คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 145 ขโมยเงิน / ตอนที่ 146 ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง?
ตอนที่ 145 ขโมยเงิน
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่” เสียงของหูจ่างหลินพลันดังเข้ามาจากข้างนอก
สองแม่สามีและลูกสะใภ้รีบร้อนหันหลังไป เห็นในมือหูจ่างหลินถือจานอาหาร กำลังร้อนระอุอยู่เชียว กลิ่นหอมชวนหลงใหลเตะจมูกพวกนางไม่ขาดสาย ยิ่งทำให้พวกนางท้องร้องเสียงดังยิ่งกว่าฟ้าผ่าเสียอีก
“ข้าถามว่าพวกเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่ ขโมยของหรือ” หูจ่างหลินมุ่นคิ้วถาม
หูจ่างหลินเสียงดังทีเดียว หูเฟิงและไป๋จื่อที่อยู่ด้านหลังได้ยินเข้า จึงรีบวางงานในมือลงแล้วมุ่งหน้ามา
ลุงหูยืนถือเกี๊ยวอยู่ข้างนอกห้องของหูเฟิง ส่วนหญิงชราและหลิวซื่อกลับยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ภายใน
ไป๋จื่อเลิกคิ้ว “โอ้…ยากจนจนเป็นบ้าไปแล้ว ถึงกับมาขโมยของถึงบ้านคนอื่นเลยหรือนี่ เจ้าต้องการขโมยเงินก็ต้องมาตอนที่ไม่มีคนอยู่กระมัง”
หญิงชรารีบกล่าว “นางเด็กน่าตายผู้นี้พูดมั่วอะไร ใครขโมยเงิน เจ้าเห็นพวกข้าขโมยเงินตอนไหน”
เด็กสาวยักไหล่ “พวกเจ้าไม่ขโมยเงินแล้วเข้าห้องไปทำอะไร ในห้องนั่นนอกจากมีเงินแล้ว ยังจะมีอะไรได้อีก”
หลิวซื่อรีบต่อปากเช่นกัน “พวกข้ามาหาจ้าวหลาน ได้ยินเสียงอยู่ในห้องจึงเข้าไปดู ที่แท้ก็ได้ยินผิด เข้าใจผิด เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น”
คำพูดของหลิวซื่อนี้ แม้แต่คนโง่ก็ฟังความหมายของพวกนางออก พวกนางมาหาคนที่ไหนกัน ตั้งใจจะมาจับชู้มากกว่า
จ้าวหลานยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้แล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ แววตาอึดอัดชำเลืองมองหูจ่างหลินครั้งหนึ่ง ฝ่ายหูจ่างหลินก็มองนางด้วยความอึดอัดใจเช่นเดียวกัน ครั้นทั้งสองคนประสานสายตา จึงยิ่งอึดอัดกันเข้าไปใหญ่
ไป๋จื่อก็ไม่ได้โมโห นางมองหลิวซื่อและหญิงชราคล้ายกับยิ้ม คล้ายกับไม่ยิ้ม “พวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่พวกเจ้าอย่าได้ลืมนะ ท่านลุงหูเป็นบุรุษไม่ได้แต่งงาน ท่านแม่ของข้าก็เป็นสตรีที่ไม่ได้แต่งให้ใคร ถึงต่อไปพวกเขาทำเรื่องเช่นนั้นจริง นั่นก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม อีกทั้งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้าทั้งสิ้น เข้าใจหรือไม่”
ใบหน้าจ้าวหลานร้อนฉ่าราวกับไฟเผา นางรีบดึงแขนเสื้อของไป๋จื่อ “จื่อเอ๋อร์ เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไร อย่าพูดมั่วสิ”
หญิงชรารู้ว่าวันนี้หาประโยชน์จากเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเสียเลย “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว วันนี้พวกข้ามาหาพวกเจ้าเพราะมีธุระ”
หูจ่างหลินหันไปวางเกี๊ยวไว้บนโต๊ะ และเพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัด เขาจึงไปที่ลานบ้านเสียเลย
ส่วนหูเฟิงก็ไปดูไฟที่ด้านหลังเช่นนั้น เพื่อระวังไม่ให้เกี๊ยวในหม้อเปื่อย
หญิงชราและหลิวซื่อออกมาจากในห้อง สายตาจับจ้องไปที่เกี๊ยวบนโต๊ะ ในที่สุดก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่คืออะไร เหตุใดถึงได้หอมเช่นนี้”
“นี่เป็นสิ่งที่พวกข้ากิน หอมเช่นนี้แหละ รสชาติก็ดีด้วย ไม่รู้ว่าดีกว่าผักป่านั่นตั้งกี่เท่า” ไป๋จื่อกล่าว
หลิวซื่อหัวเราะแห้งๆ “นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว สิ่งที่ใช้แป้งขาวทำออกมาเช่นนี้ ย่อมอร่อยกว่าผักป่าอยู่แล้ว” น่าเสียดายนัก แม้แต่ผักป่าที่บ้านของพวกนางก็ไม่มีให้กิน
จ้าวหลานไม่อยากพูดจาไร้สาระกับพวกนาง จึงถามออกไปตรงๆ “มาหาพวกข้ามีธุระอะไร พูดมาเถอะ”
หลิวซื่อมองไปยังแม่สามี แม้พวกนางจะมาด้วยกัน แต่หญิงชรายังต้องเป็นคนเอ่ยปาก เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างไรจ้าวหลานก็ต้องเห็นแก่หน้านางบ้างกระมัง
หญิงชรากระแอมเสียงหนึ่ง ก่อนจะปั้นยิ้มจางๆ ขึ้นมาบนใบหน้า รอยิ้มนั้นน่าเกลียดกว่าตอนร้องไห้เสียอีก
“คืออย่างนี้ ข้าวที่บ้านของพวกข้าหมดแล้ว ก่อนหน้านี้สะใภ้รองไม่ได้บอก เพิ่งจะมาบอกเรื่องนี้กับข้า และมันสายไปเสียแล้ว ถึงไปซื้อก็ไม่ทัน จึงอยากจะมายืมพวกเจ้าก่อนสักหน่อย”
ไป๋จื่อยิ้มเย็น “ยืมสักหน่อย? ไม่ทราบว่าสักหน่อยนี้ของพวกเจ้าคือเท่าใด” นางอยากจะรู้เสียจริงๆ ว่าสักหน่อยที่หญิงชราผู้นี้พูดออกมา แท้จริงแล้วมากเพียงใดกันแน่
……………
ตอนที่ 146 ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง?
หากพูดถึงการยืมเพียงอย่างเดียว ทั่วไปแล้วจะคิดกันเป็นโต่ว หนึ่งโต่ว สองโต่วเช่นนี้ ทว่าในใจหญิงชราคิดถึงข้าวหนึ่งคันรถที่พวกนางซื้อมาวันนี้ นั่นอย่างไรก็ต้องมากถึงห้าหรือหกตั้นกระมัง ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปหนึ่งนิ้ว “หนึ่งตั้น ยืมหนึ่งตั้น”
ไป๋จื่อแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ยืมหนึ่งตั้น นางพูดเช่นนี้ออกมาได้ สงสัยหน้าจะหนาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
จ้าวหลานก็โมโหขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “หนึ่งตั้น? ข้าไม่มี พวกเจ้าไปเถอะ”
หลิวซื่อพลันร้อนใจ “พวกเจ้าจะไม่มีได้อย่างไร พวกข้าได้ยินมาว่าวันนี้ไป๋จื่อซื้อข้าวกลับมาจากในเมืองหนึ่งคันรถ จะไม่มีได้อย่างไร”
จ้าวหลานทำหน้าเคร่ง “ข้าบอกว่าไม่มีก็ไม่มี ฟังไม่เข้าใจหรือ” นางรู้จักนิสัยคนสกุลไป๋เหล่านี้ ปกติมีครั้งแรกแล้วย่อมมีครั้งที่สอง วันนี้พวกนางยืมหนึ่งโต่ว พรุ่งนี้พวกนางจะมายืมอีกสองโต่ว วันมะรืนอาจจะไม่ใช่แค่หนึ่งโต่ว
พวกนางได้คืบจะเอาศอกเก่งเป็นที่สุด แต่ก่อนนางอดทนอดกลั้นทุกอย่าง ด้วยไม่อยากยั่วโมโหพวกนาง เพื่อที่ว่าพวกนางจะได้ไม่ถือโอกาสใจร้ายกับจื่อเอ๋อร์ตอนที่นางไม่อยู่
แต่ทว่าความอดทนของนางกลับยังคงไม่ได้ความสงบตอบแทบ ออกจะทำให้พวกนางร้ายกาจยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดังนั้นนางจะไม่ยอมให้อีกแล้ว
หญิงชราโกรธเกรี้ยวแล้ว นางชี้หน้าจ้าวหลาน “เจ้าพูดอะไร ไม่มี? นางคนชั่วช้าไม่มีน้ำใจ ข้าเลี้ยงพวกเจ้าแม่ลูกมาตั้งสิบปี สิบปีเต็มๆ วันนี้มายืมข้าวจากเจ้าเล็กน้อย เจ้าบอกว่าไม่มีหรือ”
จ้าวหลานกลอกตา สายตาเย็นชาจ้องมองที่ใบหน้าของอดีตแม่สามี ราวกับมีดเฉือนหนังหน้าของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยอยากจะดูจริงๆ ว่าผิวหน้าของนางแท้จริงแล้วหนาถึงเพียงไหน
“เจ้าเลี้ยงพวกข้าสองแม่ลูก? พวกข้าสองมีลูกมีวันใดกินข้าวของพวกเจ้าสกุลไป๋โดยไม่ต้องทำงานบ้าง การจากไปของเจ้าสามยังไม่ผ่านไป ข้าก็ต้องลงที่ดิน จื่อเอ๋อร์เพิ่งสามขวบก็ถูกพวกเจ้าชี้นิ้วสั่งให้ทำงาน พวกเจ้าเลี้ยงอะไรพวกข้าบ้าง ให้พวกข้าสองแม่ลูกกินอิ่มสักวัน นอนหลบหนาวสักวันบ้างหรือไม่”
ไม่ว่าจะฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ในเรือนผุพังที่นางและจื่อเอ๋อร์อาศัยอยู่ แต่ไหนแต่ไรล้วนมีเพียงผ้าบางๆ ผืนหนึ่ง จนถึงฤดูหนาว พวกนางแทบจะต้องตัวสั่นงันงกในยามค่ำคืนเสมอ
หญิงชราพูดไม่ออก เรื่องที่ก่อนหน้านี้เห็นว่าสมควร ในมุมมองของจ้าวหลาน แตกต่างกับที่นางคิดโดยสิ้นเชิง
“ไม่เลี้ยงดูแล้วอย่างไร อย่างไรท่านแม่ก็เป็นแม่สามีของเจ้า เจ้าไม่อาจไร้น้ำใจเกินไปได้” หลิวซื่อกล่าว
“แม่สามี?” จางหลานหัวเราะเสียงเย็น ดวงตาแดงก่ำในทันที “ข้าถามนางหน่อย นางเห็นข้าจ้าวหลานเป็นสะใภ้ของนาง หรือว่าเป็นวัวเป็นม้าของสกุลไป๋พวกเจ้า”
“หากเป็นแม่สามีของข้าจริง จะถือโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่บ้าน ตีลูกสาวของข้าจนตายทั้งเป็นหรือไม่ หากเป็นแม่สามีข้าจริง จะขายลูกสาวของข้าลับหลังข้าหรือไม่”
เดิมทีนางไม่คิดจะพูดเรื่องพวกนี้อีก ไม่อยากกล่าวถึงอีก แต่พวกนางปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านางครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้นางนึกถึงเรื่องในอดีตที่เจ็บปวดเหล่านี้ คล้ายกับการสาดเกลือลงบนแผลของนางไม่ยอมหยุด
หญิงชราทำหน้าบึ้ง “เรื่องที่ผ่านไปแล้วจะพูดขึ้นมาอีกทำไม ตอนนี้พวกเจ้าสองแม่ลูกสุขสบายแล้วไม่ใช่หรือ หากไม่ใช่เพราะข้าตกลงให้เจ้าและไป๋จื่อแยกบ้านในทีแรก พวกเจ้าจะมีวันนี้หรือไม่ ว่ากันว่าเมื่อดื่มน้ำ อย่าลืมคิดถึงผู้ที่ขุดบ่อน้ำ หากไม่ใช่เพราะข้าเมตตาในวันนั้น ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเจ้าสองแม่ลูกจะเป็นอย่างไรบ้าง”
เรื่องในตอนนั้น หากไม่พูดถึงก็ดีไป เพราะยิ่งพูดถึงก็ยิ่งทำให้จ้าวหลานโมโห นางชี้ไปที่ประตู กล่าวว่า “พวกเจ้าไปเถอะ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกเจ้าอีก”
หญิงชรายังอยากพูดต่อ ทว่าไป๋จื่อกลับยืนอยู่ตรงหน้ามารดาตน เชิดดวงหน้าเล็กขึ้น สองมือดอกอก ทำท่าทางคล้ายกับหูเฟิงอยู่หลายส่วน
“สิ่งที่ท่านแม่ข้าพูด พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ หรือจะบอกว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง”