คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 419 นับรุ่นยากแล้ว / ตอนที่ 420 รับบ้าน
ตอนที่ 419 นับรุ่นยากแล้ว
เสี่ยวเฟิงรีบตอบรับ เขาไม่มีอะไรจะให้เด็กหญิง ทว่าขนมกุ้ยฮัวบนโต๊ะยังเหลืออยู่ เขาจึงหยิบชิ้นหนึ่งยื่นไปให้หรูเอ๋อร์
“หรูเอ๋อร์เด็กดี กินขนมสักชิ้นสิ”
เด็กก็คือเด็กอยู่วันยันค่ำ ครั้นเห็นของอร่อย ความหวั่นเกรงบนใบหน้าของนางก็พลันมลายไปราวกับหมอกควัน หลังจากยื่นมือไปรับมาแล้ว นางก็ยิ้มหวานกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ชาย!”
หูจ่างหลินที่อยู่ข้างๆ รู้สึกปีตินัก “ข้าว่าการนับรุ่นของพวกเจ้ามั่วไปหมดแล้ว ข้าจะลองจัดการให้ดูสักหน่อย จื่อยาโถวเรียกอาอู่ว่าพี่อู่ เรียกซู่เอ๋อว่าพี่สะใภ้ ส่วนหรูเอ๋อร์เรียกจื่อยาโถวว่าพี่สาว ตอนนี้มีเสี่ยวเฟิงเพิ่มเข้ามา เขาเป็นหลานชายของอาอู่ หรูเอ๋อร์เรียกเขาว่าพี่ชายนับว่าไม่มีปัญหา ควรจะเรียกเช่นนี้อยู่แล้ว แต่เสี่ยวเฟิงกับจื่อยาโถวควรจะเรียกกันอย่างไรดี ข้าว่าเสี่ยวเฟิงน่าจะอายุเพียงสิบสองกระมัง”
“สิบสามแล้วขอรับ” เสี่ยวเฟิงรีบกล่าว
จ้าวหลานรีบถามบ้าง “เกิดเดือนอะไรเล่า”
“เกิดเดือนสามขอรับ” เด็กชายตอบ
หูจ่างหลินกล่าวยิ้มๆ “เสี่ยวเฟิงแก่เดือนกว่าจื่อยาโถวตั้งครึ่งปีแน่ะ!”
สายตาของเสี่ยวเฟิงเบนไปมองไป๋จื่อ นางเพิ่งอายุสิบสามหรือ ทั้งยังเด็กกว่าตนเองอีก เหตุใดยามที่นางพูดจาถึงได้ไม่เหมือนเด็กอายุสิบสามเลยเล่า
ไป๋จื่อกล่าวเสียงเรียบ “เรียกอะไรก็ได้ทั้งนั้น ก็เป็นแค่คำเรียก ในเมื่อข้ากับเสี่ยวเฟิงอายุไล่เลี่ยกัน ทั้งไม่ใช่ญาติสนิทเท่าไร เช่นนั้นก็ไม่ต้องนับรุ่นอะไรกัน เรียกชื่อก็เพียงพอแล้ว ข้าเรียกเขาว่าเสี่ยวเฟิง เขาเรียกข้าว่าไป๋จื่อ เช่นนี้ดีหรือไม่”
อาอู่พยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ๆๆ เรียกกันเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว เรื่องลำดับอาวุโสล้วนเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ พวกข้าไม่ถืออยู่แล้ว”
เห็นทุกคนรวมตัวกันอยู่เช่นนี้ ไป๋จื่อจึงพาทุกคนไปที่บ้านใหม่ด้วยกัน ฝ่ายนายช่างซ่งพ่อลูกกำลังรออยู่ในลานบ้าน เมื่อทั้งสองคนเห็นนางมาถึง ก็รีบเดินมาต้อนรับในทันที
“แม่นางไป๋ วันนี้พวกข้าตื่นแต่เช้า จัดการงานขั้นตอนสุดท้ายจนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเจ้าก็ลองตรวจดูก่อนเถอะ หากมีปัญหาอะไรก็บอกข้าได้เลย”
เดิมทีบ้านเป็นอาคารแบบตะวันตกสองชั้นครึ่ง ต่อมามีอาอู่มาอยู่ร่วมด้วย ไป๋จื่อจึงเพิ่มอีกชั้นหนึ่งในทันที เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงกลายเป็นอาคารแบบตะวันตกจำนวนสามชั้นครึ่ง ชั้นแรกสุดไม่มีห้องอะไร มีเพียงโถงรับแขกและห้องน้ำชา ส่วนชั้นที่สองและสามแบ่งเป็นสองห้องนอน และด้านบนสุดมีห้องอีกหนึ่งห้อง รวมถึงดาดฟ้าขนาดใหญ่
บ้านประเภทนี้ อย่าว่าแต่คนในหมู่บ้านหวงถัวไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่ผู้มีประสบการณ์สร้างบ้านมาหลายปีอย่างนายช่างซ่งก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน
บ้านหลังนี้สร้างตามความต้องการของไป๋จื่อตั้งแต่แรกเริ่ม และไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อสร้างเสร็จในที่สุดแล้ว บ้านจะมีหน้าตาเป็นเช่นนี้ แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์ ทั้งยังทำให้คนต้องกล่าวชมอย่างอดไม่อยู่
ขอเพียงคนในหมู่บ้านหวงถัวมีเวลาว่าง ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรมามองดูที่นี่อยู่เนิ่นนานในทุกวัน แต่ละคนต่างก็ประหลาดใจระคนชมเชย พวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นฝีมือการออกแบบของไป๋จื่อ มิหนำซ้ำยังคิดว่าเป็นงานเฉพาะทางของเหล่านายช่างที่มาจากในเมือง คนที่รู้สึกสนอกสนใจมากเคยสอบถามถึงราคาอยู่เช่นกัน แต่จะมีใครจ่ายเงินมากมายถึงเพียงนั้นได้
นายช่างซ่งกล่าว “เถ้าแก่ร้านสือเคอส่งคนมาหาข้าแล้ว เขาก็อยากสร้างบ้านใหม่เช่นกัน บอกว่าให้ข้าสร้างบ้านเหมือนกับเจ้า แม่นางไป๋ เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร” เขามีความกังวลใจอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรเสียนี่ก็เป็นแบบบ้านที่แม่นางไป๋ออกแบบเองกับมือ เขาเพียงจัดการตามนั้น หากแม่นางไป๋ไม่ยินยอม เขาย่อมไม่อาจทำได้
ไป๋จื่อยิ้มกล่าว “ย่อมได้เจ้าค่ะ ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของข้ากับพี่ใหญ่เฉิน ถึงแม้จะไม่ใช่คนใกล้ชิดกัน ก็สามารถนำแบบบ้านไปสร้างตามได้เจ้าค่ะ แต่ข้าต้องขอเตือนสักคำ ว่าการออกแบบที่ค่อนข้างพิเศษนี้ หากไม่ไปใช้มันได้นับเป็นเรื่องดีที่สุด ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้พวกเขาใช้แบบบ้านนี้นะเจ้าคะ แต่พวกเขาไม่เข้าใจหลักการของมัน หากสร้างเสร็จแล้วเกิดปัญหา พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าควรแก้ไขอย่างไร เช่นนั้นจะลำบากมาถึงพวกท่าน หากไม่จำเป็นก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยนะเจ้าคะ”
………
ตอนที่ 420 รับบ้าน
ก่อนหน้านี้นายช่างซ่งไม่ได้คิดถึงปัญหานี้ บัดนี้ไป๋จื่อเอ่ยเตือนขึ้นมา เขาคิดทบทวนอย่างละเอียดแล้วก็เป็นจริงอย่างที่นางว่าไว้ จึงรีบกล่าวขอบคุณนาง “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก!”
เสี่ยวเฟิงไม่เคยเห็นบ้านในลักษณะนี้มาก่อน เมื่อเข้าไปด้านในแล้ว มองไปตรงไหนก็รู้สึกแปลกใหม่ไปเสียหมด ขณะเดียวกันก็กล่าวในใจว่าในอดีตบ้านของตนก็นับว่าร่ำรวย บ้านที่อาศัยอยู่ถือว่ากว้างขวางมาก มีคนรับใช้คอยปรนนิบัติสิบกว่าคน ทว่าอาศัยอยู่แล้วไม่ได้สบายใจถึงเพียงนั้น ช่างน่าขันเสียจริง
หลังจากมองดูแต่ละชั้นแล้ว ไป๋จื่อเห็นเสี่ยวเฟิงตื่นเต้นทีเดียว จึงพาเขาไปที่ห้องชั้นบนสุด “เจ้าว่าห้องนี้เป็นอย่างไร”
เสี่ยวเฟิงมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน แล้วมองออกไปข้างนอกขณะยืนอยู่ตรงรั้วดาดฟ้า ทิวทัศน์ทั่วทั้งหมู่บ้านกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ได้ยืนอยู่บนที่สูงเช่นนี้ อากาศดูจะสดชื่นเป็นพิเศษทีเดียว
“ที่นี่ดีนัก!” เสี่ยวเฟิงเอ่ยปากชม
ไป๋จื่อยิ้ม “เจ้าชอบก็ดีแล้ว ต่อไปเจ้าก็อยู่เสียที่นี่แหละ” เดิมทีนางจะใช้ห้องนี้เป็นห้องหนังสือ ตอนนี้เห็นทีมันเหมาะจะมีเจ้าของห้องมากกว่าแล้ว
เสี่ยวเฟิงมีแต่ความตื่นเต้นฉายชัดบนใบหน้า “จริงหรือ ข้าอยู่ที่นี่ได้จริงๆ หรือ”
เด็กสาวพยักหน้า “แน่นอน ต่อไปนี้เจ้านับเป็นครอบครัวเดียวกับข้า ที่ใดมีพวกข้า ที่นั่นย่อมมีเจ้าด้วย”
เขาอยากจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ค่อยเหมาะสม จึงกดข่มความรู้สึกปีติในหัวใจไว้อย่างเต็มกำลัง ทว่าบนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเบ่งบานดังเดิม
นี่สิถึงจะเป็นท่าทางที่ควรมีของเด็กอายุสิบสาม ครั้นเห็นเขาดีใจ ไป๋จื่อก็รู้สึกดีมากเช่นกัน “ท่าทางจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ไปเถอะ พวกเราเข้าเมืองกันดีกว่า”
หลังจากไป๋จื่อลงไปถึงชั้นล่างแล้ว นางก็บอกเรื่องที่เสี่ยวเฟิงจะอาศัยอยู่ที่นี่ให้หูจ่างหลินและโจวอาอู่รับทราบ
อาอู่ไม่มีความเห็นใด หลานชายได้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกับตนย่อมดีกว่า
ทว่าหูจ่างหลินเหมือนจะลังเลเล็กน้อย เขากล่าวกับไปจื่อว่า “เสี่ยวเฟิงก็อายุไม่น้อย แม้จะอายุไล่เลี่ยกับเจ้า ทว่าก็โตกว่าเจ้าอยู่บ้าง อยู่ด้วยกันเช่นนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”
หูจ่างหลินคิดถึงหัวอกของหูเฟิง ไป๋จื่อจะเป็นภรรยาในอนาคตของหูเฟิง หากอยู่ร่วมกับเสี่ยวเฟิงนานเกินไป เกิดข่าวลือที่ไม่น่าฟังอะไรขึ้น เช่นนั้นแล้วย่อมไม่ดีต่อใครทั้งสิ้น
ไป๋จื่อโบกมือ “มีอะไรไม่เหมาะสมกันเจ้าคะ ข้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้นแล้ว พวกเราทุกคนมีความสุขก็พอ อีกอย่าง ข้ากับเสี่ยวเฟิงเองก็อยู่กันคนละห้อง พวกพี่อู่เองก็อยู่ด้วยไม่ใช่หรือ”
จ้าวหลานก็กล่าวว่า “จริงด้วย ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมตรงไหน ชีวิตของพวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับผู้อื่นเสียหน่อย พวกเรามีความสุขก็เพียงพอแล้วจริงๆ จื่อเอ๋อร์เองก็เป็นคนที่มีความคิดความอ่าน ท่านเองก็รู้จักนางดีไม่ใช่หรือ”
หูจ่างหลินหัวเราะฮ่าๆ ก็จริงของพวกนาง นิสัยของจื่อยาโถวนั้น ยังต้องให้ผู้อื่นมาหนักใจอีกหรือ นางไม่ได้เป็นคนไม่รู้จักคิดเสียหน่อย
“พวกเจ้าพูดถูกแล้ว เป็นข้าเองที่เลอะเลือน เป็นห่วงในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ช่างเถอะ ข้าจะไม่พูดแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเข้าเมืองกันหรือไร พวกเจ้ารีบไปกันเถอะ ข้าจะอยู่เก็บกวาดเอง”
เมื่อจ้าวหลานได้ยินดังนั้น นางก็รีบพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นข้าเองก็จะไม่ไป ให้คนหนุ่มสาวไปสนุกกันดีกว่า ข้าจะอยู่ช่วยเก็บกวาดบ้านด้วยเช่นกัน”
ไป๋จื่อเห็นพวกเขาใจตรงกันเช่นนี้ นางก็ไม่อยากจะแยกพวกเขาออกจากกัน จึงยิ้มหวานขึ้นมาทันใด “รู้แล้ว อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไปนะเจ้าคะ ควรพักก็พักเสีย”
ยามที่นางยิ้มกว้าง ก็เหมือนกับดอกไม้ที่งดงามที่สุดในฤดูใบไม้ผลิเบ่งบาน ปล่อยกลิ่นหอมชวนเมามายออกมา ในดวงตาคู่สวยราวกับมีดวงดาวนับหมื่นพันทอประกาย
เสี่ยวเฟิงเห็นแล้วก็พลันตกอยู่ในภวังค์ ที่แท้ยามที่นางยิ้มก็งดงามเช่นนี้เชียว ดุจเทพเซียนในภาพวาด สดใสและมีชีวิตชีวายิ่ง
จนกระทั่งอาอู่ลากรถม้ามาถึงด้านนอกลานบ้าน เขาถึงจะตื่นจากภวังค์ แล้วรีบเบือนสายตาของตนเองออกไป เขารีบกวาดสายตามองทุกคนอย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าไม่มีใครมองเขาอยู่ เขาถึงจะถอนใจด้วยความโล่งอกออกมา