คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 387 หนอนตะกละ / ตอนที่ 388 จดหมายจากเมิ่งหนาน
ตอนที่ 387 หนอนตะกละ
เจ้ารองถูกต่อว่าอย่างสาดเสียเทเสีย จึงเกิดโทสะขึ้นมาเช่นกัน “ท่านแม่ ท่านหมายความว่าอย่างไร เรื่องใหญ่เทียมฟ้าที่ว่าคืออะไร พี่ใหญ่แขนหัก เชิญหมอมารักษาก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ ท่านคิดจะให้ข้าทำอย่างไรไม่ทราบ”
หญิงชรายังคงชี้ไปที่ข้าวสาลีที่เปียกฝนอยู่ในลานบ้าน ต่อว่าอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าดูสิ เจ้าดูว่านั่นคืออะไร ข้าวสาลีคุณภาพดีเปียกฝนจนมีสภาพเช่นนั้นแล้ว ยังจะขายให้ผู้ใดได้อีก เสบียงอาหารที่จะใช้ในฤดูหนาวของพวกเราก็หมดสิ้น เจ้าตาบอดหรือไร”
เจ้ารองชำเลืองมองข้าวสาลีหนึ่งคันรถครั้งหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้ว แล้วรีบไปพาฟู่กุ้ยมา “ไม่ต้องตะลึงลานแล้ว รีบขนมันลงมา นำไปวางไว้ในเรือนไม้ก่อน”
หลังจากบุรุษทั้งสองไปทำงาน หญิงชราก็มองไปยังใบหน้าของจางซื่อ นางทั้งเย็นชาทั้งร้ายกาจอยู่ในที “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ที่เจ้ารองยืนกรานจะแยกบ้านกับพวกข้า ล้วนเป็นเพราะมีเจ้ายุแหย่อยู่เบื้องหลัง อย่าได้ตายใจไปเสียล่ะ”
จางซื่อแค่นหัวเราะ “ข้ายุแหย่? ท่านปฏิบัติตัวกับเจ้ารองอย่างไร ท่านไม่ได้รู้อยู่แก่ใจเลยหรือ เจ้ารองไม่ใช่คนโง่ เขายังต้องการให้ข้ายุแหย่อีกหรือไร”
สายตาของนางกวาดมองไปยังเจ้าใหญ่และไป๋ฟู่กุ้ยที่อยู่ข้างๆ แล้วแค่นหัวเราะอีกครั้ง “ตอนที่แยกบ้านเมื่อวาน ข้าบอกว่าข้าวสาลีนี้ต้องแบ่งกันบ้านละครึ่ง แล้วท่านพูดว่าอย่างไร ท่านบอกว่าข้าวเหล่านี้ล้วนต้องให้บ้านใหญ่ เงินที่ขายได้ก็ต้องเก็บไว้ให้เสี่ยวเฟิงใช้เรียนหนังสือ ได้ พวกข้าก็ไม่โต้เถียงกับพวกท่าน ตอนนี้เสียอีก พวกเขาขนข้าวสาลีออกไปก่อเรื่องกลับมา ทิ้งข้าวสาลีไว้บนถนนโดยที่ไม่สนใจ ครั้นมันเปียกฝน ท่านกลับกล่าวโทษเจ้ารอง ใต้หล้านี้ยังมีเหตุผลอยู่หรือไม่ อีกอย่าง ปีนี้บุตรชายของข้าเพิ่งจะอายุสิบสาม แต่ต้าเป่าอายุเท่าไรกัน แต่ละวันฟู่กุ้ยทำงานมากเพียงไร ส่วนต้าเป่าทำงานมากแค่ไหนยังไม่ต้องพูด สิ่งที่ข้าจะพูดในตอนนี้คือ ฟู่กุ้ยและสามีของข้าตากฝนทำงานอยู่ข้างนอก ทว่าต้าเป่าเป็นคนเดียวที่นั่งว่างไม่มีอะไรทำอยู่ที่นี่ ท่านไม่มีอะไรจะพูดกับเขาเลยหรือไร”
“ไม่ทราบว่าต้าเป่ากับเสี่ยวเฟิงเป็นหลานชายของท่าน แล้วฟู่กุ้ยกับเจินจูไม่ได้แซ่ไป๋เหมือนกันหรอกหรือ”
หญิงชราโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก เมื่อก่อนนางเป็นเจ้าบ้านหลังนี้ ไม่มีใครกล้าโต้เถียงกับนาง ทว่าวันนี้ทุกคนในบ้านกลับกล้าตะโกนใส่นางเสียหลายคำ ไม่มีใครหวาดหวั่นนางเช่นในอดีตอีก หรือทุกคนเห็นว่านางแก่ชราเกินไปแล้ว อยากให้นางตายโดยเร็วกระมัง
ทางสกุลไป๋เกิดการทะเลาะเบาะแว้งอย่างต่อเนื่อง ส่วนทางด้านของไป๋จื่อดื่มชาอย่างสบายใจอยู่ในโรงน้ำชาร่วมกันทั้งครอบครัว
“จื่อยาโถว ฝนหยุดแล้วพวกเราก็กลับเถอะ บ้านของเจ้าใกล้จะเสร็จแล้ว พวกเราถือโอกาสตอนที่มีเวลาว่าง เริ่มทำความสะอาดก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่มีงานกองสุม เช่นนั้นต้องเก็บกวาดยากเป็นแน่” หูจ่างหลินไม่เคยมาดื่มชาที่โรงน้ำชามาก่อน ความรู้สึกยามมีคนมาคอยรับใช้ ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
ไป๋จื่อยิ้มพลางโบกมือ “พวกท่านไม่ต้องกังวลเรื่องการทำความสะอาดนะเจ้าคะ ข้าตกลงกับพี่สาวหลายคนไว้แล้ว หากพวกนางมาทำงานให้ข้า ข้าจะมอบเงินให้พวกนางยี่สิบเหรียญทองแดงต่อวัน ข้าว่าอย่างมากสองสามวันก็น่าจะเสร็จสิ้นแล้ว”
จ้าวซู่เอ๋อรีบกล่าว “งานเช่นนี้ข้าทำคนเดียวก็ได้ ไหนเลยจะต้องเชิญคนอื่นมาทำด้วยเล่า”
เด็กสาวลูบศีรษะหรูเอ๋อร์ พูดพลางยิ้มกริ่ม “ท่านดูแลหรูเอ๋อร์ให้ดีก็พอแล้วเจ้าค่ะ หากมีเวลาว่างก็ช่วยข้าทำอาหาร ท่านไม่ต้องทำงานอย่างอื่นหรอก”
หรูเอ๋อร์กินผลไม้แห้งอยู่เต็มปาก ครั้นได้ยินพี่ไป๋จื่อพูดถึงชื่อตน นางจึงรีบเงยดวงตากลมๆ เล็กๆ ขึ้น “อืมๆ ข้าชอบอาหารที่ท่านแม่ทำที่สุดเลย อร่อยยิ่ง!”
ทุกคนพากันหัวร่อ อาอู่หยิกแก้มของบุตรสาวด้วยความเอ็นดู “เจ้าเนี่ยนะ ช่างเป็นหนอนตะกละเสียจริง วันๆ รู้จักกินเท่านั้น”
“ข้ายังเด็กอยู่เลย เด็กย่อมรู้จักแต่กินอยู่แล้ว ไม่กินแล้วจะโตได้อย่างไรกัน” หรูเอ๋อร์ตอบพร้อมทำปากจู๋ ท่าทางน่ารักน่าชังนัก
……….
ตอนที่ 388 จดหมายจากเมิ่งหนาน
จ้าวหลานเอ็นดูหรูเอ๋อร์นัก เพราะนางทั้งน่ารักและว่าง่าย เหมือนกับจื่อเอ๋อร์ตอนเด็กๆ แต่กลับโชคดีกว่าจื่อเอ๋อร์มากทีเดียว
อย่างน้อยตอนนี้นางก็ไม่ต้องทนรับความขื่นขมเช่นที่จื่อเอ๋อร์เคยรับ และเติบใหญ่ได้อย่างมีความสุข
นางลูบเรือนผมสีดำของหรูเอ๋อร์ กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าขนมของร้านสรรพรสไม่เลวเลยทีเดียว อีกเดี๋ยวพาหรูเอ๋อร์ไปเลือกสักสองสามอย่างสิ อีกไม่นานก็จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว พวกเราก็ควรซื้อขนมไหว้พระจันทร์กลับไปด้วย”
เมื่อพูดถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว ไป๋จื่อก็พลันนึกถึงดวงจันทร์กลมโตกระจ่างฟ้า ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงนี้ หากนางกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยนั้นแล้ว คราวนี้จะได้เจอกับอะไรอีก
เมื่อดื่มชาเสร็จ ไป๋จื่อก็พาทุกคนไปที่ร้านสือเค่อ ได้พบกับเถ้าแก่เฉินที่กำลังตรวจบัญชีอยู่ในร้านพอดิบพอดี
“แม่นางไป๋มารึ! เจ้านี่ช่างหาตัวจับยากนัก ตั้งแต่คุณชายเมิ่งจากไปคราวก่อน เจ้าก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย” เถ้าแก่เฉินโยนสมุดบัญชีในมือให้ผู้ดูแลร้าน แล้วรีบเข้าไปใกล้ไป๋จื่อ
ไป๋จื่อกวาดสายตามองในร้านอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากินข้าว ทว่าที่นั่งภายในร้านกลับถูกจับจองจนเต็มแน่น กลิ่นหอมของอาหารก็แทบจะทำให้ผู้ที่ได้กลิ่นหลงมัวเมาเลยทีเดียว
“กิจการร้านสือเค่อของเถ้าแก่เฉินไม่เลวเลย!” นางพูดพร้อมรอยยิ้ม
เถ้าแก่เฉินรีบประสานมือคารวะนาง “นั่นเป็นเพราะแม่นางไป๋ล้วนๆ หากไม่ได้เจ้าสอนทำอาหารหลายอย่างนั้น บวกกับแตงดินที่รับมาจากเจ้า กิจการของข้าคงไม่เฟื่องฟูเช่นนี้ กำไรที่ได้ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนหลายเท่าตัวเชียวล่ะ”
เด็กสาวโบกมือ “ขายดีย่อมเป็นเรื่องดี ใช้แตงดินของข้าได้มากๆ ย่อมเป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่ข้าต้องขอเตือนท่านไว้นะเจ้าคะ แตงดินในที่ดินของข้าเหลือไม่มากแล้ว หากหมดแล้วก็จะไม่มีอีก ต้องรอปลูกอีกครั้งในปีหน้าเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่เฉินหน้าเจื่อนไปในทันที “ทำเช่นไรดี ตอนนี้ร้านสือเค่อของพวกข้าก็หวังพึ่งอาหารสี่อย่างนี้เชิดหน้าชูตาทั้งนั้น หากไม่มีอาหารสี่อย่างนี้แล้ว ก็คงขายไม่ค่อยดีแล้วล่ะ”
ไป๋จื่อพลันเกิดความคิดที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
“เดิมทีวันนี้ข้าตั้งใจพาพวกเขามากินข้าว นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเถ้าแก่เฉินพอดี ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าก็มีความคิดบางอย่างเช่นกัน พวกเราลองหารือกันหน่อยดีหรือไม่”
เถ้าแก่เฉินย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น จึงรีบเรียกผู้ดูแลร้านด้วยสีหน้าเบิกบาน “รีบพาแขกผู้มีเกียรติเหล่านี้ไปที่ห้องรับรองชั้นบน นำอาหารขึ้นชื่อของร้านเราไปให้ด้วย ดูแลให้ดี วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง”
ไป๋จื่อกล่าวกับหูจ่างหลินและจ้าวหลานว่า “พวกท่านไปกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้ากับเถ้าแก่เฉินจะคุยธุระกันเล็กน้อย อีกเดี๋ยวจะตามไป”
อาอู่เคยพบเถ้าแก่เฉินมาก่อนเช่นกัน ตนรู้ว่าเขาเป็นคนดี จึงพยักหน้าด้วยความสบายใจ “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะดูแลพวกเขาเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เด็กสาวตามเถ้าแก่เฉินไปยังห้องบัญชีบนชั้นสอง ครั้นเพิ่งนั่งลง เถ้าแก่เฉินก็ถามขึ้นก่อนว่า “แม่นางไป๋ เจ้าได้อ่านจดหมายจากคุณชายเมิ่ง ที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อครั้งก่อนแล้วใช่หรือไม่”
เมื่อพูดถึงจดหมาย ไป๋จื่อก็ถึงจะนึกออกจริงๆ เพราะหลังจากรับจดหมายฉบับนั้นแล้ว นางก็เก็บมันไว้ใต้หมอนตลอด ต่อมาที่บ้านเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ยิ่งมีเรื่องหูเฟิงเข้าร่วมกองทัพอีก พักนี้นางจึงทั้งยุ่งทั้งวุ่นวายใจ พาให้ลืมจดหมายฉบับนั้นไปเสียสนิท
เถ้าแก่เฉินเห็นท่าทางของไป๋จื่อแล้วก็ต้องถอนใจ “ดูท่าเจ้าจะยังไม่ได้อ่าน มิน่าเล่าถึงยังไม่ได้ตอบจดหมายของคุณชาย”
ไป๋จื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ายังไม่ได้ตอบจดหมายเขา”
อีกฝ่ายหัวเราะมีเลศนัย ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังหลังโต๊ะหนังสือ หยิบจดหมายออกมาจากในลิ้นชักเสียหลายฉบับ แล้ววางลงตรงหน้าของไป๋จื่อทั้งหมด “เจ้าดูสิ”
นางรับจดหมายมา ทุกฉบับถูกแกะอ่านหมดแล้ว นางจึงดึงกระดาษจดหมายสีขาวออกมาจากในซองได้โดยตรง ตัวหนังสือบนจดหมายมีไม่มาก ทว่าความหมายแจ่มชัด ทั้งหมดมีสามฉบับ และเนื้อหาภายในจดหมายเหล่านั้นล้วนเหมือนกันทั้งหมด