คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 600 อุบัติเหตุ
ภายในห้องโถงตกอยู่ในความมืด แต่ในความคิดของเวินซิ่วอี๋กลับไม่คิดเช่นนั้น ในตอนที่หมิงเวยพูดว่าภูติผีเดินทาง เหล่าผู้ที่ปรากฏขึ้นในห้องโถงไม่ใช่มนุษย์ แต่ลุกขึ้นทีละคน ราวกับมีชีวิต เห็นได้ชัดว่ารอบกายไร้ผู้คน แต่กลับรู้สึกว่ามี ‘คน’ อยู่รอบกายเต็มไปหมด…
นางกัดฟันก้าวถอยหลัง “ท่านเสแสร้งเป็นภูติผี…”
ยังไม่ทันพูดจบสิ่งที่อยู่ใกล้นางที่สุดก็ก้าวไปข้างหน้า และพุ่งเข้าหานาง ลมเย็นพัดผ่าน
“อา!” เวินซิ่วอี๋ร้องรู้สึกร้อนผ่าวที่แขน
“วิชาหมอผี ความหมายเดิมคือเสแสร้งเป็นภูติผี” หมิงเวยพูดเสียงเรียบ “ท่านที่เป็นผู้สืบทอดสำนักหมอผีพูดเช่นนี้ไม่น่าขันไปหน่อยหรือ” นางยกขลุ่ยจรดริมฝีปากอีกครั้ง และเริ่มเป ป่า
ในขณะเดียวกันก็เริ่มก้าวเดิน บางอย่างเหล่านั้นเคลื่อนไปข้างหน้าข้างหลังอย่างเป็นระเบียบตามจังหวะฝีเท้าของนาง
ระบำพิชิตมาร…
สองคำนี้แวบเข้ามาในความคิดของเวินซิ่วอี๋ นางรู้จักระบำพิชิตมารซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาลับของสำนักหมอผี แต่ผ่านมาหลายพันปีวิชานี้ได้สูญหายไปนานแล้ว นางรู้เรื่องจังหวะฝีเท้า แต่เรื่องใช้จังหวะฝีเท้าเรียกภูติผีนางทำไม่ได้!
“เป็นไปไม่ได้! ท่านรู้ได้อย่างไร”
หมิงเวยไม่ตอบนางเพียงแต่จัดการให้สิ่งเหล่านั้นโจมตีค่ายกลเขาวงกตของนางทีละตัว
“เคล้ง!” แก่นค่ายกลถูกทำลาย
“เคล้ง!” แก่นค่ายกลถูกทำลายอีกครั้งจนใช้การไม่ได้ เสียงยังคงดังต่อเนื่อง ความรู้สึกน่าอึดอัดค่อยๆ หายไป และมีแสงส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
ค่ายกลถูกทำลายแล้ว เวินซิ่วอี๋กัดริมฝีปากของนางอย่างแรง ใช้ความเจ็บปวดเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น
กับดักได้วางเอาไว้แล้ว นางกระทั่งเดิมพันกับกับดักที่ซ่อนอยู่ในวัดฉางเซิงเป็นเวลานาน มันต้องได้อะไรสักอย่างบ้าง
มาถึงจุดนี้แล้วมีเพียงแต่ต้องปลาตายตาข่ายขาด[1]!
เวินซิ่วอี๋เอื้อมมือไปกดกลไกจากนั้นลูกธนูชุดหนึ่งก็ถูกยิงออกมา นางอาศัยจังหวะนี้เตะประตูลับแล้วกลิ้งออกไป
“ค่ายกลลูกศร!” นางตะโกนเสียงดัง
ในลานที่แต่เดิมว่างเปล่าไร้ผู้คน จู่ๆ ก็มีพระภิกษุจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น บางคนถือคบเพลิงบางคนถือคันธนู และหน้าไม้
“ท่านตามข้ามา” หยางชูตะโกนเขาหยิบแผ่นไม้ที่เพิ่งหัก และโยนออกไป
ทันใดนั้นลูกศรจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่แผ่นไม้ ในขณะเดียวกันเขาก็ดึงหมิงเวยแล้วพุ่งออกไปทางหน้าต่างบานอื่น
เมื่อรู้ว่าเป็นแผนหลอกล่อเหล่าพระภิกษุก็รีบหันหน้าไม้เข้าใส่พวกเขา หยางชูสะบัดเสื้อคลุมปัดลูกศรให้ตกลงไป
“ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” หยางชูพูด
“ท่านหาโอกาสออกไปตามหาอาสวน!”
หมิงเวยพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ”
ในเรื่องของวรยุทธ์นางไม่เก่งเท่าหยางชูนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับมัน
หลังจากนั้นหยางชูเตะพระภิกษุรูปหนึ่งแล้วแย่งมีดในมือของเขา จากนั้นก็เหวี่ยงซ้ายขวาปัดลูกธนูให้ร่วงลง แต่มีลูกธนูดอกหนึ่งถูกเขาปัดไปผิดทางกลับพุ่งทะลุผ่านหน้าอกของพระ ะภิกษุที่ถือหน้าไม้
“อา!” พระภิกษุร้องลั่น
ได้โอกาสแล้ว! หมิงเวยรีบวิ่งออกไป เหล่าพระภิกษุคิดจะหยุดนาง แต่ก็ถูกหยางชูขวางเอาไว้ หมิงเวยรีบออกจากวงล้อมในพริบตาเดียว
ในอาณาเขตวัดมีค่ายกล แต่มันจะทำอะไรนางได้ร่างกายที่เชื่อมต่อระหว่างหยิน และหยาง เพียงแค่ชำเลืองมองก็สามารถแยกแยะตำแหน่งจริงได้ พอวิ่งผ่านไปไม่กี่ลานก็เห็นว่าใกล้ถึงกำ ำแพงลานแล้ว
“วู…” เสียงขลุ่ยเซียวดังขึ้น
หมิงเวยตกใจแล้วก้มหน้ามองขลุ่ยเซียวของนางยังอยู่ในมือ
“วู…” เสียงขลุ่ยเซียวผ่านไปสองสามจังหวะราวกับร้องไห้คร่ำครวญ
หมิงเวยยิ่งฟังยิ่งสีหน้าซีดเซียวนางอดไม่ได้ที่จะหยุด และมองไปในทิศทางที่เสียงนั้นลอยมา การเป่าขลุ่ยเซียวนี้เหมือนกันกับของนาง! ไม่ใช่แค่เพลง แม้แต่คลื่นเสียงเองก็ด้วย!
จะเป็นไปได้อย่างไรแม้แต่คลื่นเสียงของหนิงซิวยังต่างกับนางเลย
หรือว่า…
การเคลื่อนไหวของเสียงขลุ่ยทำให้พลังปราณรอบตัวเปลี่ยนไป หยินหยางในสายตาของนางเริ่มโกลาหล ค่ายกลเขาวงกตใหม่ปรากฏขึ้นตรงหน้านาง และเส้นทางถูกตัดขาด
อีกฝ่ายต้องการหลอกล่อนางไป!
หมิงเวยกัดฟันหยิบพลุออกมาแล้วโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าจากนั้นก็วิ่งไปยังเส้นทางของเสียงขลุ่ยโดยไม่หันหลังกลับไปมอง คนผู้นี้แสดงชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้นางไป หากค่ายกลเขาวงกตไม่ พังทลายนางก็ฝ่าออกไปไม่ได้
นางหวังว่าอาสวนจะเห็นพลุไฟนี้แล้วมาสนับสนุนได้ทันเวลา นางกลับไม่รู้ว่ามีสหายสองคนอยู่ใกล้ๆ นาง เพียงแต่ถูกกำแพงลานกั้นขวางเอาไว้จึงมองไม่เห็นกัน
ซูถูที่อยู่ไม่ไกลเห็นนางกระโดดขึ้นกำแพงดวงตาของเขาเป็นประกายแล้วสั่งนักดนตรีหูเหรินให้มาสนับสนุน “เห็นหรือไม่ จับสตรีผู้นั้น จับเป็นก็ดีจับตายก็ได้!”
“ขอรับ!” นักดนตรีหูเหรินสู้ไม่ถอยเขานำคนไล่ตามหมิงเวย
อาหว่าน และจี้เสียวอู่เองก็เห็นเช่นกัน เสียงขลุ่ยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหยินหยาง เขาวงกตที่ปิดล้อมพวกเขาสลายหายไปในที่สุดก็กลับมาอยู่ในสถานที่จริง
“น้องหญิง!” จี้เสียวอู่ร้องแล้วรีบตามไป
“นี่! ท่านจะรีบทำไมกัน” อาหว่านจำต้องตามไปด้วย
หมิงเวยออกจากวัดฉางเซิงนางไล่ตามเสียงขลุ่ยท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด เสียงขลุ่ยดูเหมือนจะตั้งใจหลอกล่อนางซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เมื่อนางมาถึงเนินเขาเสียงขลุ่ยเซียวก็หยุดลง หมิงเวยหยุดแล้วหันไปมองรอบกายที่ว่างเปล่าจากนั้นก็พูดเสียงดัง “ผู้ใดกัน! ออกมาเดี๋ยวนี้!”
ไม่ได้รับคำตอบมีเพียงหยินหยางที่พลุ่งพล่านอยู่รอบๆ เท่านั้นที่บอกนางว่ามียอดฝีมืออยู่ที่นี่จริงๆ
หมิงเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนเองแล้วตะโกนขึ้นว่า “บทเพลงที่ท่านเล่นเป็นความลับของสำนักข้าท่านช่วยบอกได้หรือไม่ว่าพวกเรามีต้นกำเนิดจากที่ใด”
ยังคงไร้เสียงตอบรับ
หมิงเวยกำขลุ่ยในมือแล้วพูดว่า “ในเมื่อท่านไม่ต้องการปรากฏกาย เช่นนั้นก็ล่วงเกินท่านแล้ว”
พูดจบนางก็ยกขลุ่ยขึ้นมาเป่า เสียงขลุ่ยเซียวดังขึ้นหยินหยางเกิดความปั่นป่วนไล่จิตสังหารอันรุนแรงให้หายไปนี่คือบทเพลงแห่งการประกาศสงคราม!
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงขลุ่ยจากอีกฝั่งก็ดังขึ้นเช่นกันท่วงทำนองเหมือนกันทุกประการ และคลื่นเสียงเองก็ไม่ต่างกันมากนัก คลื่นเสียงทั้งสองดึงกันไปมาหมิงเวยยิ่งเป่าสีหน้ายิ่งซีดขึ น นิ้วที่กดเข้าไปในรูก็สั่นเล็กน้อย
เมื่อเพลงใกล้จะจบนางทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจึงตะโกนว่า “อาจารย์ เป็นท่านหรือไม่เจ้าคะ”
เสียงขลุ่ยของอีกฝ่ายหยุดลงครู่หนึ่งจากนั้นก็เป่าต่อหมิงเวยฟังเสียงขลุ่ยแล้วน้ำตารินไหล บทเพลงนี้ ท่วงทำนองนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานการณ์ตอนที่อาจารย์สั่งสอนนาง
ในสำนักมีกันเพียงสามคน ศิษย์น้องไม่ได้เรียนรู้จังหวะดนตรี ดังนั้นเมื่อชาติก่อนมีเพียงอาจารย์ และนางเท่านั้นที่สามารถเล่นบทเพลงเดียวกันได้!
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรนางได้พบท่านอาจารย์แล้ว และยังเป็นเพียงหมิงเจิงในวัยเด็ก!
แต่จังหวะดนตรีเช่นนี้ไม่สามารถโกหกได้ไม่มีผู้ใดเรียนได้เหมือนเช่นนี้! ไม่เพียงแต่เพลงจะเหมือนกัน การผ่อนลมหายใจยังไม่ต่างกันอีกด้วยไม่มีทางที่คนสองคนที่คล้ายกันเช่นนี้จะอยู่ บนโลกใบนี้ได้!
“ท่านอาจารย์ ท่านออกมาเถอะเจ้าค่ะ!” หมิงเวยตะโกนน้ำตาไหลอาบหน้า
“ท่านมาแล้วใช่หรือไม่ หากไม่ใช่ก็ช่วยออกมาให้ข้ายอมแพ้ด้วยเถอะ”
เสียงผ่อนลมหายใจที่ยาวอากาศที่วุ่นวายก็หยุดลงทันที
หมิงเวยรู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้อยู่ที่ใดนางเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นว่าบนเนินเขาที่สูงขึ้นเล็กน้อยมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่เพียงลำพังชายเสื้อของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม
เงานั้น รูปร่างนั้น…
“อาจารย์!”
……………
[1] ปลาตายตาข่ายขาด : ต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง