คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 229 หญิงชราเป็นคนร่ำรวยขนานแท้ / ตอนที่ 230 สู้วัวหรือม้าไม่ได้
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 229 หญิงชราเป็นคนร่ำรวยขนานแท้ / ตอนที่ 230 สู้วัวหรือม้าไม่ได้
ตอนที่ 229 หญิงชราเป็นคนร่ำรวยขนานแท้
เมื่อคิดถึงความยากลำบากที่ได้เจอเพราะไป๋จื่อและจ้าวหลานก่อนหน้านี้ หญิงชราก็รู้สึกลังเลขึ้นมาบ้าง หากไป๋จื่อไม่อยู่ มีจ้าวหลานอยู่เพียงลำพังล่ะก็ นั่นอาจจะยังมีโอกาสอยู่บ้าง
เด็กสาวไป๋จื่อช่างใจแข็งนัก ไม่อาจหาประโยชน์ใดจากมือนางได้เลย
ทว่าท้องหิวจนทรมานแล้วจริงๆ นางกินผักป่าจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตัดใจนำเงินที่ซ่อนไว้ในหีบออกมาซื้อเสบียงอาหารไม่ได้…
นางเหลียวซ้ายแลขวา เห็นว่ามีคนซักผ้าและตากลมอยู่ริมแม่น้ำไม่น้อย บางทีต่อหน้าคนในหมู่บ้านเช่นนี้ อย่างไรพวกนางก็ต้องไว้หน้าอยู่บ้าง อย่างน้อยนางก็เป็นย่าของไป๋จื่อ เลี้ยงนางเด็กผู้นี้มาสิบสองปี หรือแม้แต่แตงดินสักสองสามหัวก็ให้ไม่ได้?
หลังจากตัดสินใจแล้ว หญิงชราสกุลไป๋ก็พาหลิวซื่อไปยังข้างกายของจ้าวหลานและไป๋จื่อ ทำท่าทางสนอกสนใจมองมันฝรั่งที่อยู่ในถุง “นี่ กำลังล้างอะไรอยู่หรือ”
สองแม่ลูกหันไปมองนางครั้งหนึ่ง ก่อนจะมุ่นคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คนสกุลไป๋ช่างไม่ยอมเลิกราเลยจริงๆ
จ้าวหลานก้มหน้าลง ล้างมันฝรั่งของนางต่อไป ทว่าไป๋จื่อกลับยังคงเงยหน้าเล็กๆ เช่นเดิม ยิ้มกล่าวว่า “ท่านย่าเป็นคนร่ำรวยขนานแท้ แม้แต่อแตงดินก็ไม่รู้จักเช่นนี้ ดูท่าปกติจะได้กินแต่ปลาและเนื้อดีๆ ไม่กินอาหารคุณภาพต่ำของชาวบ้านเช่นนี้”
หลิวซื่อยิ้มเจื่อน “จื่อยาโถวพูดจาน่าสนใจจริงๆ อาหารมีแบ่งแยกคุณภาพต่ำสูงอะไรกัน ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เติมท้องให้อิ่มได้ทั้งนั้น”
ไป๋จื่อกลับส่ายหน้า “เมื่อก่อนข้าก็คิดเช่นนั้น ทว่าตั้งแต่ได้ยินที่เจ้าพูดกับท่านย่าครั้งก่อน ข้าถึงได้ความรู้ใหม่ ว่าอาหารมีแบ่งแยกคุณภาพสูงต่ำด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวซื่อตะลึงไปเล็กน้อย “ข้ากับท่านแม่พูดอะไร” เมื่อถามออกไปแล้ว นางก็เริ่มรู้สึกเสียดาย ไป๋จื่อผู้นี้ไม่มีทางพูดอะไรดีๆ ออกมาได้ ไม่ควรให้โอกาสเด็กสาวได้มีโอกาสพูดเลย
แต่เวลานี้สายไปแล้ว!
ไป๋จื่อวางมันฝรั่งในมือลง แล้วล้างมือที่เปื้อนดินในแม่น้ำจนสะอาด จากนั้นนางถึงผุดลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองหลิวซื่อด้วยแววตาทอประกาย “เจ้ากับท่านย่าบอกว่า โจ๊กและผักที่บ้านเป็นสิ่งที่ให้คนกิน มีเพียงสิ่งที่พวกเจ้ากินเหลือ หรือสิ่งที่ใกล้จะเสีย ถึงจะเป็นสิ่งที่ให้สัตว์กิน และในสายตาของพวกเจ้า ข้าและท่านแม่ของข้าก็คือสัตว์ ทำงานหนักที่สุด กินอาหารน้อยและย่ำแย่ที่สุด แม้แต่วัวหรือม้ายังดีเสียกว่า ความจริงแล้วในสายตาพวกเจ้า เกรงว่าพวกข้าจะสู้หมูหรือสุนัขไม่ได้กระมัง”
สีหน้าของหลิวซื่อและหญิงชราเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก พวกนางจะคิดถึงได้อย่างไร ว่าไป๋จื่อจะพูดถึงเรื่องในอดีตในตอนนั้นที่นี่
เมื่อรู้สึกถึงสายตาเหยียดหยามจากรอบด้านที่มองมาทางพวกนาง พวกนางถึงจะรู้ตัว ว่านางพูดเรื่องเหล่านั้นในเวลานี้ เป็นการพูดให้คนอื่นได้ยินอย่างไม่ต้องสงสัย ถือโอกาสรับความเห็นใจจากทุกคน ทำให้ตนเองดูเหมือนว่าไม่ได้รับความยุติธรรม
หญิงชราโกรธจนแทบคลั่ง นางเพียงแค่ถามว่าพวกนางกำลังล้างอะไรอยู่ ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลยสักนิด c9’fboก็ไม่ได้ ยังต้องกลายเป็นคนสารเลวอีกหรือนี่
ไม่ได้ นางจะไม่ทนรับความอัปยศเช่นนี้
หญิงชราปั้นรอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่น รอยยิ้มของนางน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าเวลาร้องไห้อีก
“จื่อยาโถว เจ้าจะต้องเข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ ข้ากับป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าไม่เคยพูดอะไรเช่นนั้น ถึงแม้จะเคยพูด ก็ไม่ได้ว่าพวกเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าหูฝาดแล้ว”
ไป๋จื่อยักไหล่ “อาจจะเป็นไปได้กระมัง ข้าอาจจะหูฝาด แต่เมื่อก่อนข้ากับท่านแม่ของข้าต้องกินอาหารเหลือ บางครั้งท่านแม่ของข้าทำงานกลับมาถึงบ้านช้า ก็ไม่เหลือแม้แต่อาหารเหลือให้กิน ชีวิตเช่นนี้เป็นปกติของครอบครัวเรา เรื่องเหล่านี้เจ้าจะปฏิเสธหรือ”
เรื่องนี้หญิงชราและหลิวซื่อปฏิเสธสักคำก็ใช้ได้แล้ว ไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ไม่ใช่หรือ
……….
ตอนที่ 230 สู้วัวหรือม้าไม่ได้
หลิวซื่อมักจะนำเรื่องในบ้านออกไปพูดโม้ บอกว่าในบ้านมีสองคนที่ทำงานได้เหมือนกับวัวและม้า ทั้งยังไม่ต้องให้อาหารจนอิ่ม แม้ในบ้านจะไม่ได้เลี้ยงปศุสัตว์ แต่นางก็มีชีวิตไม่ต่างอะไรกับนายหญิง
สตรีในหมู่บ้านที่ทำงานนอกบ้านทั้งวันไม่มีจบสิ้น ต่างก็เคยได้ยินวาจาคุยโม้ของนางทั้งสิ้น เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั้งหมู่บ้านหวงถัวแล้ว ไม่มีใครไม่รู้
หลิวซื่อย่อมรู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิด จึงรีบยิ้มเจื่อนๆ เข้าไปตบไหล่ของไป๋จื่อ “เด็กสาวผู้นี้ เรื่องก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ยังหยิบยกมาพูดอยู่ได้ พวกข้าไม่ได้ตั้งใจ เมื่อลืมไปแล้ว ข้าก็ลืมไปเลย บัดนี้เจ้ามีชีวิตที่ดีแล้ว ไม่ใช่ว่าสกุลไป๋ก็มีความดีความชอบด้วยหรือ ลองคิดดูสิ หากไม่มีสกุลไป๋ของพวกข้า เด็กสาวอย่างเจ้าจะโตขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้หรือ”
นางต้องการจะทวงบุญคุณสินะ
ไป๋จื่อแค่นหัวเราะอยู่ในใจตลอด สตรีชั่วช้าสองคนนี้มีเจตนาชัดเจนเกินไปแล้ว พวกนางไม่ใช่ว่าอยากได้มันฝรั่งในถุงของนางกับท่านแม่หรือไร
หากไม่ใช่เพราะต้องการจะหาประโยชน์จากมือพวกนาง คนเช่นหญิงชราสกุลไป๋และหลิวซื่อจะเข้ามาพูดคุยกับนางเองได้อย่างไร
อยากได้? เหอะ…ข้าไม่ให้หรอก ถึงแม้จะเป็นสิ่งของที่ให้สุนัขกิน ก็ไม่มีทางมอบให้คนใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้แน่นอน
“เจ้าก็พูดถูกเช่นกัน เรื่องในอดีตไม่จำเป็นต้องนำมาพูดอีก พวกข้าแม่ลูกทำงานต่างวัวต่างม้าให้พวกเจ้าสกุลไป๋มาตั้งหลายปี บุญคุณหรือหนี้ใดก็ชดเชยคืนไปหมดแล้ว หากเป็นเช่นที่เจ้าว่า ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องในอดีตอีก หลังจากนี้ก็อย่าได้ทำมาเป็นสนิทสนมกับพวกข้า ประจบเอาใจพวกข้า เพราะพวกข้าไม่มีญาติเป็นคนสกุลไป๋เช่นพวกเจ้า”
คำพูดนี้ดักคอหญิงชราและหลิวซื่อจนแทบสำลักตาย แล้วพวกนางจะขอแตงดินจากนางเด็กคนนี้อย่างไรได้
หญิงชรากลอกตาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ได้ บนหนังสือแยกบ้านเขียนไว้ชัดเจน ต่อไปพวกเราสองบ้านต่างคนต่างอยู่ ทางใครทางมัน ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก”
“ทว่าแม้จะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แต่ก็นับว่าเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อคนในหมู่บ้านเจอปัญหา ช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็ถูกต้องแล้ว”
ไป๋จื่ออมยิ้ม สายตาจับจ้องหญิงชราที่มีใบหน้าแต่รอยตีนกา ด้วยอยากจะดูว่านางจะพูดอะไรออกมาได้อีก
สายตาของหญิงชรามองไปยังแตงดินถุงนั้นโดยตลอด “ได้ยินว่าพวกเจ้าเก็บเกี่ยวแตงดินได้มาก บัดนี้เกรงว่าจะขายแตงดินนี้ไม่ค่อยได้ เอาอย่างนี้ พวกข้ารู้จักคนเยอะ ให้พวกข้าช่วยเจ้าเอง ยิ่งกำลังคนมาก ก็ดีกว่าพวกเจ้าสองแม่ลูกทำเรื่องต่างๆ ด้วยตนเองนัก”
คำพูดนี้นางก็ยังพูดออกมาได้ อย่าว่าแต่ ณ ที่ตรงนี้มีคนเชื่อหรือไม่ เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็ยังโน้มน้าวไม่ได้เลยกระมัง
ไป๋จื่อโบกมือ “นั่นไม่จำเป็นหรอก แตงดินของพวกข้าไม่ต้องกังวลเรื่องการปูทางค้าขาย ไม่นานก็จะขายออกไปได้ทั้งหมด” ครั้นพูดจบ นางก็หันไปเรียกเหล่าสตรีที่กำลังซักเสื้อผ้าอยู่ริมแม่น้ำ “อีกสองสามวันเชิญท่านป้าท่านน้าทุกคนมาช่วยข้าเก็บแตงดิน ข้าจะให้ค่าแรงพวกท่านด้วยนะเจ้าคะ”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินดังนั้น ก็พากันดีใจกันยกใหญ่ ข้าวสาลีในทุ่งนายังไม่ออกรวง พวกนางล้วนเบื่อหน่ายอยู่ที่บ้าน หากได้ใช้เวลาว่างเหล่านี้หาเงินมาใช้จ่ายภายในบ้านได้บ้าง ก็ย่อมดีเป็นอย่างยิ่ง
มีคนถามว่า “จื่อยาโถว แตงดินของเจ้าเป็นพันธุ์ใด เหตุใดถึงออกผลรวดเร็วเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่พวกข้าปลูกแตงดิน ต้องใช้เวลาถึงสองสามเดือนเต็มๆ ถึงจะออกผล อีกทั้งแต่ละหัวยังไม่ใหญ่โตเช่นของเจ้า”
ไป๋จื่อยิ้มกล่าว “ความจริงแล้วข้าใช้เคล็ดลับจำนวนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นปลูกแตงดินช้าขนาดนี้ คงไม่มีทางออกผลให้เก็บได้”
เมื่อได้ยินว่ามีเคล็ดลับ ทุกคนก็ล้วนหยุดงานในมือของตนเอง แล้วพากันล้อมเข้ามา “เคล็ดลับอะไร สอนพวกข้าด้วยได้หรือไม่” ในสายตาของทุกคนต่างก็ฉายแววตื่นเต้นออกมา