คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 601 ไม่อนุญาต
ห้าปีแล้ว…ตั้งแต่อาจารย์จากไป นางวิ่งเต้นทำตามความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ นางจึงเดินทางไปที่เขาหมางซานเพื่อค้นหาโอกาสสุดท้าย อาศัยวิชาสวรรค์ย้อนเวลากลับมาสู่ยุคสมัยนี้เพื่อทำความรู้จักกับคนเหล่านี้ทำเรื่องเหล่านี้
ซึ่งเป็นเวลาห้าปีเต็ม บางครั้งก็มองย้อนกลับไปความทรงจำเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะห่างกันไปชั่วชีวิต
บางครั้งนางรู้สึกว่าตนเองจำไม่ได้ว่าอาจารย์หน้าตาเป็นอย่างไร แต่เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น ความทรงจำทั้งหมดของนางก็กลับมา
“ท่านอาจารย์…” นางพึมพำทั้งน้ำตานองหน้า นางเดินโซซัดโซเซไปที่เนินเขาโดยไม่สนใจก้อนหินรกๆ ใต้ฝ่าเท้าของตน
นางมีอะไรมากมายที่จะพูดกับเขา อยากถามเขาว่าเหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ เขากลับมาในยุคนี้เหมือนกับนางหรือไม่ อยากบอกเขาว่าห้าปีที่แล้วนางทำอะไรมาบ้าง และให้เขารู้ว่านางคิดถึงเขาแค่ไหน...
“ท่านอาจารย์!”
ในที่สุดนางก็คว้าแขนเสื้อของเขาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความชื่นชม และเคารพเช่นเดียวกับตอนที่ตนยังเป็นเด็ก ท่านอาจารย์จริงๆ ใช่หรือไม่
นางไม่ได้จำผิดใช่หรือไม่ แต่แล้วเสียงตะโกนด้วยความหวาดกลัวของจี้เสียวอู่ก็ดังขึ้นข้างหู “น้องหญิง อย่า!”
……………
อาหว่านที่เข้าใจเคล็ดวิชาในเบื้องต้น และจี้เสียวอู่ที่เปลี่ยนแปลงตนเองไปเยอะจนไม่สามารถเอาเรื่องในอดีตมาเปรียบเทียบได้ ชี่จากบริเวณโดยรอบนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาสับสน และการไล่ตามก็เป็นไปได้เร็วกว่าเผ่าหูมาก
อาหว่านเห็นสิ่งผิดปกติก็ร้องเรียก แต่หมิงเวยไม่ตอบสนองเลย
จี้เสียวอู่พูด “น้องหญิงไม่ได้ยินเคล็ดวิชาของอีกฝ่ายเก่งกว่าพวกเรามาก”
อาหว่านเข้าใจ “หากไม่เก่งกาจจะกล้าต่อกรกับนางได้อย่างไร”
จี้เสียวอู่เหลือบมองนาง
“ท่านมองอะไรเจ้าคะ” อาหว่านมองกลับด้วยความงุนงง
จี้เสียวอู่เกาหัว “ตัวฝูบอกว่าท่านเกลียดน้องหญิงมาก แต่ดูไม่เหมือนเป็นเช่นนั้นเลย!”
“ไม่เหมือนตรงไหนกัน ข้าเกลียดนางจริงๆ เจ้าค่ะ!”
“แต่คำพูดเมื่อครู่ ไม่ใช่ว่ายอมรับว่าน้องหญิงเก่งกาจหรอกหรือ”
อาหว่านเงียบไม่พูดอะไร
“เฮ้อ พวกสตรีนี่ซับซ้อนจริงๆ” จี้เสียวอู่พูด “น้องหญิงมักไม่พูดความจริง ท่านเองก็ปากไม่ตรงกับใจคงมีแค่เด็กโง่อย่างตัวฝูเท่านั้นที่พูดออกไปตามตรง”
อาหว่านไม่ได้โกรธ แต่กลับมองเขาอย่างเห็นใจ “ดูเหมือนท่านจะถูกหลอกบ่อยนะเจ้าคะ”
จี้เสียวอู่ไม่พอใจ “หึ!”
“นางหยุดลงแล้วเจ้าค่ะ!” อาหว่านดีใจมาก และคิดจะวิ่งเข้าไปหา
จี้เสียวอู่รั้งนางไว้ “อย่าเข้าไป”
“ทำไมกันเจ้าคะ”
“ตรงนั้นอันตรายมาก” จี้เสียวอู่หรี่ตา และสังเกตอย่างระมัดระวัง “อีกฝ่ายตั้งค่ายกล หยินหยางเปลี่ยนแปลง จิตสังหารรุนแรง ด้วยความสามารถของพวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“แล้วเราทำได้เพียงต้องรองั้นหรือเจ้าคะ”
จี้เสียวอู่รู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย “น้องหญิงน่าจะจัดการได้นางเก่งกาจเช่นนั้น…”
หมิงเวยหยุดลงแล้วเริ่มเป่าขลุ่ย ขลุ่ยสองเลาต่อกรกัน พอฟังไปจี้เสียวอู่ยิ่งรู้สึกไม่ดี “อารมณ์ของน้องหญิงแปรปรวน ถูกอีกฝ่ายปั่นป่วนอย่างสมบูรณ์เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลายปีที่รู้จักกันมาจี้เสียวอู่ไม่เคยเห็นหมิงเวยดูทุกข์ทรมานมาก่อน อาหว่านก็เช่นกัน ไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ดูง่ายดายเสมอสำหรับหมิงเวย แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นว่าเสียงขลุ่ยของหมิงเวยพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มให้ฝ่ายตรงข้ามควบคุมสถานการณ์อย่างสมบูรณ์
พวกเขาเห็นว่านางหยุดเป่าแล้วตะโกนไปรอบๆ
จี้เสียวอู่ตกตะลึงด้วยความไม่อยากเชื่อ “ท่านอาจารย์งั้นหรือ…ท่านรู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของนางเป็นผู้ใด”
อาหว่านส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินเลยเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่รู้จักหมิงเวยมานางเป็นคนเก่งกาจมาก อาหว่านเองก็เคยถามด้วยความอยากรู้ แต่ก็ถูกหมิงเวยหลอกตลอด
จี้เสียวอู่ยิ่งดูยิ่งเลิกคิ้ว “ข้ารู้สึกว่านี่มันไม่ถูกต้อง หากเป็นอาจารย์ของนางจริงๆ เหตุใดจิตสังหารโดยรอบถึงได้รุนแรงเช่นนี้อีกฝ่ายมีเจตนาสังหารนางอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นพวกเราต้องรีบไปหยุดเขา!”
ทันทีหลังจากนั้นพวกเขาเห็นหมิงเวยเอื้อมมือไปคว้าแขนเสื้อของชายคนนั้น พวกเขาอยู่ใกล้กันมากจี้เสียวอู่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแขนเสื้อของชายผู้นั้นสั่นไหว
ท่าไม่ดีแล้ว!
“น้องหญิง! อย่า!”
อย่าเข้ามา! มันอันตราย! แต่มันก็สายเกินไป
หมิงเวยหันมามองพวกเขา แต่ฝ่ามือนั้นก็ตบลงที่ตัวของนางเสียแล้ว
พวกเขาเห็นว่าร่างของนางลอยขึ้นสูงแล้วก็ตกลงมาอย่างแรงโดยที่ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะ
“น้องหญิง!” จี้เสียวอู่ใจหายวาบเขาไม่สนใจเรื่องอันตรายแล้วรีบวิ่งไปที่เนินเขา
อาหว่านวิ่งตามมาติดๆ ชายคนนั้นเหลือบมองพวกเขาอย่างเฉยเมย เขาหันขลุ่ยในมือกลับไปกลับมา และบรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปในทันใด
“บูม…” เกิดเสียงดังขึ้นพร้อมกับร่างของอาหว่าน และจี้เสียวอู่ที่ถูกโยนออกไป หัวใจสั่นไหว เลือดสูบฉีดพลุ่งพล่านแค่การเผชิญหน้าครั้งเดียวพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เก่งกาจมาก…
จุดที่จี้เสียวอู่ล้มลงนั้นอยู่ใกล้กับหมิงเวยเขาอาเจียนเป็นเลือดหลายครั้ง และพยายามดิ้นรนเพื่อดูสภาพของนาง
“น้องหญิงๆ!” หมิงเวยถูกโจมตีอย่างแรง และหมดสติไป
เสียงฝีเท้าดังขึ้น จี้เสียวอู่ตกใจเขาพยายามพาตัวเองไปอยู่ขวางหน้าหมิงเวย และเงยหน้ามองคนผู้นั้น
แสงสลัวเกินกว่าจะมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้ชัดเจน จี้เสียวอู่รู้สึกว่ารัศมีของเขาแข็งแกร่งมาก กลิ่นอายความโดดเดี่ยวของเขาคล้ายกับหนิงซิว
“ท่านเป็นผู้ใด คิดจะทำอะไร” จี้เสียวอู่ราวกับแม่ไก่หวงลูก สายตามองศัตรูตรงหน้าด้วยความประหม่า เขากลืนเลือดลงคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หากข้ายังอยู่ท่านอย่าคิดทำร้ายน้องหญิง! ข้าจะสู้กับท่านเอง!”
อีกฝ่ายมองเงียบๆ อยู่พักหนึ่งก็แค่นหัวเราะราวกับต้องการจะเยาะเย้ยเขายกขลุ่ยเซียวขึ้นอีกครั้ง…
จี้เสียวอู่รีบวิ่งเข้าไปบังหมิงเวย ชี่โดยรอบม้วนตัว และกระแทกเขาอย่างแรง
เขาล้มลง “ห้ามแตะต้องน้องสาว…ของข้า…” ก่อนจะหมดสติเขาเปล่งคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก
อาหว่านที่เมื่อครู่ถูกเหวี่ยงออกไป นางชาไปทั้งศีรษะหลังจากฟื้นตัวได้เล็กน้อยก็ถูกโจมตีอีกครั้ง ชี่ในร่างกายปั่นป่วนกำลังภายในหายไปอย่างสมบูรณ์
จบแล้ว…นางรู้สึกหนาวเหน็บในใจ
ทั้งสามสูญเสียความสามารถในการป้องกันก็จะถูกผู้อื่นฆ่าตายมิใช่หรือ หรือว่าชีวิตจะต้องจบลงที่นี่ในวันนี้ เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง และชายคนนั้นก็หยุดอยู่ข้างๆ นาง
อาหว่านรู้สึกหมดหวัง เมื่อนางคิดว่าตนเองกำลังจะตายนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากไป อาหว่านรีบหันไปมองเห็นเพียงแผ่นหลังที่ลอยออกไป
เมื่อร่างของเขาหายลับตาไปร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของอาหว่านก็ล้มลง
รอดชีวิตแล้ว
นางหยิบเม็ดยาออกจากอกเสื้ออย่างยากลำบากจากนั้นก็ยัดเข้าปาก เมื่อร่างกายได้รับการฟื้นฟูขึ้นเล็กน้อยจนเริ่มมีเรี่ยวแรง นางจึงลุกขึ้นไปดูพวกเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง อาการบาดเจ็บภายในของจี้เสียวอู่นั้นร้ายแรงมากส่วนหมิงเวยก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก
นางป้อนยาให้คนละเม็ดจากนั้นก็ผลักหมิงเวยเบาๆ “แม่นางหมิงๆ”
ด้วยเสียงเรียกของนางหมิงเวยค่อยๆ ลืมตาขึ้น
อาหว่านถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ท่านมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว รอเดี๋ยว…ข้าจะไปเรียกคน…”
ยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ก็ถูกผลักลงไปในหลุมที่อยู่ไม่ไกล อาหว่านแปลกใจในขณะที่กำลังจะพูดจี้เสียวอู่ก็ถูกผลักลงมาเช่นกัน
นางได้ยินเสียงอ่อนแรงของหมิงเวย “มีคนมาไม่รู้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู พวกท่านซ่อนตัวก่อน”
อาหว่านโผล่หัวออกมาจากหลุมภายใต้แสงจันทร์นางเห็นกลุ่มคนที่วิ่งมาทางนี้ด้วยท่าทีดุดัน
…………