไปตามกำแพงสักพัก เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยอย่างชัดเจนจึงปีนข้ามกำแพงเข้าไป
จากนั้นนางเดินผ่านลานก็มีพระเดินเข้ามาหานาง “สีกา ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาโปรดกลับไปเถอะ”
อาหว่านไม่อยากเสียเวลาจึงชูป้ายคำสั่ง “จวนเยวี่ยอ๋องปฏิบัติงานคนไม่เกี่ยวข้องอย่าเข้ามาห้าม!”
พระหัวล้านประหลาดใจ “สีกาเป็นคนจากจวนเยวี่ยอ๋องงั้นหรือ”
“ใช่ ท่านหลีกทางด้วย!”
พระท่านนั้นถอยหลังออกไป แต่ก็ยังยืนขวางอยู่ตรงหน้านางแล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สีกา ที่นี่คือสถานที่แห่งพระพุทธศาสนา ไม่เหมาะที่สตรีจะเข้าไป ให้อาตมาพาท่านไปพบท่านเจ้า าอาวาสดีกว่า ต้องการอะไรก็บอกกับท่านเจ้าอาวาสได้”
ฟังดูเป็นเรื่องปกติอาหว่านชะงักไม่คัดค้าน
พระหันข้างแล้วผายมือให้ “เชิญสีกา”
อาหว่านเดินไปได้สองก้าวทันใดนั้นนางก็ยกแขนขึ้น และมีลูกศรพุ่งออกไป
“อา!” พระพยายามหลบหลีก แต่ก็ไม่ทัน ลูกธนูได้ทะลุไหล่ และตรึงเขาไว้กับกำแพง
อาหว่านดึงกริชออกมาแล้วกดที่คอของเขา “พูดมา! ท่านคือผู้ใด”
ใบหน้าของพระบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดพยายามชี้แจงให้อีกฝ่ายฟัง
“สีกาทำอะไรน่ะ! อาตมาเป็นพระของวัดฉางเซิง ท่านจะสังหารคนในสถานที่แห่งพระพุทธศาสนาหรือ”
“ใช่! ข้าจะสังหารคนท่านกล้าร้องหรือไม่” อาหว่านพูดอย่างเย็นชา มือข้างหนึ่งเลื่อนลงมา และคว้าข้อมือของฝ่ายตรงข้ามในช่วงเวลาอันสั้น
เมื่อมองลงไปพระภิกษุถือมีดบางอยู่ระหว่างนิ้วห่างออกไปเพียงครึ่งชุ่นก็จะแทงเข้าที่หน้าอกของนางแล้ว อาหว่านออกแรงซัดออกไปอย่างไร้ความเมตตา
“อา…” พระกรีดร้องเนื่องจากมือถูกอีกฝ่ายหัก “จะพูดไม่พูด”
“พูด ข้าพูด…” พระเจ็บจนหน้าผากชุ่มไปด้วยเหงื่อเขาพูดออกไปรัวเร็ว
“ข้า ข้าเป็นโจรจากหย่งโจวคิดจะใช้ประโยชน์จากเทศกาลโคมลอยปล้นวัดฉางเซิง…แม่นางไว้ชีวิตข้าเถอะ! ข้าไม่กล้าแล้ว!”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” อาหว่านดึงใบมีดออกจากมืออีกฝ่าย “ในเมื่อสารภาพออกมาแล้วเช่นนั้นข้าจะให้ทางรอดแก่เจ้าไปที่ว่าการ…”
พูดไปได้แค่ครึ่งประโยคก็มีลูกศรสีดำซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใดพุ่งออกมา
“อา!” ครั้งนี้พระร้องออกมาสั้นๆ จากนั้นศีรษะก็ตกลงไม่ขยับอีกเลย
สีหน้าของอาหว่านเปลี่ยนไปนางหันไปมอง “ผู้ใด”
ในคืนที่มืดมิดเงียบสงัดไร้การเคลื่อนไหว นางนึกสงสัยในใจถูกฆ่าปิดปากอย่างง่ายดายเช่นนี้แม้แต่ตนเองยังไม่รู้สึกถึง วรยุทธ์ของคนผู้นั้นต้องสูงส่งเพียงใดกัน
ขณะที่ครุ่นคิดก็เอื้อมมือไปสัมผัสชีพจรของพระ
ในขณะที่มือของอาหว่านกดอยู่ที่คอของพระสงฆ์ จู่ๆ บาดแผลก็เปิดออก นางตะลึงครู่หนึ่ง แต่ก่อนที่นางจะทันได้ตอบสนองก็รู้สึกเจ็บปวดที่ปลายนิ้ว
นางก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วเมื่อเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก นิ้วถูกบางสิ่งกัด และเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว
สีดำกระจายไปที่แขน…
อาหว่านใช้มืออีกข้างกดจุดสองสามจุดบนแขนจากนั้นก็กรีดข้อมือเพื่อให้เลือดไหลออกมาโดยไม่ลังเล นางจัดการกับมันได้ทันเวลาจึงห้ามได้อย่างรวดเร็ว
“พิษกู่” อาหว่านพูดออกมาสองคำแล้วเงยหน้ามองศพของพระ เดาได้ว่าหมิงเวย และหยางชูถูกผู้ใดรั้งเอาไว้
เวินซิ่วอี๋
คุณหนูเวินผู้นั้นหายตัวไปหลังจากคดีกบฏ ตัวฝูบอกกับนางว่าสตรีผู้นั้นใช้พิษกู่ ก็ไม่ต่างอะไรกับยาพิษ อาหว่านมีความเชี่ยวชาญในทักษะทางการแพทย์และมีความเข้าใจในพิษกู่ แต่ ตอนนี้มีบางอย่างที่นางไม่เข้าใจ
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าพันแผล และคิดจะไปเป็นกำลังหนุนให้ทั้งสองคน
หลังจากผ่านไปสองลาน นางก็หยุด และมองไปทางขวา
ศพของภิกษุจมูกเบี้ยวตาถลน ลิ้นจุกปาก ถูกตอกไปที่ผนัง
นางยังอยู่ที่เดิม ในสถานการณ์เช่นนี้มักจะมีคำพูดว่า
ผีอำ
………….
ซูถูตอบคำถามอย่างเงียบๆ
ความรู้ของเขาไม่สามารถเทียบได้กับเหล่าผู้มีความรู้พวกนั้น แต่เขาอ่านหนังสือมามากมายเลยทำให้ไปถึงลานที่หก
ในด่านนี้มีคำถามมากมายเกี่ยวกับเคล็ดวิชาซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตความรู้ของเขา เขาจึงทำอะไรไม่ถูก
หากไม่ตอบเขาก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่มองคำถามด้วยความมึนงง
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาได้ยินเสียงคร่ำครวญเบาๆ ของขลุ่ยท่ามกลางความเงียบสงบในเวลากลางคืน อาจเป็นเพราะคืนนี้เศร้าเกินไปอารมณ์ของเขาถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายดายจนกระทั่งรู้สึกปวดหัวถึ งได้สติ
นี่ไม่ใช่เสียงขลุ่ยทั่วไป แต่เป็นวิชาคลื่นเสียง!
ซูถูนึกถึงสตรีผู้นั้น
เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดนตรีจึงแยกไม่ออกว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ หากเป็นนางจริงๆ เช่นนั้นตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้หรือไม่
ซูถูวางปริศนาทำทีเป็นยอมแพ้แล้วเดินออกจากลานไป
เมื่อพระผู้เฝ้าประตูไม่สนใจเขาก็รีบหลบไปที่มุมเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของพวกเขา และเดินไปทางอื่นอย่างเงียบๆ