คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 91 นัดแนะ
รอจนพ้นยามเฉิน[1] ตระกูลต่างๆ ได้รับการต้อนรับจากพระที่ได้รับหน้าที่ต้อนรับแขก จากนั้นก็สักการะพระพุทธองค์ ถวายอาหาร ทำบุญปล่อยสัตว์
โอกาสเช่นนี้จำเป็นต้องสนทนากัน พอจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินสองก็สั่งให้ชิวหยู่ไปเรียกหมิงเวย
หมิงเวยให้ซู่เจี๋ย และปิงซินดูแลแม่นมถงให้ดีๆ ส่วนตนก็พาตัวฝูและอาหว่านไปที่ห้องโถงใหญ่
วันนี้ทุกคนในตระกูลหมิงยกเว้นนายท่านหก และฮูหยินหกล้วนมารวมตัวกัน
เมื่อหมิงเวยเดินทางมาถึงนางก็เห็นนายท่านสี่เดินออกไปพร้อมกับหมิงเฉิง นางชะงักแล้วมองนายท่านสี่อย่างละเอียด
“เสี่ยวชี!” หมิงเฉิงเห็นนางไม่พูดอันใดจึงร้องเรียกเสียงเบา
หมิงเวยได้สติจึงย่อกายทำความเคารพ “ท่านอาสี่”
นายท่านสี่ตอบรับแล้วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลานเป็นคุณหนูในเรือน อีกทั้งยังอยู่ในช่วงแสดงความกตัญญู ในสถานที่สาธารณะการพบเจอกับชายอื่นทำให้ผู้อื่นมองมาไม่ดี”
หมิงเวยตอบรับอย่างเชื่อฟังและมีมารยาท นายท่านสี่เหลือบมองนางอีกครั้งและพาหมิงเฉิงเดินออกไป
หมิงเวยมองเขาเดินจากไปอยู่สักพักก็ถามขึ้นมาว่า “ตัวฝู ก่อนหน้านี้ข้าสอนสังเกตชี่ เจ้าดูออกหรือไม่”
ตัวฝูงุนงงเล็กน้อย “บ่าว บ่าวไม่รู้สึกอันใดเลยเจ้าค่ะ…”
อาหว่านได้ยินก็รีบถาม “ท่านสอนนางสังเกตชี่หรือ เหตุใดไม่สอนข้าบ้าง ท่านต้องการเท่าใด”
หมิงเวยหัวเราะไม่ตอบคำถามของนาง “พวกเราเข้าไปกันเถอะ!”
ภายในห้องโถงฮูหยินผู้เฒ่านั่งที่นั่งอันดับแรก ตามด้วยฮูหยินสอง และฮูหยินสี่ หมิงฮ่าว หมิงเซียง หมิงคุนก็อยู่ด้วย
หมิงเซียงดูเฉื่อยชา หมิงฮ่าวเองก็ดูไม่มีชีวิตชีวา เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในเรือนมากเกินไป พวกเด็กๆ จึงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเห็นว่าหมิงเวยมาถึงแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงพูดขึ้นว่า “มากันครบแล้วก็ไปกันเถอะ สายเพียงนี้แล้วพิธีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว” ทุกคนตอบรับแล้วตามฮูหยินผู้เฒ่าไปที่ห้องโถง
หมิงเวยเดินอยู่ข้างกายฮูหยินสอง ฮูหยินสองบอกให้ตนคารวะ ตนก็คารวะ ให้ตนเรียกคนตนก็เรียก นอกเหนือจากนี้นางไม่พูดอันใดออกมาแม้แต่ประโยคเดียว
ถึงอย่างนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่หมิงเวย อีกทั้งยังมีเสียงกระซิบกระซาบ ทำให้รู้สึกเหมือนมีหนามแหลมคมอยู่ด้านหลัง
หลังจากชมพิธีอย่างสงบมาโดยตลอด บริจาคน้ำมันงา และเงินเรียบร้อยแล้ว หมิงเวยก็บอกกับฮูหยินสอง
“หลานอยากไปไหว้สักการะหินเทพธิดา”
หินเทพธิดาเป็นทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงของเขาซิ่วเฟิง ว่ากันว่ามีเทวดาลงมาจุติเพื่อสยบอสูร สุดท้ายก็กลายเป็นหินเพื่อปราบปรามวิญญาณร้าย
วัดเป่าหลิงมีการตั้งศาลเจ้าตรงจุดนั้น และผู้คนมักเดินทางมาสักการะ เพียงแต่ทางเดินเขานั้นสูงชัน และค่อนข้างห่างไกล
ฮูหยินสองเลิกคิ้ว “ที่นั่นชันเกินไป หากหลานคิดจะอธิษฐานให้มารดาทำที่วัดก็ได้เหมือนกัน”
เรื่องที่เกิดขึ้นตรงทางเดินเขาทำไมฮูหยินสองจะไม่รู้กัน รถม้าของนางอยู่ด้านหน้าของหมิงเวย ภาพหยางชูหยุดคุยกับนางนั้นผู้คนต่างเห็นกันหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนในครอบครัวเลย
หมิงเวยตอบ “หลานตั้งจิตอธิษฐาน อยากสักการะพระพุทธองค์ คงไม่ดีหากพลาดที่นั่นไปเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองมองนางด้วยความผิดหวัง “หลานไม่ฟังคำแนะนำของป้าสองเลยหรือ”
หมิงเวยกล่าวขอโทษ “ท่านป้าสองดูแลหลานด้วยความรัก หลานขอบคุณท่านป้าจากใจ แต่หลานจำเป็นต้องไปที่นั่นเจ้าค่ะ”
หลายวันมานี้ฮูหยินสองไม่รู้ว่าตนทะเลาะกับนายท่านสองมากี่ครั้งแล้ว เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนมีน้ำใจให้อาหารสุนัข อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญ
“หากหลานอยากไปก็ไปเถอะ!” ฮูหยินสองรู้สึกท้อแท้ “แล้วอย่าเสียใจในภายหลังล่ะ”
หมิงเวยก้มหัวคำนับนาง “ขอบคุณท่านป้าสองที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็หันหลังกลับมาและเดินจากไปอย่างมั่นคง
ฮูหยินสองทั้งผิดหวังทั้งโกรธ นางพูดกับแม่นมหู “เหตุใดนางถึงไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี! ติดตามคุณชายหยางผู้นั้นมีอะไรดีกัน ข้าไม่อยากให้นางเป็นอนุ แต่นางกลับรีบไปเสียได้!”
แม่นมหูปลอบใจ “ความหลงในวัยเยาว์ คุณหนูเจ็ดยังเด็กนัก”
ฮูหยินสองยังโกรธอยู่ “หากเป็นเช่นนี้ มารดาของนางยังนอนอยู่ในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายอยู่เลย! พิธีศพมารดาเพิ่งจัดไปยังไม่ทันได้ฝังเลยด้วยซ้ำ แต่นางกลับรีบไปพบบุรุษ! แม่นม ท่านบอกข้าหน่อยที่ข้าพยายามอย่างหนักเพื่อนางไม่มีค่าอันใดเลยหรือ”
ฮูหยินสองโกรธจนน้ำตาไหล ทางด้านหมิงเวยก็เดินไปยังหินเทพธิดาอย่างช้าๆ
ทางเดินไปยังหินเทพธิดานั้นมีทางเดียวซึ่งเดินผ่านไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น เส้นทางก็คดเคี้ยว โชคดีที่ช่วงนี้นางออกกำลังกายร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น เมื่อเดินทางไปถึงจุดสูงสุด นางมีอาการหอบแค่เพียงเล็กน้อย
คนที่มาที่นี่มีน้อยนัก สายตาของหมิงเวยไม่วอกแวก จุดธูปกับตัวฝูอยู่หน้าศาลเจ้าทำอย่างละเอียดรอบคอบเหมือนว่ามาที่นี่เพื่อสักการะจริงๆ
รอพวกนางสักการะเสร็จที่แห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดแล้ว
“ได้ยินว่ามีปีศาจตัวใหญ่อยู่ภายใต้หินเทพธิดานี้ ท่านปรมาจารย์แห่งชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ ท่านคิดว่าตำนานนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เสียงดังมาจากถนนแคบๆ จากนั้นก็เห็นหยางชูเดินนำอาสวนขึ้นมา อาสวนถือร่มคันใหญ่แข็งแรงมาด้วย หมิงเวยเหลือบมองเขาอย่างเห็นใจ ทางเดินบนเขานั้นยากมากที่จะปีนขึ้นมา และยังต้องถือร่มอีก เป็นองครักษ์ผู้นี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ!
นางมองอย่างละเอียด “หินก้อนนี้ทับอยู่จึงมองไม่ออก ไม่ทราบว่าคุณชายหยางเคลื่อนย้ายมันออกไปได้หรือไม่”
หินเทพธิดาเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่าความสูงของคนหลายๆ คน น่าจะมีน้ำหนักหลายพันชั่ง แน่นอนว่าคำพูดนั้นเป็นแค่เรื่องล้อเล่น
หยางชูกลับตอบว่า “ไม่ใช่เรื่องยากข้าเรียกคนมาสักสามหรือห้าคน จุดดินปืน ใส่เชื้อปะทุเล็กน้อย…”
ทั้งสองคุยกันเรื่องไร้สาระเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดโผล่มาแล้วหยางชูก็ชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม “นั่นคือยอดเขาชุ่ยมู่”
“ท่านให้คนไปตรวจสอบหรือยัง”
หยางชูพยักหน้า “หากถามว่าในยอดเขาชุ่ยมู่ สถานที่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่สามารถซ่อนสิ่งของได้คงเป็นช่องเขาที่อยู่ใต้ยอดเขา แต่ช่องเขานั้นยาวมากคงยากที่จะหาเจอได้โดยง่าย”
“ช่องเขานั้นมีทางเข้ากี่ทาง”
“ทางเข้าหนึ่ง ทางออกหนึ่ง มีแค่สอง”
“ถ้าเช่นนั้นก็ง่ายเลย ให้คนปิดทางเข้าทั้งสองทาง พวกเขาคงไม่รู้ว่าพวกเราไปทำอันใด และคงทนไม่ไหวเป็นแน่”
“แล้วถ้าหากเราคาดเดาผิด…”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็โชคร้ายแล้ว!”
หยางชูเองก็ไม่ต้องการเสี่ยงมากนัก “หากพลาดโอกาสนี้การเปิดโปงพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องง่ายอีก”
หมิงเวยยิ้ม “ไม่…พวกเขาต้องทนไม่ไหวแน่นอน”
“เจ้ามั่นใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
หมิงเวยกระซิบ “เมื่อครู่ข้าพบนายท่านสี่”
“แล้วอย่างไร”
“เขาไม่ใช่นายท่านสี่ตัวจริง”
“…” หยางชูชะงักแล้วพูดว่า “ข้าต้องไปดู”
“ท่านมองออกหรือ” เขาหัวเราะด้วยความมั่นใจ “ดวงตาของข้า เหตุใดจะมองไม่ออกเล่า”
หมิงเวยเองก็มั่นใจมาก “ท่านเชื่อข้าเถอะถึงข้าจะจำหน้าคนไม่ค่อยได้ แต่เรื่องแยกแยะชี่ข้าไม่พลาดอย่างแน่นอน”
หยางชูคิด “เอาล่ะ หากที่ท่านพูดมาเป็นเรื่องจริง งั้นก็หมายความว่าเขาตั้งใจที่จะเคลื่อนไหวแล้ว”
“เขาเคลื่อนไหวแล้วซึ่งเป็นโอกาสของพวกเรา ท่านกล้าที่จะเดิมพันหรือไม่”
หยางชูคิดครู่หนึ่งแล้วกัดฟัน “ได้! งั้นไปเสี่ยงดวงกัน”
หมิงเวยยิ้มแล้วชี้ไปอีกด้านหนึ่ง “จากตรงนี้ไปอีกไม่กี่จั้ง[2]จะมีอีกทางหนึ่ง สามารถหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คนได้”
เขามองไปที่อาสวน และคนอื่นๆ แล้วถามว่า “เจ้าลงไปจัดการคนข้างล่างเถอะ เล่นละครให้เต็มที่ ออกมานัดพบก็ทำเป็นออกมานัดพบดีกว่าปล่อยให้พวกเขาอยู่ที่นี่”
หยางชูตอบ “อาสวนอยู่ที่นี่ไม่มีปัญหา ข้าดูแลตัวเองได้ แต่ท่าน…”
หมิงเวยเหลือบมองเขา “ท่านปกป้องข้าไม่ได้หรือ”
พูดเช่นนี้เขาจะยอมรับได้อย่างไร “หากท่านไม่กลัว ข้ายอมสละชีวิตเพื่อปกป้องสาวงามได้อยู่แล้ว!”
หมิงเวยเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “คุณชายหยาง ทำให้ได้อย่างที่พูดด้วยล่ะ!”
…………………………………..
[1] ยามเฉิน : เวลา 7 โมงถึง 9 โมงเช้า
[2] จั้ง : เป็นชื่อหน่วยวัดความยาวหน่วยหนึ่งในมาตราวัดของจีน โดยหน่วยความยาว ‘หนึ่งจั้ง’ จะหมายถึงความยาวประมาณ ‘สิบฟุต’ หรือประมาณ ‘3.3 เมตร’