คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 76 พลิกสถานการณ์
เจี่ยงเหวินเฟิงไปแล้ว เขาอาศัยเวลาพักกลางวันมาที่นี่จึงไม่สามารถอยู่ด้วยได้นาน อีกอย่างการสนทนาของพวกเขาทั้งสามคนจะให้ผู้อื่นเห็นไม่ได้เด็ดขาด
“วิธีของพวกท่านดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลย!” หมิงเวยตอบ
“หืม…” จิตใจของหยางชูยังจมปลักอยู่กับข้อสรุปที่เพิ่งสรุปกันไปเมื่อครู่
“จงใจทำตัวไม่ถูกกับใต้เท้าเจี่ยง และยังแอบปล่อยข่าวว่าตนเองได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท ฉีตงจวิ้นอ๋องเองก็ดูเหมือนไม่ได้ทำอันใดที่ดูไม่สมเหตุสมผลเลย”
หยางชูหัวเราะ “แผนการส่วนใหญ่ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง แต่เราไม่สามารถหยุดทำเพียงเพราะมันไร้ประโยชน์ได้ เพียงแต่ต้องรอโอกาสดีๆ แล้วแผนการที่ไร้ประโยชน์นั่นก็จะกลายเป็นประโยชน์ขึ้นมา”
หมิงเวยคิด “อย่างเช่นตระกูลหมิงงั้นหรือ”
“อย่างเช่นตระกูลหมิง”
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เอามือรองไว้ด้านหลังศีรษะ จากนั้นก็สนทนากับนางอย่างสบายๆ “การตายของเกิงซานสำหรับตระกูลหมิงแล้วควรผ่านไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ควรมีผู้ใดรู้เรื่องสกปรกนี้ของตระกูลหมิง แต่สิบปีหลังจากนั้นสถานการณ์ที่ไม่ตั้งใจก็ทำให้เรื่องแดงขึ้นมา”
หมิงเวยพยักหน้าเงียบๆ
สถานการณ์ที่พลิกโอกาสนี้หากมองโดยผิวเผินแล้วคือเหตุการณ์พบผีในครั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วคือการมาของหมิงเวย มีผู้ที่ต้องการที่จะสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในสวนอวี๋ฟาง และปีศาจร้ายนั้นทำให้คุณหนูเจ็ดตกใจกลัวจนตาย และทำให้นางได้ฟื้นคืนชีพในร่างนี้ได้
ดังนั้น ‘คุณหนูเจ็ด’ ที่ควรตายไปแล้วกลับมีชีวิตอยู่ ฮูหยินสามที่เดิมทีควรท้อใจกับการตายของคุณหนูเจ็ดจนมีโอกาสที่จะฆ่าตัวตาย ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดนี้
มันก็แค่แผนการของเทพเจ้า
“ถ้าอย่างนั้นเราควรทำอย่างไรต่อไปดี” หยางชูโบกพัดอย่างใจเย็น “มีวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด”
“คืออันใดหรือ”
“เข้าไปในจวนตระกูลหมิงแล้วตามหานายท่านสาม”
หมิงเวยเลิกคิ้ว หากทำตามแผนนี้การเข้าไปในจวนตระกูลหมิงเพื่อตามหานายท่านสามเป็นแผนที่ดี แต่หากหาไม่พบทุกสิ่งที่พวกเขาทำในตงหนิงนั้นก็จะถูกทำลาย
“น่าเสียดายที่พวกเราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้” หยางชูถอนหายใจ
พวกเขามาที่นี่ด้วยคำสั่งของฝ่าบาทจึงไม่สามารถทำอันใดตามอำเภอใจตนได้ จำเป็นต้องมีหลักฐานและเหตุผลเท่านั้นถึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้
หากต้องการค้นหานายท่านสามก็ต้องแน่ใจว่าเขาอยู่ในจวนตระกูลหมิง และต้องมีหลักฐานถึงจะสามารถจับกุมเขาได้ มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถจับกุมได้อย่างสมเหตุสมผลและถูกกฎหมาย
“ข้ามีสองคำถาม ไม่ทราบว่าคุณชายจะอนุญาตได้หรือไม่”
หยางชูพูดอย่างเฉื่อยชา “แม้แต่บันทึกลับของหวงเฉิงซือท่านก็ดูมาแล้ว แม่นางจะยังเกรงใจอันใดอีก”
พูดเช่นนี้ราวกับว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกันแล้วจริงๆ
หมิงเวยร้องเชอะในใจ แต่ก็ถามอย่างเป็นทางการออกไปว่า “คำถามแรก หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องเป็นกบฏจริงๆ หรือ”
“เกิงซานพบหลักฐานแล้ว” หยางชูยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
“มันไม่สมเหตุสมผลเลย! เมื่อสิบปีก่อนฝ่าบาททรงขึ้นครองบัลลังก์แล้ว อีกทั้งพระวรกายก็แข็งแรงดี ภายในมีขุนนางดีภายนอกมีแม่ทัพที่เก่งกาจ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการก่อกบฏ”
หยางชูยกถ้วยชาขึ้นและหัวเราะเบาๆ “หากพูดถึงอำนาจของฝ่าบาท ข้าขอถามท่านหน่อย คดีกบฏของรัชทายาทหลี่ในราชวงศ์ก่อนท่านรู้จักหรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้า
“รัชทายาทหลี่เป็นโอรสองค์โตของฮ่องเต้เซวียนจงในราชวงศ์ก่อน พระองค์ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทมาหลายปีโดยไม่มีข้อผิดพลาดประการใด แต่เพราะฮองเฮาโปรดปรานเสียนอ๋องมากกว่าจึงกล่าวตำหนิพระองค์ เพียงแค่ข่าวลือเพียงประโยคเดียวทำให้เขากลายเป็นกบฏ”
หยางชูถาม “ท่านคิดว่าการกบฏของเขามีเหตุผลหรือไม่เล่า” ไม่รอให้นางตอบ เขาก็พูดต่อไปว่า “ฮ่องเต้เซวียนจงมีอำนาจในการควบคุมราชสำนัก ในตอนนั้นการกบฏควรจะพ่ายแพ้ แต่ตรงกันข้ามเขายังอดทนต่อไปไม่สั่งให้คนค้นหาข้อผิดพลาดใด และแม้ต้องการจะปลดเขา แต่เหล่าอำมาตย์กลับไม่เห็นด้วย”
“เหตุใดเขาต้องทำเรื่องเช่นนั้นด้วย หรือมีแค่เหตุผลเดียวก็คือ กลัว”
เขาก้มหน้ามองถ้วยชา ซึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับไม่ใช่มนุษย์ “เมื่อขึ้นเป็นฮ๋องเต้ วงศาคณาญาติทั้งหก[1]ตัดขาด จิ้นอ๋องบิดาของเขาเสียชีวิตไปไม่นาน หลิ่วหยางจวิ้นอ๋องจะไม่กลัวได้อย่างไร ฝ่าบาททรงมีความเมตตาเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น และผู้ที่มีความเมตตาได้มานั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นก็สามารถฆ่าคนที่ไม่สามารถฆ่าได้”
หมิงเวยพยักหน้า คำถามข้อแรกถือว่าผ่านไป
“คำถามที่สอง ฉีตงจวิ้นอ๋องมีความคิดที่จะก่อกบฏจริงหรือ”
หยางชูหัวเราะ “จะมีหรือไม่มี โดยปกติแล้วจำเป็นต้องตรวจสอบก่อน ไม่เช่นนั้นพวกเราจะมาที่ตงหนิงทำไมกัน หวงเฉิงซือจะให้สายลับตายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้การตายของเกิงซานจึงเป็นเรื่องใหญ่ และการตายของเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สำคัญมาก”
หมิงเวยครุ่นคิด “เพราะว่าฉีตงจวิ้นอ๋องอยู่ที่ตงหนิง พวกท่านเลยกังวลเป็นพิเศษที่เกิงซานเสียชีวิตที่ตงหนิงใช่หรือไม่”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้”
พูดถึงเรื่องนี้หยางชูขมวดคิ้วพูดกับตัวเอง “หากว่านายท่านสามไม่ตายแล้วปีนั้นเขากลับมาที่ตงหนิงเพราะวางแผนแน่วแน่แล้วว่าจะขอพึ่งพาอาศัยฉีตงจวิ้นอ๋อง หากเขาต้องการได้รับความไว้วางใจจากฉีตงจวิ้นอ๋อง เขาก็ควรมีโถวหมิงจ้วง[2]ในมือ…”
“โถวหมิงจ้วง! ใช่แล้ว โถวหมิงจ้วง!”
จู่ๆ หยางชูก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเดินมาในห้อง เขาเคาะพัดกับฝ่ามือของตนเอง “เกิงซานต้องมาเพื่อเรื่องนี้แน่! สิ่งนี้สำคัญมากมันสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ฉีตงจวิ้นอ๋องได้ไม่น้อยเลย อาสวน!”
เขาตะโกนเรียกแล้วอาสวนก็ผลักประตูเข้ามา “ขอรับคุณชาย”
“ข้าต้องการเอกสารคดีกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋อง รีบเอามาเร็ว!”
“ขอรับ” อาสวนปิดประตู หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ผลักประตูเข้ามาอีกครั้ง
“ได้แล้วขอรับคุณชาย” มีเอกสารมากมายกองบนโต๊ะ หยางชูก็หยิบขึ้นมาหนึ่งเล่ม และพลิกดูอย่างรวดเร็ว
การอ่านของเขาแตกต่างจากผู้อื่น เขาถือเอกสารด้วยมือขวาใช้สามนิ้วประคองสันหนังสือ กดหน้าหนังสือด้วยนิ้วโป้ง นิ้วชี้อยู่ด้านบนแล้วพลิกหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นานเขาก็อ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบและหยิบเล่มต่อไป
หมิงเวยรู้สึกประหลาดใจ “เขาอ่านอะไรเร็วเช่นนี้”
อาสวนมองไปที่นางเห็นว่าคุณชายพลิกเอกสารอ่านโดยไม่ปิดบังนาง เขาจึงควรเชื่อใจนางให้มากขึ้นเลยตอบกลับไปว่า “คุณชายเกิดมามีดวงตาแตกต่างจากผู้อื่น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะไม่โดดเด่น แต่หากคุณชายเคยเห็นมาก่อนแล้ว เขาจะสามารถจดจำได้”
หมิงเวยคิดมันคือแค่ดูผ่านตาก็จำได้ไม่ลืมไม่ใช่หรือ ถึงแม้หนังสือเล่มนั้นจะหายาก แต่ก็สามารถฝึกได้ในภายหลัง
ดูเหมือนว่าอาสวนจะอ่านความคิดของนางออกจึงพูดเสริมไปว่า “ไม่ใช่เพียงแค่อ่านรวดเร็วธรรมดา แต่คุณชายยังสามารถแยกแยะรายละเอียดเล็กน้อยได้ ตัวอย่างเช่นน้ำชา หากมันถูกสับเปลี่ยนคุณชายแค่มองดูก็รู้แล้ว”
“อ้อ” หมิงเวยเข้าใจแล้ว
ไม่เพียงแค่ดูผ่านตาก็จำได้อยู่ในความจำ แต่เขายังสามารถแยกแยะได้อีกด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคืนนั้น ถึงเขาไม่ได้มองนางใกล้ๆ แต่ก็จำได้ว่าเป็นนาง
ความสามารถนี้ช่างน่าอิจฉาเสียจริงไม่เหมือนกับนางที่มองอย่างจริงจังอย่างไรก็จำไม่ได้เสียที…
“หาเจอแล้ว!” หยางชูพลิกกระดาษของหนังสือเล่มหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้คิดจะปกปิดนาง หมิงเวยจึงยื่นมือรับมาดู
“มีผู้รายงานว่าหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องซ่อนทหารเป็นการส่วนตัวและระดมทุนทางทหาร”
“ท่านหมายถึงนายท่านสามอาจจะรู้ความลับนี้” หมิงเวยคิดว่าตนเองต้องแก้ไขความประทับใจที่มีต่อท่านพ่อของตนเสียใหม่
นางเคยได้ยินผู้คนกล่าวถึงหลายครั้งว่านายท่านสามเมื่อครั้นยังมีชีวิตอยู่เขาทั้งฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถ กล่าวได้ว่าความหวังของตระกูลหมิงที่จะผงาดขึ้นมาอีกครั้งอยู่ที่ตัวเขา เพราะฉะนั้นการตายของเขาจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง
หมิงเวยยกย่องนายท่านสามเป็นคนเก่งมีความสามารถมาตลอด บางทีความฉลาดของเขาคงไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือเสียแล้ว
………………………………….
[1] วงศาคณาญาติทั้งหก : บิดา มารดา พี่ชาย น้องชาย ภรรยา บุตรชาย
[2] โถวหมิงจ้วง : หลักฐานแสดงความจงรักภักดี