คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 82 เกิงซาน
ยามดึก บนกำแพงสูงของจวนตระกูลหมิง มีร่างสองร่างพลิกตัวข้ามฝั่งมาด้วยความคล่องแคล่ว
“คุณชาย ทางนี้ขอรับ” อาสวนกดเสียงให้เบาลงแล้วเดินนำทางอย่างระมัดระวัง หยางชูมองไปที่สวนอวี๋ฟางในตอนกลางคืน และพึมพำ “ข้ามกำแพงมาพบหญิงงาม ช่างน่าอภิรมย์เสียจริง”
อาสวนไม่ได้ใส่ใจกับการพูดคุยกับตนเองของหยางชู เขาวิ่งไปข้างหน้าและในที่สุดก็เดินเข้าไปในเรือนเล็ก
“ก๊อกๆ!” เขาเคาะประตู จากนั้นประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว และผู้ที่ยืนอยู่ด้านในก็คืออาหว่าน
“อาสวน! คุณชายมาด้วยหรือไม่” นางถามเสียงเบา
อาสวนหลีกทางให้เผยให้เห็นหยางชูที่อยู่ด้านหลังเขา
“คุณชาย!”
“ชู่!” หยางชูทำท่าทางสั่งให้เงียบ “เข้าไปด้านในก่อนแล้วค่อยพูดกัน” พวกเขาพากันเดินเข้าไปในห้องแล้วประตูก็ถูกปิดลง
ห้องนี้คือห้องหลิวจิ่ง…หมิงเวยยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะบูชาเสวียนหนี่เหนียงเหนียง จุดธูปอย่างจริงจัง
ตัวฝูที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายตกใจที่เห็นบุรุษสองคนเดินเข้ามา
“ชู่!” อาหว่านพุ่งเข้ามาปิดปากนางเสียก่อน “เจ้าอย่าร้อง เขาคือคุณชายจากจวนที่ข้ารับใช้”
ตัวฝูกะพริบตาแล้วตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น นางรู้ที่มาของอาหว่านแล้วก็รู้ด้วยว่าคุณชายที่นางรับใช้อยู่เป็นคนเช่นไร
คุณชายหยางผู้นี้ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เขาแอบเข้ามาในเรือนของผู้อื่น หากมีผู้ใดรู้เข้าคุณหนูคง…
“ตัวฝู” หมิงเวยเปิดปากบอก “ข้าเรียกเขามาเอง”
เอ๋…อาหว่านปล่อยมือแล้วจ้องตัวฝู “เจ้าอย่าคิดไปไกล มันไม่ใช่เช่นนั้น!”
ตัวฝูกะพริบตาอีกครั้ง นางกำลัง…คิดเรื่องใดอยู่งั้นหรือ
หมิงเวยเดินไปด้านข้างเพื่อทำความสะอาดมือแล้วพูดสั่ง “พวกเจ้าสองคนตั้งเตรียมแท่นบูชา ทำอย่างไรคงไม่จำเป็นต้องสอนแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าทำได้!” อาหว่านรีบพูด “ตัวฝู เจ้ามานี่” หญิงสาวสองนางสร้างแท่นบูชาอย่างเรียบง่ายขึ้นอย่างรวดเร็ว
หยางชูแตะคาง “ท่านไม่ได้ต้องการปราบเกิงซานหรอกหรือ หรือว่าที่นี่…”
หมิงเวยยิ้ม “ไม่ใช่ที่นี่เจ้าค่ะ หรือท่านคิดว่าเป็นด้านนอก”
“วิญญาณของเกิงซานไม่ได้อยู่ที่ต้นหลิวทางด้านนั้นหรอกหรือ”
พอเขาพูดจบหมิงเวยก็ได้วางหยกแขวนไว้ตรงกลางแท่นบูชาแล้ว
“นี่คือ…”
“ข้าขอยืมมาจากใต้เท้าเจี่ยง” หมิงเวยพูดอย่างสบายๆ ไม่คิดอันใด
หยางชูร้อง “อ้อ” แล้วพูดว่า “ความสัมพันธ์ของพวกท่านไปได้ดีเสียจริง”
หมิงเวยเหลือบมองเขา “คำพูดนี้เหตุใดฟังดูแล้วมีรสเปรี้ยวไหลอยู่[1]”
หยางชูรีบพูดตามไปว่า “แน่นอน ข้ากำลังมีจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงใหลในตัวท่าน ได้ยินท่านพูดถึงชายอื่นเช่นนี้ ข้าจะไม่ปวดใจได้อย่างไรกัน”
หมิงเวยกระตุกยิ้มมุมปากตอนนี้นางขี้เกียจที่จะโต้ตอบเขาแล้ว คนผู้นี้ ตั้งแต่พบกันครั้งแรกล้วนมีแต่คำพูดโกหกมาโดยตลอด
“ฟังนะ…” อีกสี่คนที่เหลือในห้องเงียบเสียงลง
หมิงเวยพูดว่า “หลังจากที่ตายไปแล้วจะค่อยๆ มีการสูญเสียจิตในการรับรู้ เพราะฉะนั้นสติของเกิงซานจะไม่ปลอดโปร่งเหมือนเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้รับการเลี้ยงดูจนกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย ข้าสามารถเรียกเขาได้ แต่ไม่สามารถทำให้เขากลับคืนมาเหมือนดังเดิมได้ พวกท่านมีเวลาเพียงสั้นๆ ในการพูดคุยกับเขา อย่าใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์”
หยางชูพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
หมิงเวยนั่งลงด้านหลังแท่นบูชา และส่งสัญญาณให้ตัวฝูกับอาหว่าน “เริ่มกันเลย”
หญิงสาวทั้งสองยืนอยู่คนละด้านในมือของพวกนางมียันต์อยู่หนึ่งปีก พอหมิงเวยบอกเริ่ม พวกนางจึงหยิบมาไว้ในมือคนละใบ
พลังที่อัดแน่นกระตุ้นให้ยันต์พุ่งไปติดบนหยกแขวน
เมื่อเสร็จไปหนึ่งแผ่น พวกนางก็หยิบออกมาอีกหนึ่งแผ่นทำเช่นนี้ต่อไปไม่หยุด เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของหญิงสาวทั้งสอง แต่พวกนางยังใช้ยันต์ไม่หมดจึงไม่กล้าที่จะหยุด ตรงกันข้ามกับพวกนางหมิงเวยที่อยู่ด้านหลังแท่นบูชานั้นดูผ่อนคลาย นางทำเพียงแค่นั่งหลับตา
อาหว่านมองอยู่สักพักแล้วกระซิบ “คุณชาย ตกลงผู้ใดเป็นคนตั้งแท่นบูชากันแน่เจ้าคะ”
ผู้ที่จัดการคืออาหว่านกับตัวฝู ส่วนนางไม่เปลืองแรงอันใดเลย
หยางชูเหลือบมองแต่ไม่พูดอันใด ถึงแม้นางจะจงใจให้ทั้งสองคนทำแล้วอย่างไร ไม่มีผู้ใดเข้าใจอันใดอยู่แล้ว!
พลังที่ถูกกระตุ้นโดยยันต์รวมตัวกันบนหยกแขวนแล้วในที่สุดก็เกิดจิงชี่สายหนึ่งที่สามารถมองเห็นได้
หมิงเวยลืมตาขึ้นแล้วตวัดนิ้ว พลังเกิดความปั่นป่วน และเริ่มหมุนรอบหยกแขวน
“พวกเจ้าสองคน” นางพูด “ลืมตา!”
“เจ้าค่ะ!”
อาหว่านลากเบาะทรงกลมออกมา “คุณชายมาทางนี้เจ้าค่ะ”
ตัวฝูถือพู่กันชาด “ยื่นมือมาเจ้าค่ะ”
พู่กันชาดไม่ได้เปื้อนด้วยหมึกชาดธรรมดา แต่เป็นเลือด หยางชูได้กลิ่นนั้นก็พูดในใจยังดีที่ไม่ใช่เลือดคน
หว่างคิ้วและกลางฝ่ามือถูกแต้มด้วยเลือดเพื่อผนึกหยางชี่เอาไว้ อาหว่านดึงยันต์ออกมาอีกครั้งแล้วท่องคาถา จากนั้นก็ติดให้ทุกคนคนละหนึ่งใบ
ทุกคนรู้สึกถึงจิงชี่สายหนึ่งไหลเข้าร่างกาย และแล้วโลกที่พวกเขาเห็นก็เปลี่ยนไปทันที ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด ราวกับว่ามีเส้นที่บิดงอดูไม่ออกว่าเป็นเรื่องจริงหรือจินตนาการกันแน่
หยางชูจดจ่ออยู่กับหยกแขวน เขาเห็นพลังที่หมุนวนไปวนมา ทุกครั้งที่หมุน พลังจะนำเส้นสีดำสายหนึ่ง และค่อยๆ ก่อตัวราวกับเมฆดำ มันดูค่อยๆ ลึกขึ้นเรื่อย ๆ
“หวีด…” เสียงขลุ่ยต่ำดังขึ้นกระทบแก้วหูทีละนิด และแล้วในที่สุดพลังสีดำนั่นก็เหมือนกลั้นไว้ไม่อยู่และตกลงมา
หมิงเวยหยิบยันต์ขึ้นมา และโยนออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตูม…” เสียงดังขึ้นพร้อมยันต์ที่ถูกเผาทั้งๆ ที่ไม่มีไฟ เมื่อยันต์ถูกเผาจนหมด กลุ่มพลังราวกับเมฆดำก็หายไป และมีเงาว่างเปล่าปรากฏอยู่เหนือหยกแขวน
“เกิงซาน!” หยางชูร้องตะโกนเสียงเบา
แม้ว่ารูปลักษณ์ของคนผู้นี้จะยังคงคลุมเครืออยู่มาก แต่ก็สามารถระบุได้ว่าเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่
หมิงเวยพูด “ตอนนี้ข้าจะให้เขาเข้าสิง ท่านรีบใช้เวลานี้ถามคำถามสำคัญเร็วเข้า”
“ตกลง” หมิงเวยยื่นนิ้วออกมากดหยกแขวนเกิดประกายขึ้นในดวงตาของนางแล้วตะโกนเสียงเบาขึ้นมาว่า “เข้ามา!”
เงาที่ว่างเปล่ากลายเป็นควันไฟอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งเข้าสู่ร่างกายของนาง
ผ่านไปสิบลมหายใจหมิงเวยลืมตาขึ้นอีกครั้ง บุคลิกของนางในตอนนี้ต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
แววตาของนางมีความงงงวยอย่างที่วิญญาณเร่ร่อนทุกตนต้องมี
หยางชูชะงักเขาถามอย่างไม่แน่ใจ “ท่าน…เกิงซานหรือ”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขา ในความงุนงงนั้นเหมือนจะมีจิตสังหารแผ่ออกมา
“ท่าน…” นางเปิดปาก
หยางชูคิดพักหนึ่งก็หยิบป้ายคำสั่งที่สลักจากหยกออกมา และยื่นออกมาตรงหน้าเขา “เกิงซาน ยังไม่รับฟังคำสั่งอีก!”
เมื่อเห็นป้ายคำสั่ง ‘หมิงเวย’ ก็แสดงท่าทางเคารพเขาขึ้นมาในทันที “เกิงซานน้อมรับคำสั่งใต้เท้าขอรับ”
พอได้ยินคำพูดนี้หยางชูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เป็นเกิงซานจริงๆ ในที่สุดก็เรียกวิญญาณของเขาออกมาได้แล้ว!
“เกิงซาน ผู้ใดเป็นคนฆ่าท่าน”
“….”
“เกิงซาน ผู้ใดเป็นคนฆ่าท่าน”
พอทวนคำถามซ้ำในที่สุดเกิงซานก็เปิดปากออกมา “ดวงจันทร์…”
“ท่านว่าอันใดนะ”
“ดวงจันทร์…”
เขาตอบคำถามไม่ชัดเจนหยางชูนึกถึงที่หมิงเวยพูดก่อนหน้านี้ว่าเขาอาจสูญเสียจิตการรับรู้ เขาไม่กล้าปล่อยเวลาให้ล่าช้าไปนาน จึงถามคำถามที่สอง
“ท่านมาที่ตงหนิงเพื่อติดตามใครกัน”
“หมิง…หมิง…”
“ใช่หมิงเชินหรือไม่” หลังจากเงียบไปสักพักหยางชูก็รู้สึกประหม่าจนเหงื่อออก และในที่สุดก็ได้ยินคำว่า “ใช่…”
หมิงเชิน คือชื่อของนายท่านสาม หลังจากได้รับคำตอบนี้หัวใจของหยางชูถึงกับหล่นลงไป
เอาล่ะ เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าแนวทางการสืบหาของพวกเขานั้นถูกต้อง
เขาถามคำถามที่สาม “หมิงเชินมีหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับการก่อกบฏของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องอยู่ในมือใช่หรือไม่”
…………………………………………..
[1] มีรสเปรี้ยวไหลอยู่ : เปรียบเปรยว่าในใจมีแต่ความปวดร้าว(มีรสเปรี้ยวเหมือนมะนาว)