คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 68 ไม่มีประโยชน์
ซินแสเนตรหยินหยางรู้สึกประหลาดใจ เขาเหลือบมองนายท่านสอง แล้วก็เห็นว่าใบหน้าของเขาเขียวคล้ำ
“ผู้ใดเป็นคนเตรียมเชือกมา” นายท่านสองพยายามระงับความโกรธของตน
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ผู้ใดที่กล้าประมาทกัน!”
คนรับใช้ชายที่เตรียมเชือกมารีบร้องขอความเมตตา “เป็นความผิดของข้าน้อยเองขอรับ! โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”
นายท่านสองจ้องมอง “เจ้ายังจะนิ่งอยู่อีก ไปเอาเชือกมาใหม่!”
“ขอรับ” เชือกเส้นใหม่ถูกนำเข้ามา คนรับใช้ชายหลายคนช่วยกันพลางสงสัยว่าโลงศพไม้ทั้งหนาและหนัก มีโครงที่ใช้สำหรับยกอยู่แล้ว เพียงแค่สอดไม้เข้าไปแล้วยึดเข้าด้วยกันเพียงเท่านี้ก็สามารถยกขึ้นได้แล้ว จากนั้นก็ผูกด้วยเชือกเพื่อให้มั่นคงยิ่งขึ้น
และถึงแม้เชือกจะขาด แต่ก็แค่เอียงนิดหน่อยเท่านั้น เหมือนว่ามันรับแรงไม่สม่ำเสมอกัน จากเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ดูเหมือนพวกเขาจะทุบโลงศพก่อนแล้วเชือกถึงได้ขาดออก…
แต่พวกเขาไม่กล้าพูดอันใดออกไป ได้แต่หวังว่าจะไม่มีอันใดเกิดขึ้นอีก ขอให้โลงศพถูกส่งขึ้นไปบนภูเขาอย่างราบรื่นก็พอ
ใช้เชือกมัดอีกครั้งแล้วทั้งแปดคนก็ช่วยกันออกแรง…
โลงศพไม่ขยับ ทั้งแปดคนสบตากันแล้วออกแรง
“ฮึบ!” ก็ยังไม่ขยับ
ออกแรงครั้งที่สาม…ก็ยังไม่สามารถยกขึ้นได้ ดูเหมือนว่าโลงศพจะหยั่งรากลึกจนไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้เลย!
นายท่านสองโกรธมาก “เกิดอันใดขึ้นไม่ได้ทานข้าวกันมารึอย่างไร!” ไม่ว่าทั้งแปดคนจะยกอย่างไรโลงศพก็ไม่ขยับ
หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “นายท่าน ข้าน้อยว่ามีบางอย่างผิดปกติ! ยกไม่ขึ้นเลยขอรับ”
ทันทีที่เขาพูดจบเขาก็ถูกนายท่านสองตัดบท “เจ้าพูดอันใดออกมา”
นี่มันพิธีศพ! ต่อให้มีเรื่องผิดปกติอันใดก็ไม่ควรพูดออกมา! คนรับใช้ชายผู้โง่เขลาคนนั้นยังย้ำกับเขาอีกว่า “นายท่าน ยกไม่ขึ้นจริงๆ ขอรับ หากนายท่านไม่เชื่อ นายท่านลองยกดูได้ขอรับ”
นายท่านสองโกรธ! จะให้เขายกโลง บ้าไปแล้วหรือ ไม่มีสมองหรืออย่างไรกัน
“ยกอีกครั้ง! ยกอีก!” ทั้งแปดคนช่วยกันยกอีกครั้ง แต่ก็ยังไร้ผล
นายท่านสองหันไปมองซินแสเนตรหยินหยาง “เกิดอันใดขึ้น”
ซินแสเนตรหยินหยางก็ตกตะลึงเช่นกัน
เขาใช้ยันต์ติดไปแล้วเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้อยู่อีก ความไม่เป็นธรรมที่ฮูหยินสามได้รับมันหนักหนาเพียงนั้นเชียวหรือ นางถึงไม่ยอมไปเช่นนี้
“นายท่านอย่าเพิ่งกริ้วไปขอรับ ข้าขอลองอีกครั้ง ขอลองอีกครั้ง…” แล้วเขาก็ลองใหม่อีกครั้ง
ที่มุมห้อง อาหว่านก้าวถอยหลังอย่างเงียบๆ นิ้วของนางเกี่ยวแขนเสื้อตัวเองแน่น เมื่อสักครู่ซินแสเนตรหยินหยางทำพิธีเสร็จ เหล่าผีพวกนั้นถูกผลักออกจากโลงไม้จึงสามารถปิดฝาโลงได้
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีควันจางๆ ลอยมาจากด้านนอกอีก
ควันในครั้งนี้ดูใหญ่กว่าครั้งก่อนพอลอยไปถึงด้านบนของโลงศพก็กลายร่างเป็นวิญญาณเด็กทารกผิวขาวตัวอ้วน มันก้มหัวลงแล้วเข้าไปในโลงศพ จากนั้นเชือกจึงขาด!
ตอนนี้อาหว่านเห็นว่ามันยังนั่งอยู่บนโลงในมือถือสิ่งที่มีลักษณะคล้ายไข่ไก่เอาไว้แล้วค่อยๆ กินอย่างช้าๆ…
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันหรือไม่ แต่วิญญาณที่ถูกขับไล่ออกไปเมื่อสักครู่ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเต็มโลงศพ
ในตอนนี้เด็กรับใช้ทั้งแปดนายไม่สามารถยกมันได้อีกต่อไป!
อาหว่านก้มตัวลงมองหมิงเวย นางยืดตัวขึ้น และมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้างงงวย
อาหว่านแอบเบะปาก นางเล่นละครได้เหมือนจริงมาก!
ซินแสเนตรหยินหยางลองใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผลวิญญาณทารกนั่งบนโลงศพอย่างมั่นคง และไม่สนใจสิ่งใด เหล่าผีโดยรอบเองก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เช่นกัน
ภายใต้การจ้องมองของนายท่านสองทำเอาซินแสเนตรหยินหยางถึงกับเหงื่อตก แล้วลูกศิษย์ก็กระซิบบอกเขาว่า “ท่านอาจารย์ที่นี่เย็นมากเลยขอรับ!”
ไร้สาระ! ในที่นี้เขามีทักษะยอดเยี่ยมที่สุดควรจะรู้สึกได้มิใช่หรือ บรรยากาศรอบๆ มีลมพัดเย็น ราวกับว่ามีลมพัดแรงเข้ามา
นี่มันคือการตื่นขึ้นหลังความตาย!
ใจของซินแสเนตรหยินหยางเย็นเยียบ เขารู้สึกได้ว่างานนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือเสียแล้ว เคยได้ยินว่าฮูหยินสามเสียชีวิตด้วยความไม่เป็นธรรม นางคงไม่ไปอย่างสงบสุขอย่างแน่นอน
แต่เขาดันอยากได้ค่าตอบแทนสูงจากตระกูลหมิงจึงตอบรับไป
ถ้าหากพิธีศพของฮูหยินสามไม่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ชื่อเสียงของเขาที่สั่งสมมาหลายปีคงได้พังลงเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าสายตาของนายท่านสองดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาจึงไร้ความปรานีแล้วตะโกนสั่งลูกศิษย์ “เจ้าไปเอามีดมา!”
ซินแสเนตรหยินหยางรับมีดมาแล้วกรีดที่ข้อมือของตน เลือดไหลลงชามได้ครึ่งหนึ่ง เขาก็เริ่มพิธีใหม่อีกครั้งจากนั้นใช้มือสองนิ้วจิ้มเข้าไปในชามแล้วใช้เลือดวาดยันต์บนโลงศพ
หลังเขียนยันต์ด้วยเลือดเสร็จเด็กรับใช้ทั้งแปดพยายามยกโลงขึ้นมาอีกครั้ง…
“ตึง!” เชือกขาดอีกครั้ง
คราวนี้ก็ไม่ได้ผล อยู่ๆ ตะปูที่เพิ่งตอกลงไปจู่ๆ ก็สั่นขึ้นมา!
นั่นเป็นตะปูที่ตอกโลงศพ!
เกิดความเงียบชั่วขณะแล้วก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ลูกศิษย์ของซินแสเนตรหยินหยางร้องตะโกนขึ้นมาว่า “ผี!” แล้วเขาก็หันหลังวิ่งออกไป ซึ่งไม่มีผู้ใดจับเขาได้ทัน
……………
พิธีศพของฮูหยินสามในวันนี้มีคนมารอส่งอยู่ไม่น้อย
ไม่ใช่เพียงแค่ญาติและมิตรสหายเท่านั้น ยังมีคนที่รู้จักเพียงผิวเผินรวมไปถึงคนที่ไม่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกัน พวกเขาล้วนมากันหมด แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ตระกูลหมิง แต่มาเพราะเรื่องข่าวลือที่ละเอียดอ่อนนั่น
เรื่องเมื่อวานนี้ผู้ที่เห็นเหตุการณ์มีมากมายเพียงนั้น ตอนนี้ไม่มีผู้ใดในตงหนิงที่ไม่รู้ว่าฮูหยินสามถูกน้องเขยข่มเหงจนตาย
นั่นเป็นเพราะนายท่านสองสารภาพด้วยตนเอง!
เรื่องที่มีความเป็นส่วนตัวเช่นนี้มักจะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเพื่อชมความตื่นเต้น พวกเขาต่างก็เดินทางมาโดยไม่จำเป็นต้องพูดอันใดพวกเขาก็เข้าใจกันดี
“เวิงฮูหยินใช่หรือไม่ ไม่ได้เห็นท่านออกมาเดินข้างนอกนานเลย” สตรีรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งเห็นฮูหยินนางหนึ่งนั่งอยู่ในเพิงสำหรับเข้าร่วมพิธีศพจึงหยุดพูดคุยด้วย
สตรีนางนั้นลุกขึ้น “ใช่ท่านย่าหลูหรือไม่! ไม่ได้เจอท่านนานแล้วจริงๆ ได้ยินว่าช่วงนี้สุขภาพของท่านไม่ค่อยจะดี พิธีศพเป็นงานที่ทำให้เหนื่อยได้ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่หรือ”
“นี่เป็นโอกาสที่หายากมิใช่หรือ” ทั้งสองมองหน้ากันและหัวเราะโดยปริยาย
ตระกูลหมิงเป็นที่รู้กันว่ามีประเพณีของครอบครัวที่สะอาดและเที่ยงธรรม เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นจะไม่กระตุ้นให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไรเล่า
น้องเขยลวนลามพี่สะใภ้ทำให้นางต้องจบชีวิตลง หึๆ…ตระกูลหมิงยังมีหน้าบอกว่าตนเองเป็นตระกูลที่สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามจากบรรพบุรุษอยู่อีกหรือ ช่างทำให้นายท่านหมิงเซียงน่าอับอายเสียจริง!
ทั้งสองคนเขยิบเข้าไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบกันเริ่มจากคุยเรื่องฮูหยินสามจนถึงเรื่องของนายท่านหกผู้เหลวไหลตามด้วยเรื่องเมื่อวานนี้
แต่ก็น่าแปลกปีนี้เป็นดวงตกของตระกูลหมิงหรืออย่างไร เกิดเรื่องเช่นนี้ก็ทำให้ขายหน้าพอแล้ว แต่ยังมาขุดพบโครงกระดูกในสวนของจวนตระกูลหมิงอีก
ได้ยินมาว่าเดือนก่อนคุณหนูเจ็ดพบผีเข้า คงมิใช่ว่าฮูหยินสามคิดฆ่าตัวตายด้วยเหตุนี้เช่นกันกระมัง
ไม่แน่ว่าอาจต้องฟ้องผีแทนคน…ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มพลบค่ำแล้วเวิงฮูหยินจึงพูดว่า “ได้เวลาจุดประทัดยกโลงแล้วไม่ใช่หรือ นานเพียงนี้แล้วเหตุใดยังไม่ออกมาอีก”
ได้ยินเช่นนั้นท่านย่าหลูเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน “จริงด้วย! ยกโลงใช้เวลาไม่นาน แต่นี่หายไปครึ่งชั่วยามแล้ว”
“หรือว่า…” ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่าตื่นเต้นหรือกลัวกันแน่
เจอผีงั้นหรือ…
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องแปลกๆ ดังออกมาจากห้องเซ่นไหว้ผู้ตายมีคนตะโกนร้องว่า “ผี!” แล้ววิ่งออกมาด้วยความตกใจ
เอ๋ เจอผีจริงๆ หรือ ศพฮูหยินสามกระตุกหรือเปล่า
เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากเหล่าแขกที่มาจึงไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด แต่กลับรวมตัวพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
“ผู้ที่ส่งเสียงร้องนั่นคือผู้ใดกัน”
“เป็นลูกศิษย์ของซินแสเนตรหยินหยาง! ท่านดูสิที่มือของเขายังถืออาวุธวิเศษอยู่เลย!”
“ลูกศิษย์ของซินแสเนตรหยินหยางตกใจได้เพียงนี้ ดูเหมือนว่าจะเจอผีเข้าจริงๆ เสียแล้ว”
“แน่นอนว่าเป็นการตายอย่างไม่เป็นธรรม นางคงไม่อยากหลับอย่างสงบหรอก!”
“แล้ววันนี้จะยังจัดพิธีศพได้อยู่อีกหรือไม่”
…………………………………………