คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 103 ใต้เท้าตัดสินคดี / ตอนที่ 104 ร้องเรียน
ตอนที่ 103 ใต้เท้าตัดสินคดี
เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง ไป๋จื่อกลับล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว รถเทียมวัวของลุงหลี่รออยู่ที่หน้าประตูสกุลหูแล้วเช่นกัน
จ้าวหลานรู้สึกกังวลอยู่บ้าง ถึงอย่างไรสถานที่ที่บุตรสาวจะไปก็คือศาลาว่าการ จื่อเอ๋อร์ไปลำพัง หากถูกคนรังแกที่ศาลาว่าการจะทำอย่างไร
นางไปหาหูเฟิง ขอร้องให้เขาไปกับไป๋จื่อด้วย
หูเฟิงพยักหน้า ขณะกำลังจะขึ้นรถเทียมวัว ไป๋จื่อกลับดันเขาลงจากรถ “เจ้าไม่ต้องไป ข้าไปคนเดียวได้”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองนาง เงียบงันไม่พูดจา
ไป๋จื่อกล่าวอีกว่า “ตอนที่ข้าไม่อยู่ คนสกุลไป๋อาจจะมาหาเรื่องก็ได้ เจ้าอยู่ที่บ้าน พวกเขาย่อมไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวาย ปกป้องแม่ของข้าแทนข้าที”
ที่แท้เพราะเหตุผลนี้ หูเฟิงพยักหน้า “ตกลง”
หลี่ผู้บังคับรถเทียมวัวถอนใจ “คนสกุลไป๋นี่นะ ช่างไร้ศีลธรรมเสียจริง ล้วนแยกบ้านกันไปแล้ว ยังไม่ยอมปล่อยพวกเจ้าไปอีก ควรจะสั่งสอนพวกเขาสักหน่อย ให้พวกเขาจดจำ วันหลังจะได้ไม่มาหาเรื่องที่นี่อีก”
ไป๋จื่อพยักหน้า “ถูกต้องเจ้าค่ะ หากพวกข้าไม่สู้ พวกเขาก็จะคิดว่าพวกข้ารังแกได้ แต่จะรับมือกับคนเช่นพวกเขา ก็จำต้องลงมือให้หนัก ให้พวกเขาลิ้มรสความร้ายกาจ ไม่เช่นนั้นปัญหาในอนาคตก็ยากจะจบลงได้” อนาคตของนางและท่านแม่จะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น ด้วยนิสัยของคนสกุลไป๋ หากไม่ปราบพวกเขาให้พ่ายแพ้ในคราวเดียว วันข้างหน้าก็อย่าหวังว่าพวกเขาจะหยุดเลย
รถเทียมวัวพาไป๋จื่อเข้าไปในเมือง ลุงหลี่รู้ว่านางรีบ ระหว่างทางจึงไม่สนใจแม้กระทั่งดื่มน้ำ เร่งวัวให้เดินเร็วขึ้นอยู่ตลอด เพียงหวังว่าจะได้ถึงศาลาว่าการเร็วหน่อย
แม้จะออกเดินทางแต่เช้า ทว่าเมื่อออกจากหมู่บ้านหวงถัวจนถึงศาลาว่าการ ก็เป็นยามเฉินสามเค่อแล้ว เกือบจะเก้าโมงเช้าแล้วนั่นเอง
ไป๋จื่อคิดในใจ ต่อไปต้องซื้อม้า นั่งรถเทียมวัวชักช้าเสียเรื่องจริงๆ หากมีเรื่องรีบร้อน เช่นนั้นคงต้องรีบแทบตาย
เหมือนกับที่เห็นในโทรทัศน์ ด้านนอกศาลาว่าการมีเจ้าพนักงานผู้น่าเกรงขามสวมชุดสีดำแดงปักลายอยู่สองคน
“มาทำอะไร” มือหนึ่งของเจ้าพนักงานถือดาบ ส่วนมืออีกข้างเท้าสะเอว พลางมองไปจื่ออย่างเย็นชา
ไป๋จื่อไม่รู้กฎเกณฑ์การร้องเรียนที่ศาลาว่าการ จึงปั้นหน้ายิ้มกล่าวกับเจ้าพนักงานว่า “ใต้เท้า ข้ามาจากหมู่บ้านหวงถัว มีคนในหมู่บ้านใส่ร้ายว่าข้ากับท่านแม่ขโมยเงินของพวกเขาไปสามสิบตำลึง ข้าอยากมาร้องเรียน ใต้เท้าผู้สื่อสัตย์โปรดขอความเป็นธรรมให้พวกข้า ข้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรแล้ว”
เจ้าพนักงานพิจารณาไป๋จื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้นางสวมชุดสีเขียวใหม่เอี่ยม แม้จะเป็นผ้าป่านหยาบเช่นที่คนยากจนชอบสวมใส่ ทว่าเมื่ออยู่บนร่างผอมบางของนาง บวกกับล้วนเป็นของใหม่ทั้งตัว ดูแล้วจึงไม่เหมือนเด็กตามป่าเขาที่ชอบลักเล็กขโมยน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น หัวขโมยต้องมีความกล้าเทียมฟ้า ถึงได้กล้ามาร้องขอความเป็นธรรมที่ศาลาว่าการหลังจากขโมยเงินมาแล้ว
“เจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปพบใต้เท้าตัดสินคดี” เจ้าพนักงานกล่าวกับไป๋จื่อ
ไป๋จื่อกล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก ก่อนจะตามเจ้าพนักงานเข้าไปในศาลาว่าการ
ศาลาว่าการไม่ใหญ่มาก แต่ก็แบ่งออกเป็นโถงหน้าและลานด้านหลัง โถงหน้าเป็นสถานที่ทำงานของข้าราชการ ส่วนลานด้านหลังเป็นสถานที่ปลอดข้าราชการ ส่วนใต้เท้าตัดสินคดีครองห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่ตรงโถงหน้า เอ่อ ไม่ใช่สิ ศาลต่างหาก
ศาลที่ว่า ความจริงแล้วเป็นห้องส่วนตัวที่มีลานขนาดเล็กแห่งหนึ่ง องครักษ์คนหนึ่งกำลังยืนเหม่อมองฟ้าอยู่ในลาน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา เขาถึงจะมองมาที่ประตู
“มีเรื่องอะไรหรือ” องครักษ์ถามเจ้าพนักงาน
เจ้าพนักงานรีบตอบ “องครักษ์จิน แม่นางผู้นี้มาร้องเรียนขอรับ”
องครักษ์จินมุ่นคิ้ว สีหน้าไม่พอใจ “จะร้องเรียนควรจะไปหาใครเจ้ารู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงพามาที่นี่”
“เมื่อวานใต้เท้ากู้บอกไว้ว่า นอกจากจะเป็นคดีใหญ่ คดีเล็กอื่นๆ ให้ใต้เท้าตัดสินคดีจัดการ ข้าจึง…”
……….
ตอนที่ 104 ร้องเรียน
“องครักษ์จิน ให้พวกเขาเข้ามาเถิด”
เสียงบุรุษดังออกมาจากในเรือนอย่างชัดเจน ทั้งแจ่มชัดและมั่นคง หางเสียงเจือความเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขา ก็ทำให้เกิดความปรารถนาที่จะเห็นใบหน้าที่แท้จริงสักครั้ง
ไป๋จื่อคิดในใจ บุรุษที่ส่งเสียงเช่นนี้ออกมาได้ จะต้องเป็นหนุ่มหล่อ ทั้งยังหล่อมากแน่นอน
จะหล่อกว่าหูเฟิงหรือไม่
เสียงของหูเฟิงก็น่าฟังเช่นกัน เพียงแต่เย็นชาเกินไป ตอนพูดจามักจะเฉยชาเสมอ ไม่มีความรู้สึกใดแม้สักนิด
องครักษ์จินทำสีหน้าจนใจ เพียงเบี่ยงตัว “เข้าไปเถิด”
เจ้าพนักงานผู้นั้นกลับไม่ยอมเข้าไป เขาเพียงกล่าวกับไป๋จื่อในลานว่า “เจ้าเข้าไปพบใต้เท้าเองเถอะ ข้าไปก่อนล่ะ”
จากนั้นเขาก็หมุนกายจากไป แม้บนใบหน้าจะไม่เผยความรู้สึกใด ทว่าไป๋จื่อยังคงจับความหวาดหวั่นสายหนึ่งได้จากในแววตาของเขา
เหตุใดถึงกลัว ใต้เท้าตัดสินคดีผู้นี้น่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ
นางตามหลังองครักษ์จินมาถึงหน้าเรือนที่ปิดประตูไว้อยู่ องครักษ์จินยื่นมือไปเปิดประตู ก่อนจะมีกลิ่นควันหอมเข้มข้นสายหนึ่งลอยมาเตะจมูก หอมจนฉุน ทว่าในนั้นก็มีกลิ่นที่ไม่ธรรมดาแฝงอยู่ด้วย
คนที่อยู่ข้างๆ ดมไม่ออก ทว่าไป๋จื่อไม่ใช่คนทั่วไป นางเป็นหมอมีชื่อเสียงระดับสุดยอดในศตวรรษที่ยี่สิบสาม เชี่ยวชาญทั้งวิชาแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนปัจจุบัน นางได้กลิ่นนี้ครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นอะไร
เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน สุดปลายทางที่นางเห็นเป็นโต๊ะตัวเตี้ยและยาวตัวหนึ่ง บนนั้นวางตำราและม้วนภาพไว้มากมาย ทั้งยังวางสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือไว้อย่างครบครัน ไปจนถึงมือเรียวและขาวสองข้าง
มือทั้งสองข้างนั้นกำลังเขียนหนังสือ หรืออาจจะกำลังวาดภาพอยู่
เขาเป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง ปิดบังใบหน้าไว้ด้วยผ้า จึงมองไม่ชัดนัก เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่จดจ่ออยู่ใต้พู่กัน ดวงตาของเขางดงามนัก คิ้วโก่งเข้ากับดวงตาราวกับหงส์ ขนตาสีดำยาว โดยเฉพาะไฝดำเม็ดหนึ่งตรงหว่างคิ้ว ผู้ใดพบเห็นเป็นอันต้องตกตะลึง
ราวกับเขารู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมอง เขาหยุดพู่กันในมือลง แล้วช้อนสายตามองผู้มาเยือน
คิ้วโก่งเลิกขึ้นเล็กน้อย แววตาเฉยชายิ่ง “ร้องเรียนรึ”
คราวนี้ไป๋จื่อถึงตื่นจากภวังค์ นางลอบต่อว่าตนเองว่าใช้ไม่ได้ ยังไม่ทันได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาเลย กลับถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดเสียแล้ว
นางคำนับต่อเขา แล้วกล่าวว่า “ใต้เท้า ข้าเป็นคนจากหมู่บ้านหวงถัว มีคนในหมู่บ้านใส่ร้ายว่าข้าและแม่ของข้าขโมยเงินของบ้านพวกเขาไปสามสิบตำลึง ข้าได้รับความไม่เป็นธรรม จึงตั้งใจมาขอให้ใต้เท้าช่วยลบล้างความคับแค้นแทนข้าด้วยเจ้าค่ะ”
บุรุษผู้นั้นวางพู่กันในมือลง “พวกเขาบอกว่าเจ้าขโมยเงิน มีหลักฐานหรือไม่”
ไป๋จื่อส่ายหน้า “ไม่มีหลักฐานเจ้าค่ะ คำกล่าวนั้นเหลวไหลทั้งเพ ข้าขอโต้แย้งคำใส่ร้ายนั้น และยิ่งไม่อาจรับชื่อเสียว่าเป็นหัวขโมยได้ ด้วยความจนใจ ข้าจึงมาร้องขอความเป็นธรรมที่ศาลาว่าการ โปรดใต้เท้าตัดสินอย่างเป็นธรรมด้วย”
เขาผู้นั้นพยักหน้า ก่อนจะถามอีกว่า “เจ้าบอกว่าหมู่บ้านหวงถัวหรือ ห่างจากศาลาว่าการแห่งนี้มากใช่หรือไม่”
เด็กสาวพยักหน้า “ห่างออกไปสามสิบลี้เจ้าค่ะ”
จากนั้นเขาก็พยักหน้าอีก แล้วผุดกายลุกขึ้น สุดท้ายก็ยืดเส้นยืดสายต่อหน้าไป๋จื่อ “เอาล่ะ ไม่ได้ออกจากที่นี่นานมากแล้ว ออกไปเดินสักหน่อยก็ดี”
เมื่อองครักษ์จินได้ยินเช่นนี้ เขาก็แย้งขึ้นมาทันที “คุณชาย บาดแผลของท่านไม่อาจต้องลม ท่านส่งคนไปพาคนกลับมาที่ศาลาว่าการก็ได้ เหตุใดต้องไปด้วยตนเองด้วย”
บุรุษผู้นั้นแบมือ “ข้าเป็นคน ไม่ใช่สิ่งของ และข้าไม่ได้เห็นดวงตะวันมานานเท่าไรแล้ว ควรจะออกไปยืดเส้นยืดสายบ้างสิ”
องครักษ์ขวางหน้าอีกฝ่ายอย่างดื้อรั้น “คุณชาย ท่านไม่อาจกระทำตามใจเช่นนี้ได้ ท่านหมอบอกว่าบาดแผลนี้ของท่าน…”
แววตาของชายหนุ่มเย็นชาอยู่บ้าง เขากล่าวเสียงทุ้ม “ท่านหมอบอกว่าบาดแผลของข้าจะหายเมื่อไร นานถึงเพียงนี้เลยหรือ ยาทาหรือยากิน ใช้หมดไปเท่าไรแล้ว ดีขึ้นบ้างหรือไม่เล่า ท่านหมอนั่นก็แค่หมอกำมะลอ เหตุใดถึงเชื่อเขานัก”