คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 94 คำสารภาพ
จวนตระกูลหมิง เจ้านายออกไปข้างนอกกันหมด ในจวนจึงเงียบเป็นพิเศษ
ชายชราที่เฝ้าห้องเซ่นไหว้ผู้ตายหาวอยากจะงีบสักหน่อย
ทันใดนั้นดูเหมือนว่ามีเงาปรากฏขึ้นที่หางตาของเขา ชายชราจึงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
“นาย นายท่านสี่” ชายชราขยี้ตา
นายท่านสี่พยักหน้า ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์
ชายชราแอบแปลกใจไม่ใช่ว่าเจ้านายออกไปหมดทุกคนหรอกหรือ เหตุใดนายท่านสี่ถึงได้กลับมาเร็วเยี่ยงนี้
เมื่อเห็นนายท่านสี่ก้าวเข้ามาในห้องเซ่นไหว้ผู้ตาย ชายชราก็รีบเดินตามเข้าไป “นายท่านสี่ที่ท่านสั่งการไว้ ข้าน้อยเฝ้าอยู่ตลอด ไม่ยอมให้ผู้ใดมารบกวนฮูหยินสามแน่นอนขอรับ”
นายท่านสี่เลิกผ้าคลุมหนาขึ้น ไอเย็นๆ ลอยปะทะใบหน้าของเขา
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นฉุนของเครื่องเทศ เพื่อรักษาร่างของฮูหยินสามไว้ ห้องด้านหลังทั้งหมดเกือบจะกลายเป็นห้องเก็บน้ำแข็ง และยังมีของกันเสียจำนวนมาก
ชายชราหนาวจนตัวเขาสั่นระริก “นายท่านสี่ขอรับ!”
เขารู้สึกสับสน…
ตั้งแต่เกิดเรื่องผีอาละวาดก็ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไปในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายเลย จะมีก็แต่คุณหนูเจ็ดที่มาหาเป็นระยะๆ ผู้อื่นก็แค่เดินอ้อมๆ แล้วจู่ๆ นายท่านสี่มาที่นี่ทำไมกัน
นายท่านสี่ยืนนิ่งอยู่หน้าโลงศพแล้วพูดว่า “เมื่อคืนข้าฝันถึงพี่สาม บอกว่ายังไม่ได้พบพี่สะใภ้สามเลย ข้าเลยแวะมาที่นี่ให้พี่สามได้พบพี่สะใภ้สาม อีกประเดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนข้าหรอก”
ชายชราถอนหายใจ “ข้าน้อยจะไปเฝ้าด้านนอกนะขอรับ หากนายท่านสี่มีเรื่องอันใดสั่งการมาได้เลยขอรับ”
พูดจบก็รีบร้อนออกไป ก่อนหน้านี้ที่นี่มีผีหลอก! ผู้ใดจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ในห้องนี้กัน
ชายชราเดินออกไปในห้องจึงเหลือเพียงคนเดียว นายท่านสี่ยื่นมือออกมาเปิดฝาโลง ในโลงศพเผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียวของฮูหยินสาม
แม้ว่าก้อนน้ำแข็งและเครื่องเทศที่ช่วยกันการเน่าเสียจะรักษาร่างกายไว้ได้ แต่หลังจากเสียชีวิตไปหลายวันใบหน้าของฮูหยินสามก็สูญเสียความงดงามไปและกลายคนน่าเกลียด
แต่ในสายตาของนายท่านสี่ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
เขาสัมผัสโลงศพอย่างเลื่อนลอย น้ำตาปรากฏขึ้นรอบดวงตาแล้วครู่หนึ่งก็ไหลอาบแก้ม
เขาร้องไห้ไร้เสียงสะอื้นในตอนแรก แต่สุดท้ายเขาก็ร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น เสียงร้องไห้แผ่วเบาลอยออกไปข้างนอก ชายชราได้ยินก็ตัวสั่นรู้สึกหนาวสั่นทั้งๆ ที่นั่งรับแสงแดดอยู่
นายท่านสี่บอกว่ามาดูแทนนายท่านสาม เขาร้องไห้อย่างเจ็บปวดเช่นนี้หรือว่า…เข้าสิงงั้นหรือ
ม่านหนาทึบแยกห้องด้านหลังออกกลายเป็นโลกส่วนตัว ก้อนน้ำแข็งหนาทำให้เกิดความหนาวเย็น และสร้างบรรยากาศแห่งความตาย
น้ำเสียงต่ำดังแผ่วเบาภายในโลกเล็กๆ แห่งนี้
“อาอวี๋ สิบแปดปีที่ข้าไม่กล้าเรียกท่านแบบนี้ ทุกวันข้าฝันว่าย้อนกลับไปในวันที่พบท่านครั้งแรก ท่านทัดดอกไห่ถังไว้ที่หู”
“เราพบกันครั้งแรกที่วัดเป่าหลิง ท่านได้รับบาดเจ็บที่ขา ข้าเลยแบกท่านกลับไปที่วัดเพื่อขอความช่วยเหลือ ท่านอาจไม่รู้ว่าในระยะทางสั้นๆ นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของข้า”
“เดิมทีข้าคิดว่ารอให้ผ่านช่วงสอบระดับเมืองไปก่อนแล้วค่อยไปขอให้ท่านป้ามาสู่ขอท่าน แต่ผู้ใดจะคิดเล่าว่าผ่านไปไม่กี่วันก็ได้ข่าวว่าพี่สามจะแต่งงานกับท่าน”
นายท่านสี่เงยหน้าขึ้นราวกับว่าวิธีนี้จะช่วยให้น้ำตาไหลน้อยลง
“ข้าไม่กล้าแข่งกับพี่สาม เขาเป็นพี่ ข้าเป็นน้อง เขาฉลาดมีความสามารถ แต่ข้านั้นธรรมดาหาใดเปรียบ เขาเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน ข้าเป็นคนใจร้อนบ้าบิ่น…ท่านเป็นสตรีที่มีจิตใจงาม คู่ควรกับสุภาพบุรุษเช่นเขา แต่กับข้าท่านกลับเป็นของมีค่าที่ไม่อาจเอื้อมมาชื่นชมได้”
“แต่หัวใจของข้าราวกับถูกมีดกรีด! หลายครั้งที่ข้าทนไม่ไหวอยากบอกกับท่านว่าคนที่ช่วยท่านในวันนั้นคือข้า คือข้าหมิงชาง ไม่ใช่หมิงเชิน!”
นายท่านสี่กัดฟันแน่นจนกล้ามเนื้อแก้มเกร็งราวกับว่าเขาย้อนเวลากลับไป แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจอย่างไร้ประโยชน์
“วันนั้นข้าไปที่หน้าจวนท่านโดยไม่รู้ตัว นั่งอยู่ในโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม ท่านออกมาข้างนอกกับพี่สะใภ้ของท่านแล้วได้ยินพวกท่านพูดถึงพี่สาม แววตาของท่านเปี่ยมไปด้วยความสุข…”
“ผู้ที่ท่านหลงรักคือพี่สาม บุรุษที่ดีที่สุดในตงหนิง เขาเป็นคนอ่อนโยน มีความสามารถโดดเด่นตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าพิธีสวมหมวกได้รับจวี่เหยิน[1] รอเข้าสอบขุนนางระดับสูงในปีถัดไป…ถ้าหากตอนนั้นบอกให้ท่านรู้ว่าคนที่ท่านพบในครั้งแรกเป็นข้า ท่านจะผิดหวังเพียงใดกันที่คุณชายสี่แห่งตระกูลหมิงเทียบกับพี่ชายของเขาไม่ได้เลย”
“ข้ายอมแพ้แล้วในตอนที่พี่สามหมั้นหมายกับท่าน ท่านป้าก็หมั้นหมายให้ข้าด้วย ข้าจึงถือว่าตนเองฝันไป! ไม่เคยพบเจอท่านมาก่อน”
“พอท่านออกเรือนกับพี่สามแล้วเดินทางไปเมืองหลวง ปีถัดมาท่านก็กลายเป็นฮูหยินของจิ้นซื่อ[2] ส่วนข้าตบแต่งภรรยาเป็นเพียงสามีภรรยาเหมือนผู้อื่นเขา”
“อันชื่อเป็นสตรีที่ดีมาก ข้าตัดสินใจที่จะลืมท่านและมีชีวิตที่ดี เดิมทีข้าคิดว่าตนเองทำได้ ผ่านไปแปดปีข้าไม่เคยนึกถึงท่านเลย ผู้ใดจะรู้เล่าว่าพอได้รับข่าวการตายของพี่สาม…”
นายท่านสี่ก้มหน้าลง และน้ำตาที่เหือดแห้งก็ไหลออกมาอีกครั้ง “เมื่อเห็นท่านกลับมาพร้อมกับเสี่ยวชี ข้าบอกกับตนเองว่าจะดูแลชีวิตที่เหลือของท่านให้ดีๆ แม้จะเป็นได้แค่น้องสามีของท่านก็ตาม คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องน้องหกขึ้น…”
เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถร้องไห้เสียงดังได้ มือจับปกคอเสื้อไว้แน่น
“อาอวี๋! ข้าขอโทษท่าน! พวกเขาทำเช่นนั้นกับท่านแต่ข้ากลับไม่กล้าที่จะคัดค้าน ความรุ่งโรจน์ของตระกูล คำคำนี้ทำให้ข้าแทบหายใจไม่ออก ทำให้ข้ารู้ว่าตนเองเป็นแค่ไอ้เลวผู้หนึ่งเท่านั้น!”
“ข้าไม่กล้า! พี่สามเป็นคนที่ฉลาดและเด็ดขาด ข้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้! ข้าไร้ความสามารถเช่นนี้ ไม่กล้าที่จะสู้ในตอนแรก หลังจากนั้นก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้อีก…”
นายท่านสี่นึกถึงวันนั้น เขาเป็นเหมือนวัวที่ถูกทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟจึงไปหานายท่านสองที่นั่นเพื่อถามถึงเรื่องนี้
ตอนแรกเขาแปลกใจ จากนั้นก็โกรธแล้วก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิม
ในเมื่อพี่สามยังมีชีวิตอยู่ เหตุใดถึงปล่อยให้ผู้อื่นมาทำลายภรรยาของเขาเช่นนี้
พี่สาม…ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นเทพเจ้าตั้งแต่ยังเล็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “นางเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว มิตรภาพระหว่างพี่น้องจะต้องถูกทำลายเพราะนางงั้นหรือ พี่น้องเป็นมือเป็นเท้า สตรีเป็นเสื้อผ้าถ้าขาดก็แค่ทิ้งไป อะไรจะสำคัญไปกว่าพี่น้องกัน”
นายท่านสี่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน
เขาคิดว่าทั้งคู่เป็นสามีภรรยาต่างก็ให้ความเคารพนบนอบต่อกัน มีความรักที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่พี่สามกลับพูดว่าขาดแล้วก็ทิ้งไปงั้นหรือ
เขาไม่แน่ใจ แต่เห็นรอยยิ้มเย็นของพี่สามที่มอบให้เขา “น้องสี่…เจ้ากับข้าต่างมีหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ตอนนี้ข้าเป็นคนที่ตายไปแล้วไม่สามารถโผล่หน้าออกไปได้ แต่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เดิมทีข้าอยาก ‘มีชีวิต’ อยู่ต่อเพื่อที่จะได้ใช้ฐานะของเจ้า เพียงเพราะเจ้ากับข้าเกิดมาพร้อมกันข้าจึงไม่ทำเช่นนั้น หากเจ้าทนเรื่องนี้ไม่ได้ก็อย่ามาบังคับข้า!”
ใจของนายท่านสี่เย็นชาลง เขาเชื่อว่าพี่สามสามารถทำได้
แม้แต่เรื่องการกบฏยังสามารถทำได้ ยังมีอันใดที่เขาไม่กล้าทำอีก
“ข้ามันอ่อนแอ ข้ามันขี้ขลาด!” นายท่านสี่พูดพลางทุบหน้าอกตนเอง “สิบปีนี้ข้าใช้ชีวิตเหมือนตกอยู่ในนรก แต่อดทนเช่นนี้ผลจะเป็นอย่างไรได้อีก ท่านตายไปแล้ว! ท่านถูกเขาบังคับให้ตาย!”
เขากอดโลงศพไว้แน่นดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตามีประกายแห่งความแน่วแน่ “เขาฆ่าท่านแล้วยังคิดจะฆ่าบุตรสาวของท่านอีก ข้าขี้ขลาดมาสิบปี แต่อยากจะทำสิ่งสุดท้ายเพื่อท่าน!”
…………………………………
[1] จวี่เหยิน : เป็นระดับการสอบระดับภูมิภาค ผู้มีสิทธิเข้าสอบระดับนี้จะต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน
[2] จิ้นซื่อ : เป็นการสอบรอบสุดท้าย ผู้สอบผ่านรอบนี้จะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการ