คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 259 ยืมแต่ไม่คืน / ตอนที่ 260 ลืมบุญคุณ? เนรคุณคน?
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 259 ยืมแต่ไม่คืน / ตอนที่ 260 ลืมบุญคุณ? เนรคุณคน?
ตอนที่ 259 ยืมแต่ไม่คืน
หญิงชราเข้าไปใกล้หูจ่างหลิน พลันปั้นยิ้มปลอมๆ กล่าวว่า “จ่างหลิน ข้าขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง พวกข้าร้อนใจมาหาถึงที่นี่ตั้งแต่เช้า เป็นเพราะมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ เจ้าใหญ่ของข้าขาหัก เขานอนรออยู่ที่บ้านมาทั้งคืน เจ็บปวดมาทั้งคืน ทนมาถึงฟ้าสางได้อย่างยากลำบาก พวกข้าไปเชิญท่านหมอลู่มารักษาเจ้าใหญ่แล้ว แต่เจ้าเดาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
หูจ่างหลินมีสีหน้าดังเดิม “เขาเป็นหมอ พวกเจ้าเชิญเขาไปรักษาเจ้าใหญ่ เขาย่อมไปอย่างแน่นอน แต่ข้าเดาว่าเขาจะต้องขอให้พวกเจ้าจ่ายเงินก่อนรักษา ถูกต้องหรือไม่”
หลิวซื่อตะลึงงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
บนใบหน้าของหูจ่างหลินมีแต่ความเย้ยหยันและถากถาง เขาหัวเราะเสียงเบา “เจ้าลองชั่งใจดู คิดในมุมมองของคนอื่นดูก็จะรู้ หากข้าเป็นเขา ข้าก็จะขอให้พวกเจ้าจ่ายเงินก่อน แล้วค่อยทำการรักษาให้เช่นเดียวกัน”
ใครใช้ให้พวกเจ้ามีประวัติไม่ดีมาก่อนเล่า!
หญิงชราและหลิวซื่อต่างก็มีสีหน้าอึดอัดใจ ในใจรู้สึกแค้นเคืองนัก ทว่าก็ไม่กล้าแสดงอารมณ์โกรธออกมาในตอนนี้
“เจ้าพูดถูก ก่อนหน้านี้พวกข้าทำไม่ถูกต้องจริงๆ แต่ข้าคืนเงินที่ติดค้างลู่จ่างชุนไว้จนหมดแล้ว ใช้เงินทั้งหมดที่พวกข้ามีเลยทีเดียว ตอนนี้ที่บ้านไม่มีเงินอีกแม้สักแดงเดียวแล้ว ข้าวในถังข้าวก็หมดเกลี้ยงไปนานแล้วเช่นกัน อย่าว่าแต่รักษาให้เจ้าใหญ่เลย แม้แต่ข้าวสักมื้อก็ยังกินไม่อิ่ม” หญิงชรายิ้มเจื่อน ขณะพูดก็ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหางตาที่แห้งกรังของนาง ราวกับว่ามีน้ำตาไหลอาบลงมาจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
หูจ่างหลินไม่ตกหลุมพรางนาง เขาโบกมือกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่ามาพูดกับข้าเลย เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลยสักนิด”
หญิงชราพลันกล่าวขึ้นมาทันควัน “ข้ารู้ๆ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ นั่นแหละ แต่เจ้าก็เห็นสภาพของพวกข้าแล้ว เจ้าให้ข้ายืมเงินก่อนสักสิบตำลึงได้หรือไม่ เมื่อรักษาเจ้าใหญ่หายดี พวกข้าจะคิดหาวิธีนำเงินมาคืนเจ้า”
“คิดหาวิธีนำเงินมาคืนข้า? คิดหาวิธีอะไร คืนอย่างไร อาศัยข้าวสาลีสองหมู่ที่ตอนนี้มีแต่วัชพืชทั้งผืนของพวกเจ้ารึ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวสาลีสองหมู่นั้นได้แล้ว จะขายได้เป็นเงินถึงสิบตำลึงเลยหรือ” หูจ่างหลินพูด
ให้พวกนางยืมเงิน ก็ไม่ต่างอะไรกับให้เนื้อไปกับสุนัข ย่อมไม่มีทางได้กลับคืนมา
หลิวซื่อก็ยิ้มเจื่อนๆ เช่นกัน “เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน ถึงพวกข้าจะคืนไม่ได้ แต่จ้าวหลานมีเงินไม่ใช่หรือ นางคืนเงินแทนพวกข้าได้ เจ้าวางใจเถอะ”
หูจ่างหลินรู้อยู่แล้วว่าพวกนางจะมาไม้นี้ แต่ฝันไปเสียเถอะ
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว ข้าไม่มีเงินให้ยืม ไปเสีย พวกข้าสกุลหูไม่ต้อนรับพวกเจ้า” หูจ่างหลินพูดจบก็ไล่พวกนางออกไป
สำหรับคนเช่นนี้แล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรทั้งนั้น พวกนางก็ไม่หวังให้ใครไว้หน้าพวกหน้าเช่นกัน ทว่าเวลาที่พวกนางได้รับผลประโยชน์แล้ว ก็ย่อมเหยียบย่ำผู้อื่นอย่างลำพองใจ
หญิงชราและหลิวซื่อถูกไล่ออกมาเช่นนี้ ทั้งสองรู้สึกโกรธขึ้งเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจคิดบัญชีกับหูจ่างหลินได้ ยิ่งไม่อาจให้บุตรชายของสกุลไป๋มาจัดการเขาได้
หลิวซื่อเกิดความคิดเฉียบแหลมขึ้นบางอย่าง “ท่านแม่ ตอนนี้จ้าวหลานจะต้องไปยังพื้นที่สร้างบ้านเป็นแน่ ครั้งก่อนข้าเห็นนางกับไป๋จื่อที่นั่น กำลังเข็นรถเข็นคันหนึ่งไปส่งข้าวเช้าให้พวกคนงาน”
แม่สามีรีบจูงมือหลิวซื่อเดินไปยังพื้นที่สร้างบ้านทันที ตรงนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของหูจ่างหลิน ห่างกันเพียงร้อยก้าวเท่านั้น
ทว่าเพิ่งจะเข้าใกล้ต้นฉัตรจีนเก่าแก่ พวกนางก็เห็นจ้าวหลานและบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างๆ รถเข็น ทั้งสองสนทนาไปพลาง ยิ้มหัวเราะไปพลาง หน้าตาทั้งคู่ดูเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง ส่วนเหล่าคนงานชายกำลังกินข้าวเช้า อันได้แก่หมั่นโถวและโจ๊กที่ข้าวเยอะกว่าน้ำเป็นไหนๆ
พวกนางสองคนท้องว่าง เมื่อได้กลิ่นหมั่นโถวกับโจ๊กแล้ว ก็ย่อมรู้สึกหิวจนหน้าอกติดกับแผ่นหลังในทันที
ทันใดนั้น พวกนางถลาไปถึงหน้ารถเข็นอย่างเร็วรี่ ไม่สนใจว่าสายตาของจ้าวหลานและบุรุษผู้นั้นจะมีความตกใจมากมายเพียงใด ทั้งสองคนเปิดผ้าฝ้ายบางๆ ที่ปิดอยู่บนถังไม้ออกด้วยความร้อนใจ ก่อนจะยื่นมือไปคว้า ทั้งห้านิ้วกางออกอย่างสุดกำลัง หวังว่าจะคว้าหมั่นโถวสักแปดถึงสิบลูกออกมาได้ในคราวเดียว
……….
ตอนที่ 260 ลืมบุญคุณ? เนรคุณคน?
ทว่าในถังไม้ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของหมั่นโถวแม้สักนิด…
สถานการณ์ของถังไม้อีกใบหนึ่งก็ไม่ต่างกัน ไม่เหลือน้ำแกงข้าวให้กินแม้สักคำ…
เดิมทีแล้วยังเหลืออยู่ ทว่าจ้าวหลานให้อู๋เจียงและหลี่เฉิงนำกลับบ้านไปให้ภรรยาและลูกของพวกเขากินแล้ว ดังนั้นในตอนนี้จึงไม่เหลืออะไรเลยแม้สักนิด
จ้าวหลานมุ่นคิ้วมองพวกนาง “พวกเจ้ากำลังทำอะไร แย่งสิ่งของรึ”
หลิวซื่อพลันโมโหขึ้นมา นางโยนผ้าฝ้ายที่จับไว้ในมือลงบนพื้นอย่างแรง “ข้ามาแย่งอะไรของเจ้า ในถังนี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว แล้วข้าแย่งอะไรของเจ้ากัน”
จ้าวหลานไม่อยากมีเรื่องกับนาง ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ หลิวซื่อหน้าแดงเถือกไปหมด ช่างไม่น่ามองเลยจริงๆ
นางหันไปพูดกับอาอู่ “อาอู่ พวกเรากลับกันเถอะ อย่าไปสนใจพวกนาง”
หญิงชราถึงตามองหลิวซื่อครั้งหนึ่ง นับเป็นการตำหนิที่นางแสดงอารมณ์โกรธในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม ไม่รู้จักดูเลยว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร พวกนางต้องการขอร้องจ้าวหลาน ยังไม่ได้เงินมาถึงมือ ก็ระบายโทสะออกมาเช่นนี้แล้ว นี่ไม่เท่ากับตัดหนทางของตนเองหรือ
นางหัวเราะพลางพูดกับจ้าวหลานว่า “หลานจื่อ อย่าถือสาพี่สะใภ้ของเจ้าเลยนะ นางก็อารมณ์ร้อนเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร จะสนใจนางไปไย เจ้ามานี่สิ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
สตรีสูงวัยยื่นมือไป หมายจะจับแขนของจ้าวหลาน อยากจะพานางไปพูดคุยกันอีกด้านหนึ่ง
แต่จ้าวหลานกลับหลบเลี่ยงการสัมผัสของอดีตแม่สามี ก่อนจะกล่าวเสียงเย็น “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเจ้า”
หลิวซื่อแหวเสียงแหลม “หลานจื่อ เจ้าอย่าได้ลืมบุญคุณ เนรคุณคน หลายปีมานี้หากไม่ใช่เพราะมีสกุลไป๋ เจ้าจะมีวันนี้ได้หรือ จื่อเอ๋อร์ของเจ้าจะเติบใหญ่มาได้อย่างสงบสุขหรืออย่างไร วันนี้เจ้าใหญ่กำลังลำบาก เจ้าเห็นคนจะตายแต่ไม่ช่วยไม่ได้”
ลืมบุญคุณ? เนรคุณคน?
ลืมบุญคุณอะไร? แล้วเนรคุณอะไรกัน?
จ้าวหลานอยากจะหัวเราะ คำพูดโบราณเหล่านั้นช่างไม่มีความหมายเลยสักนิด นางไม่อยากพูดจามากความกับพวกนางแล้ว จึงถอนหายใจเสียงหนึ่ง แล้วพูดกับอาอู่ “ข้าจะกลับไปก่อน เจ้าเข็นรถกลับไปคนเดียวได้หรือไม่”
อาอู่รีบตอบ “ได้ขอรับ ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยู่ลำพังได้”
เมื่อเห็นจ้าวหลานจะไปแล้ว หญิงชราและหลิวซื่อก็รีบขวางนางไว้ ฝ่ายหญิงชรากล่าวว่า “เจ้าไปไม่ได้ เจ้าใหญ่บาดเจ็บ กำลังรอเงินไปรักษา เจ้าจะไม่สนใจไม่ได้ ครั้งก่อนเจ้ามือหัก ข้าก็นำเงินสองตำลึงออกมารักษาให้เจ้าไม่ใช่หรือ ไม่ใช่สิ ไม่ใช่สองตำลึง แต่เป็นสี่ตำลึง สี่ตำลึงเงินเต็มๆ เชียวนะ เจ้าอย่าได้บอกว่าลืมไปหมดแล้ว”
จ้าวหลานจ้องมองหญิงชราตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “ข้าไม่ลืมหรอก ยิ่งไม่ลืมด้วยว่ามือของข้าหักได้อย่างไร และลูกสาวของข้าถูกสองแม่สามีและสะใภ้ใหญ่อย่างพวกเจ้าตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอย่างไร เจ้ายังมีหน้ามาขอเงินจากข้าอีกหรือ คิดว่าข้าจะให้งั้นสิ?”
หญิงชราและหลิวซื่อต่างก็ตะลึงงัน เพราะพวกนางไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของจ้าวหลานมาก่อน เย็นชา แม้กระทั่งเมินเฉย สีหน้าของนางทำให้ไฟโทสะที่เกิดจากความเหิมเกริมของพวกนางหายไปมากกว่าครึ่งในทันที
อาอู่ที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็มีสีหน้าโกรธขึ้งโดยพลัน น้าหลานและแม่นางไป๋เป็นคนดีมาก คิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางจะเคยตรากตรำอยู่ในน้ำมือของสตรีชั่วสองคนนี้มาก่อน
หญิงชรายื่นมือไป หมายจะจับแขนของจ้าวหลานไว้ รั้งให้พูดคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ทว่าอาอู่กลับดันนางไปอีกด้านหนึ่ง “จะพูดก็พูด ไยต้องใช้กำลัง”
หลิวซื่อรีบร้อนเข้าไปประคองแม่สามีที่ถูกอาอู่ดันออกมา ก่อนจะร้องเสียงแหลม “เจ้าเป็นใคร เรื่องในครอบครัวของพวกข้า เจ้าจะเข้ามายุ่งได้หรือ” ดวงตาโหดเหี้ยมของนางพิจารณาอู่ตามอำเภอใจ นางแค่นหัวเราะพลางกล่าวว่า “หรือจ้าวหลานจะรังเกียจที่หูจ่างหลินอายุมาก ใช้งานไม่ได้ จึงชอบพอชายชาตรีอายุน้อยเช่นเจ้ากระมัง เจ้าเป็นคู่ครองใหม่ของนางรึ”
ทันทีที่อาอู่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็บันดาลโทสะโดยสิ้นเชิง ถลกแขนเสื้อขึ้น ต้องการจะเข้าไปโต้แย้ง
จ้าวหลานรีบเรียกเขาไว้ “อาอู่ อย่าไปสนใจพวกนาง แต่ไหนแต่ไรพวกนางก็ชอบจาโดยไร้มูลเหตุเช่นนี้ หากเจ้าแตะต้องพวกนางแม้แต่ปลายนิ้ว พวกนางคงได้แกล้งนอนเจ็บไข้เป็นเดือนแน่”
คำพูดของจ้าวหลานสะกิดเส้นประสาทของหลิวซื่อและหญิงชราเข้าให้แล้ว!