คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 87 ขโมย
ยามบ่ายที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สวนอวี๋ฟางดูงดงามแจ่มใส สาวใช้สองนางกำลังกวาดฝุ่นวัชพืชอย่างเกียจคร้าน
ก่อนหน้านี้มีผีออกอาละวาด ฮูหยินสามแขวนคอตาย ตามด้วยขุดพบโครงกระดูกในสวนอีก ในพิธีศพก็มีผีเข้าสิง…แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำเอาบรรยากาศในตระกูลหมิงซบเซาลง
ยามที่ผีออกอาละวาดสวนอวี๋ฟางที่แต่เดิมมีคนมากมายก็ต่างขอลาจากไป จนตอนนี้ดูรกร้าง ในขณะที่พวกนางกวาดฝุ่นอยู่ก็มีคนรีบเดินมาจนเกือบจะชนเข้า
“ระวังหน่อย!” คนผู้นั้นเอ่ย “นี่เป็นของที่คนสูงศักดิ์ยกให้ต่อให้ขายพวกเจ้าสองคนออกไปก็ชดเชยไม่ได้หรอกนะ!” พูดจบก็กอดกล่องอาหารในมือไว้แน่นอย่างหวงแหน และรีบเดินออกไปโดยไม่สนใจพวกนาง
“สิ่งที่อยู่ในกล่องอาหารนั่นไม่ใช่ของกินหรอกหรือ มีค่าเพียงใดกันเชียว ช่างขี้เหนียวเสียจริง!” สาวใช้นางหนึ่งหน้ามุ่ย
แต่อีกคนกำลังคิด “พี่ฟางเอ๋อร์ มีอันใดหรือ” สาวใช้อีกคนมีสีหน้างงงวย
สาวใช้ที่มีนามว่าฟางเอ๋อร์พูด “เสี่ยวเซียง เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ”
คำพูดที่กำกวมคลุมเครือนั่นเสี่ยวเซียงฟังแล้วรู้สึกสับสน “ได้ยินอันใดหรือ”
“คนสูงศักดิ์ที่มองคุณหนูอยู่…คงเป็นของที่คนผู้นั้นส่งมา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอาหาร แต่ต้องเป็นอาหารชั้นหนึ่งที่มีค่ามากแน่ๆ บางทีแค่ขายเราสองคนอาจจะเทียบไม่ได้เลยก็เป็นได้”
“โอ้” เสี่ยวเซียงเข้าใจแล้ว “พี่หมายถึงเจ้านายของแม่นางอาหว่านใช่หรือไม่”
“ใช่! ได้ยินว่าแม่นางอาหว่านอยู่ข้างกายคนสูงศักดิ์ผู้นั้นเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดเป็นที่ชอบพอของผู้มีอำนาจบารมี หากคุณหนูไม่มีความสำคัญจริงๆ จะส่งนางมาที่นี่ได้อย่างไร”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง!” เสี่ยวเซียงเข้าใจอย่างถ่องแท้
“ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แต่ข้าก็ยังคิดว่ามันแปลก คุณหนูไม่ใช่ว่าไม่มีคนบังคับกฎเกณฑ์หรือผู้ดูแลเสียหน่อย เหตุใดต้องส่งคนเข้ามาด้วยหากมองจากเรื่องนี้ คนสูงศักดิ์ผู้นั้นเอาใจใส่คุณหนูมากจริงๆ!”
ฟางเอ๋อร์ถอนหายใจนางรู้สึกเศร้าใจมาก “เอาใจใส่แล้วอย่างไร เหมือนการแต่งภรรยางั้นหรือ ฮูหยินก็จากไปแล้ว…ไม่รู้ว่าคุณหนูจะเป็นอย่างไรต่อไป”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็มีเสียงดุดังขึ้น “ผู้ใดใช้ให้พวกเจ้าสองคนเข้ามา จวนตระกูลหมิงไม่มีกฎหรืออย่างไร ไม่ใช่สาวใช้ที่รับใช้ใกล้ชิดแต่ก็ยังกล้าเข้ามา”
สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบ ๆ
สาวใช้ที่ดุพวกนางสองคนเมื่อครู่โค้งกายให้อาหว่าน “บ่าวรีบร้อนเองเจ้าค่ะ กลัวว่าอาหารที่คุณชายหยางส่งมาจะเย็นเสียก่อนก็เลย…”
“เจ้าเรียกคนมาส่งไม่ได้หรือ” อาหว่านขัดจังหวะนาง และโบกมืออย่างหมดความอดทน “ไปๆๆ คราวหน้าให้เปลี่ยนคนส่งด้วย!”
“เจ้าค่ะ….” สาวใช้ไม่กล้าพูดอันใดนอกจากก้มหน้าแล้วเดินถอยออกไป
ยามเดินจากไปก็มองฟางเอ๋อร์กับเสี่ยวเซียงด้วยท่าทางดุร้าย “พวกเจ้ามองอันใดกัน!”
เสี่ยวเซียงโกรธเคือง “แล้วเกี่ยวอันใดกับพวกเราด้วย ถูกผู้อื่นต่อว่าแต่มาลงที่พวกเรามันถูกต้องหรือ!”
“ผู้ใดให้พวกเราเป็นสาวใช้ล่ะ!” ฟางเอ๋อร์ไม่ได้โกรธนางมองเข้าไปในห้องแล้วเลิกคิ้ว “แม่นางอาหว่านผู้นั้นดูอารมณ์ไม่ค่อยดีไม่รู้ว่ากับคุณหนูเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่ น่ากังวลใจเสียจริง”
ภายในห้องหมิงเวยเพิ่งตื่นจากการงีบหลับยังไม่ทันได้จับผมก็หาวออกมาเสียก่อน
“เป็นอันใด เจ้าโกรธอันใดมางั้นหรือ”
อาหว่านมองไปที่ชามน้ำแกงปลาที่ยังอยู่ในกล่องอาหารแล้วหัวเราะเยาะ
“ข้าไม่ระวังเพียงแค่ครู่เดียวก็มีผู้เข้ามาลองของเสียแล้ว สุดยอดไปเลยใช่หรือไม่”
หมิงเวยพูดอย่างเกียจคร้าน “เจ้าเองก็สุดยอด เฝ้าประตูอย่างแน่นหนามาก”
ตอนแรกอาหว่านไม่รู้สึกอันใดเลย แต่เมื่อลองคิดดูอีกทีนางจึงถามออกไป “ที่ท่านกล่าวมาจะสื่อถึงอันใดกันเจ้าคะ”
เฝ้าประตูสุดยอดอย่างไรกัน
หมิงเวยโบกมือ “เจ้าเป็นแค่สตรีตัวเล็กผู้หนึ่งไม่จำเป็นต้องคิดเยอะเพียงนั้น ข้าแค่ชมเจ้า ไม่ต้องเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปหรอก”
“จริงหรือ” อาหว่านสงสัยมาก ตั้งแต่มาที่ตระกูลหมิง นางรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนขี้สงสัยเป็นพิเศษ คนผู้นี้มักจะพูดด้วยท่าทางจริงจังถึงคิดจะด่าคนก็ไม่มีทางรับรู้ได้หรอก
“คราวหน้าขอให้คุณชายของเจ้าอย่าส่งของมั่วมาละกัน” หมิงเวยรับน้ำล้างปากมาจากตัวฝู “หากเฝ้าทางนี้ทางนั้นก็ยังมีโอกาส”
“ท่านอย่ามาไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี! คุณชายทำถึงเพียงนี้ก็เพื่อให้พวกเขาเชื่อ คุณชายกำลังปกป้องท่านอยู่นะเจ้าคะ!”
“เสแสร้งน้อยๆ หน่อย” หมิงเวยพูดแทงใจนาง “เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเขาลงมือ แอบขโมยครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่สำเร็จนี่เป็นการบังคับให้พวกเขาเอาจริงมากขึ้น!”
อาหว่านมั่นใจ “บังคับให้พวกเขาเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงให้เร็วขึ้น พวกเราเองก็ประหยัดแรงด้วยไม่ใช่หรือ”
หมิงเวยพยักหน้าไปล้างหน้าไป “มีเหตุผล” คำพูดนี้ได้รับการยืนยันในเวลากลางคืน
อาหว่านตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังจากข้างนอก
นางสวมเสื้อคลุมแล้วไล่ตามออกไปแล้วก็เห็นเงาที่เคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็ว
นางหัวเราะเสียงเย็น “ความสามารถเพียงแค่นี้ยังกล้าเล่นต่อหน้ากู่หน่ายนาย[1]อีกนะ!”
พูดจบนางก็ยกเท้าขึ้นแล้วบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดอกไม้และต้นไม้มากมายในสวนอวี๋ฟางค่อนข้างขัดขวางการมองเห็นของนาง แต่ก็แค่ทำให้เสียเวลามากขึ้นก็เท่านั้น
อาหว่านเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงพุ่มดอกไม้ เล็งเป้าหมาย ยกแขนขึ้น แล้วก็มีลูกดอกพุ่งออกจากแขนเสื้อของนาง
“ฉึก!” เกิดเสียงดังขึ้นแล้วลูกดอกก็ตอกสิ่งๆ นั้นไว้กับต้นไม้
อาหว่านเดินไปรอบๆ พุ่มดอกไม้ พอเห็นสิ่งนั้นชัดเจนผ่านแสงจันทร์ก็ขมวดคิ้ว
เชือกฟาง! สิ่งที่นางไล่ล่ามานานกลับกลายเป็นเชือกฟาง!
มันคือแผนล่อเสือออกจากถ้ำ! อาหว่านดึงลูกดอกออกแล้วหมุนตัวกลับห้องไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางกลับไปก็เห็นว่าหน้าต่างเปิดกว้างออก อาหว่านเห็นแล้วแต่ก็ไม่รีบร้อน แต่พอเข้ามาในห้องก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชิ้นส่วนกลไกพังเสียหายกระจัดกระจายอยู่ใต้หน้าต่าง
นางแตะที่เอวอย่างไม่ลังเล ดึงใบมีดสั้นบางๆ ออกมาแล้วเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง เสียงที่ดังมาจากด้านในคือหัวขโมยผู้นั้นน่ะหรือ
ยังไม่ไปก็ดี! นางจับใบมีดสั้นไว้แน่น เล็งตำแหน่งและกำลังจะเริ่ม…
“อย่าขยับ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “ข้าเป็นสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งไม่มีวรยุทธ์แกร่งกล้าเท่าแม่นางอาหว่าน เพียงแค่มีดแทงครั้งเดียวข้าก็ล้มไปนอนกับพื้นแล้ว”
มือของอาหว่านหยุดอยู่ท่านั้น และมองดูหมิงเวยหาวอีกครั้ง
“ท่านไม่เป็นอันใดหรือ”
“แน่นอน เจ้าอยากให้ข้าเป็นงั้นหรือ”
อาหว่านโกรธ “ท่านไม่เป็นอันใดเหตุใดไม่รีบบอก! ข้าก็คิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับท่านเสียแล้ว!”
หมิงเวยนั่งลงรินชาให้ตนเอง “เจ้าคิดว่าข้าโง่ถึงเพียงนั้นจนฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่เจ้าหรือ”
ก่อนเข้านอนอาหว่านวางกลไกไว้เต็มรอบห้องนี้ เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ นางก็ไม่ร้อนใจแต่อย่างใด
หากสามารถแผนซ้อนแผนได้จับหัวขโมยนั่นได้จะดีกว่า
ผู้ใดจะรู้ว่าพอเข้ามาก็เห็นว่ากลไกถูกทำลายจนพัง นางถึงได้ร้อนใจ
“เกิดอันใดขึ้นเหตุใดกลไกถึงถูกทำลาย หัวขโมยล่ะเจ้าคะ”
หมิงเวยจิบชาหนึ่งคำแล้วลูบหัว การนอนหลับไม่เพียงพอนั้นน่ารำคาญมาก!
“ข้าเองก็ไม่รู้! พอเจ้าไล่ตามออกไป งูขาวก็มาบอกกับข้าว่าหัวขโมยตัวจริงมาแล้ว จากนั้นข้าก็ร้องเรียกคุณชาย…”
“….” อาหว่านจ้องนาง ใช้เวลานานก่อนที่จะพูดออกไปว่า “ท่านทำให้ชื่อเสียงคุณชายเสื่อมเสีย!”
หมิงเวยสั่งสอนอย่างจริงใจ “แม่นางอาหว่านจะกล่าวอันใดต้องรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วย! เจ้าตะโกนถึงเพียงนั้นผู้ที่เสื่อมเสียชื่อเสียงต้องเป็นข้าอยู่แล้วจะเป็นคุณชายของเจ้าได้อย่างไร”
“….”
อาหว่านโกรธมากจนพูดไม่ออก
หมิงเวยเห็นนางเป็นเช่นนี้จึงตัดสินใจไม่บอกนางว่าตนใช้ความสามารถเลียนเสียงตอบออกไป…
…………………………………
[1] กู่หน่ายนาย : เป็นคำที่บุคคลในครอบครัวของแม่เรียกลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้ว