คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 69 ไม่ขยับ
ลูกศิษย์ของซินแสเนตรหยินหยางวิ่งออกไป ส่วนหลายคนที่อยู่ด้านในดูเหมือนจะตัวแข็งแน่นิ่งกันไปหมดแล้ว
เรื่องพวกนี้หากไม่พูดมันออกมา หรือจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ก็ย่อมได้ แต่พอมีคนตะโกนออกมาเช่นนี้คงไม่สามารถแกล้งโง่ได้อีกต่อไป
ผี!
ไม่เพียงแค่ลูกศิษย์ แต่เด็กรับใช้ชายทั้งแปดคน และซินแสเนตรหยินหยางต่างตะโกนคำๆ นี้ในใจเช่นเดียวกัน
มีผีจริงๆ! จะทำอย่างไรกันดี หนีหรือ ผีก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัข ยิ่งวิ่งหนีมันก็ยิ่งตาม เด็กรับใช้ชายทั้งแปดคนตัวสั่น พวกเขามองไปยังนายท่านสอง
ซินแสเนตรหยินหยางมองไปที่โลงศพไม้ เขาไม่ได้มีเนตรหยินหยางอันใดหรอก แต่ที่เขาทำงานเช่นนี้ได้ เพราะตัวเขาอ่อนไหวกับสิ่งที่มีหยินชี่เป็นพิเศษ
เขารู้ว่ามีบางอย่างอยู่ในนั้น ในขณะที่พบทางตันไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี เขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ เป็นเสียงของหญิงสาว หรือว่าศพจะตื่นขึ้นมาจริงๆ!
ฮูหยินสามผู้ที่ทำร้ายท่านไม่ใช่ข้า ท่านอย่ามาหาข้าเลยนะ!
หลายคนในที่แห่งนี้ต่างคิดฟุ้งซ่านกันไปต่างๆนานา แต่ตอนนี้นายท่านสองกำลังโกรธเป็นอย่างมาก “ถอนหายใจอันใดกัน เจ้าตั้งใจจะทำให้ผู้คนแตกตื่นกันงั้นรึ”
หืม…ทุกคนหันไปมองก็เห็นว่าที่มุมห้องคุณหนูเจ็ดได้ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว
เสียงถอนหายใจเมื่อครู่เป็นของนางงั้นหรือ ยังดีๆ ค่อยโล่งใจหน่อย!
พวกเขารู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย และได้ยินคุณหนูเจ็ดพูดว่า “ท่านลุงสองอย่าเพิ่งโกรธ หลานเพียงแค่คิดว่าท่านแม่คงไม่อยากจากไป!”
ไม่อยากจากไป…คำๆ นี้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงลมเย็นๆ ที่ด้านหลัง
“หลานหมายความว่าอย่างไร” นายท่านสองถามเสียงเคร่งขรึม และมองไปที่โลงศพอย่างประหม่า
หมิงเวยถอนหายใจอีกครั้ง “ได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดกันว่า คนเราเมื่อตายไปแล้ว หากความปรารถนาของผู้ตายยังไม่บรรลุก็จะไม่ยอมถูกฝังดิน ท่านลุงสอง… ท่านแม่คงยังมีเรื่องที่ไม่สามารถปล่อยวางได้เป็นแน่เจ้าค่ะ”
ดวงตาของซินแสเนตรหยินหยางสว่างขึ้น เป็นเหตุผลที่ดี! นี่ไม่ใช่ความผิดของเขาอยู่เสียหน่อย!
“นายท่านสองขอรับเป็นอย่างที่คุณหนูพูดมาขอรับ หากคนตายไม่ยอมจากไป พวกเราก็ไม่สามารถบังคับนางได้ นี่เป็นคนในครอบครัวไม่ใช่วิญญาณร้าย ควรส่งนางไปอย่างสงบสุขนะขอรับ”
นายท่านสองมีสีหน้าไม่พอใจ “ตัวเจ้าไม่มีความสามารถเอง แต่กลับคุยโวโอ้อวดไปทั่ว คนตายไปแล้วสามวันยังไม่รู้อีกว่าตนเองตายแล้ว เกรงว่าหยินชี่ของศพจะดึงดูดพวกผีเร่ร่อนเข้ามาเสียมากกว่า!”
เพื่อชื่อเสียงของตนเองแล้วซินแสเนตรหยินหยางพยายามเถียงกลับไปด้วยเหตุผล “นายท่านสองก็เห็นแล้วมิใช่หรือ เห็นได้ชัดว่าครั้งแรกสามารถยกโลงขึ้นได้ แต่หลังจากนั้นกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเป็นเพราะฮูหยินสามไม่ยอมจากไป”
“เหตุใดฮูหยินสามถึงไม่ยอมจากไปเล่า” นายท่านสองถาม “อยู่ดีๆ เหตุใดฮูหยินสามถึงไม่ยอมจากไป งานจัดอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าสงฆ์จากวัดเป่าหลิงสวดศพให้ แม้แต่ฉีตงจวิ้นอ๋องยังเดินทางมาร่วมไว้อาลัยด้วยตนเอง พิธีศพยิ่งใหญ่มีหน้ามีตาถึงเพียงนี้เหตุใดนางถึงไม่ยอมจากไปกัน”
ซินแสเนตรหยินหยางตอบในใจ ก็เพราะผู้ที่ทำให้นางตายยังไม่ตายอย่างไรเล่า! สวดศพ ไว้อาลัย พิธียิ่งใหญ่มีหน้ามีตา แต่สำหรับคนตายแล้วมันไม่สำคัญเท่ากับความยุติธรรมไม่ใช่หรือ
แต่คำพูดนี้เขาไม่สามารถพูดออกไปได้…
“อาจเป็นเพราะฮูหยินสามไม่อาจปล่อยวางจากคนในครอบครัวได้ขอรับ” ซินแสเนตรหยินหยางยิ้ม
“คนในครอบครัวงั้นหรือ” นายท่านสองหันไปมองหมิงเวย
แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าซินแสเนตรหยินหยางปัดความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่น แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่คิดมากก็ไม่ได้
บางทีนางอาจจะเป็นห่วงบุตรสาวจนปล่อยวางไม่ได้ก็เป็นได้ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะนางรักบุตรสาวของนางเป็นอย่างมาก
“ถ้าเช่นนั้นควรทำอย่างไรดี” น้ำเสียงของนายท่านสองผ่อนคลายลง “ชีวิตกับความตายไม่สามารถอยู่บนเส้นทางเดียวกันได้ ถึงนางจะปล่อยวางไม่ได้แต่นางก็ต้องไป”
“เรื่องนี้…” ซินแสเนตรหยินหยางลังเล
นายท่านสองเห็นเช่นนั้นก็โกรธ “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามอย่างไรนางก็ต้องไปวันนี้! หากส่งนางไปไม่ได้เจ้าก็เตรียมเสียชื่อเสียงได้เลย!”
“นายท่านสอง!” ซินแสเนตรหยินหยางรู้สึกร้อนใจ
เพียงแต่มันไม่มีวิธีอื่นแล้วในเมื่อเขารับเงินมาแล้วอย่างไรก็ต้องทำตามนั้นให้ได้ ซินแสเนตรหยินหยางทำได้เพียงใช้ความคิดอย่างหนัก
ยันต์ก็ใช้ไปแล้ว เลือดก็เขียนไปแล้ว ยังจะทำอันใดได้อีก เหลือแต่ต้อง…เอาตนเองเป็นประกัน!
เขาพูดกับนายท่านสอง “ในเมื่อฮูหยินสามไม่ยอมจากไปให้ข้าน้อยลองคุยกับนางดูดีไหมขอรับ”
สีหน้าของนายท่านสองผ่อนคลายลงเล็กน้อย “อืม…”
ซินแสเนตรหยินหยางหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เดินไปนั่งลงที่หน้าโลงศพ แต้มเลือดที่เหลืออยู่ไปที่หว่างคิ้ว ฝ่ามือ และอวัยวะสำคัญอื่นๆ เพื่อผนึกหยางชี่ของเขา
เมื่อหยางชี่หยุดนิ่งทำให้ความรู้สึกแปลกๆ บนโลงศพนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้นซินแสเนตรหยินหยางเงยหน้าขึ้นหันไปทางโลงศพ และเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“ฮูหยินสาม ท่านมีความปรารถนาอันใดหรือ” นายท่านสองเห็นเขายิ้ม และพยักหน้าราวกับว่าเขากำลังฟังอยู่จริงๆ
นั่นทำให้เขารู้สึกกลัว แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
ที่เขากลัวก็คือกลัวว่าดวงวิญญาณของฮูหยินสามจะอยู่ที่นี่จริงๆ!
ที่เขาผ่อนคลายเพราะซินแสเนตรหยินหยางได้สนทนากับนางแล้ว แสดงว่าเรื่องนี้ก็สามารถแก้ไขได้เป็นอย่างดีใช่หรือไม่
เขาคิดฟุ้งซ่านอยู่สักพัก จากนั้นก็พบว่าซินแสเนตรหยินหยางไม่ได้ขยับตัวอยู่นานแล้ว เขาไม่แม้แต่จะพยักหน้าหรือพูดอันใดเลย
“เรียบร้อยดีหรือไม่” เขาถาม
พอไม่ได้รับการตอบสนองใดจากซินแสเขาก็รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย “เจ้าทำอันใดอยู่ เร็วเข้าสิเวลาจะสายแล้ว”
ซินแสเนตรหยินหยางเงยหน้าขึ้นช้าๆ…นายท่านสองรู้สึกหนาวที่แผ่นหลัง
“ฮิๆ…” ซินแสเนตรหยินหยางแสยะยิ้ม!
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “ผี!” ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมาเด็กรับใช้ทั้งแปดคนตะเกียกตะกายกันวิ่งออกไป!
นายท่านสอง “….”
ที่ด้านนอกฮูหยินสองไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากเท่าใดกว่าจะปลอบแขกให้สงบลงได้ แล้วจู่ๆ นางก็เห็นเด็กรับใช้ที่เข้าไปยกโลงศพวิ่งตะโกนออกมาจากห้องเซ่นไหว้ผู้ตายทีละคน
“ผีๆ!”
ดวงตาของฮูหยินสองนิ่งสนิทที่นางทำไปช่างเสียเปล่าจริง!
เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ พอจับเด็กรับใช้ทั้งแปดคนได้แล้วหมิงเฉิงที่ช่วยรับรองแขกผู้ชายอีกฝั่งหนึ่ง ถามคำถามสำคัญ “ท่านป้าสองแล้วท่านลุงสองล่ะขอรับ”
ฮูหยินสองตกใจแล้วหันไปทางห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย ลูกศิษย์ของซินแสเนตรหยินหยางวิ่งหนีออกมา เด็กรับใช้แปดคนที่เข้าไปยกโลงศพก็วิ่งหนีกันออกมาทั้งหมด หมายความว่านายท่านสองน่าจะยังอยู่ในนั้น…
เมื่อคิดได้อย่างนั้นจู่ๆ ทางฝั่งห้องเซ่นไหว้ผู้ตายก็เกิดความปั่นป่วนขึ้น
“ดูนั่น เจ้าดูนั่นเร็ว!”
“นั่นใช่นายท่านสองหรือเปล่า”
“นั่นซินแสเนตรหยินหยาง! เขาจับนายท่านสองทำไมกัน”
“ช่วยด้วย!” เสียงกรีดร้องที่เสียดแทงหัวใจดังขึ้น ฮูหยินสองเห็นซินแสเนตรหยินหยางลากนายท่านสองออกมาจากห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย
“ฮิๆๆ” ซินแสเนตรหยินหยางกระโดดไปมา และในมือของเขาก็ดึงผมของนายท่านสองอยู่!
“ท่านแม่!”
“มีผี!”
แขกทั้งหลายต่างวิ่งไปรอบๆ เสื้อผ้าฉีกขาด และรองเท้าหลุดออกนับไม่ถ้วน
ภายในห้องโถงอาหว่านหดตัวอยู่ด้านหลังหมิงเวย “พอใจท่านหรือยัง ท่านยังไม่ส่งพวกไปอีกหรือ”
“ส่งไปเพื่ออันใดกัน” หมิงเวยเช็ดขี้เถ้าจากพื้นดิน และตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่
“นั่นศพมารดาของท่านนะ!” อาหว่านตอบ “ท่านปล่อยให้…กลุ่มหนึ่งนั่งบนโลงศพของนาง ทำเช่นนี้ไม่ดูก้าวร้าวเกินไปหน่อยหรือ”
นางไม่กล้าพูดคำว่าผี…
“ดวงวิญญาณของท่านแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่เป็นอันใดหรอก” หมิงเวยพูดเบาๆ “ทิ้งไว้แบบนี้สักสองสามวัน เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมาลองใหม่อีก”
………..
ห้องเล็กในสวนอวี๋ฟางไฟยังคงสว่างอยู่ เจี่ยงเหวินเฟิงยังไม่กลับไป การตายของเกิงซานเต็มไปด้วยปริศนา ต้องมีสิ่งที่แปลกประหลาดในตระกูลหมิงเป็นแน่ เขาตั้งใจที่จะอยู่ที่นี่เพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมและค้นหาเบาะแสก่อน
จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงโกลาหลจากด้านนอกจึงถาม “เหลยหง เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
เหลยหงออกไปสอบถามสักพักก็กลับมารายงานว่า “วันนี้มีพิธีศพของฮูหยินสามขอรับเห็นว่าตอนยกโลงมีผีออกมาอาละวาด”
“ผีงั้นหรือ” เจี่ยงเหวินเฟิงขมวดคิ้ว
เหลยหงหัวเราะ “ต้องเป็นฝีมือของคุณหนูเจ็ดแน่ขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ทำให้งานในวันนี้ล่มก็ดีศพจะได้ยังอยู่สามารถพลิกคดีได้”
“ขอรับ” เหลยหงอดไม่ได้ที่จะประจบเอาใจ “ใต้เท้า ข้าน้อยเคยบอกว่าคุณหนูเจ็ดนางเก่งกาจมาก ท่านเชื่อข้าหรือยังขอรับ”
………………………………………….