คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 451 ฟังบัญชาสวรรค์ / ตอนที่ 452 แม่นมอู๋
ตอนที่ 451 ฟังบัญชาสวรรค์
จ้าวหลานจับมือของไป๋จื่อ สีหน้าของนางจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “จื่อเอ๋อร์ เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบถึงชีวิตที่เหลือของเจ้า หนังสือหมั้นหมายนี้เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าไม่อาจกลับคำได้อีกตลอดไป”
ไป๋จื่อยิ้ม “ท่านแม่ ท่านคิดมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเคยบอกกับท่านแล้วไม่ใช่หรือ ว่าการหมั้นหมายนี้เป็นเรื่องลวง เพียงเพื่อหลบเลี่ยงคนสกุลเมิ่งเท่านั้น เพื่อให้พวกเราได้ใช้ชีวิตที่สงบสุข มันก็แค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น ท่านเห็นมันเป็นเรื่องจริงจังได้อย่างไรกัน”
ฝ่ายมารดาส่ายหน้า “ไม่ เรื่องนี้จะทำเป็นเล่นไม่ได้ หูเฟิงเป็นคนดี หากเจ้าชอบพอเขาจากใจจริง ข้าย่อมเห็นด้วยให้เจ้าหมั้นหมาย แต่ถ้า…”
บางคำพูดไม่เหมาะจะพูดออกไป ทว่านางเป็นแม่ ถึงแม้ไม่เหมาะสมเท่าไร ก็จำต้องพูดออกไปอยู่ดี “แต่วันนี้เขาไปถึงสมรภูมิแล้ว จะกลับมาได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าเป็นหม้ายมาแล้วเกือบทั้งชีวิต ข้าจึงไม่อยากให้เจ้าเดินในเส้นทางเดียวกันกับข้า จื่อเอ๋อร์ พวกเราค่อยคิดหาทางจัดการเรื่องนี้ดูอีกครั้งดีหรือไม่ เมื่อหูเฟิงกลับมาแล้ว ขอเพียงเขากลับมา พวกเจ้าแต่งกันในทันทีก็ย่อมได้”
นี่คือความแตกต่างระหว่างคนโบราณกับคนสมัยใหม่สินะ
ในยุคปัจจุบัน อย่าว่าแต่กลับคำหลังจากหมั้นหมายแล้วเลย เพราะแม้แต่การหย่าร้างก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ทว่าในยุคโบราณแห่งนี้ เมื่อหมั้นหมายแล้วไม่อาจบิดพลิ้วได้อีก โดยเฉพาะฝ่ายหญิง หากฝ่ายหญิงเป็นคนถอนหมั้น ชาวบ้านจะครหาว่าสุกเอาเผากิน ไม่รู้จักอาย
ทว่าหากฝ่ายชายถอนหมั้น ชาวบ้านก็ยังจะครหาว่าฝ่ายหญิงไร้ศีลธรรมจรรยา ไร้ความสามารถ แม้แต่บุรุษผู้เดียวก็รั้งไว้ไม่ได้ มีแต่จะดาหน้ามาประณามและหัวเราะเยาะไม่จบสิ้น
ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
“ท่านแม่ ความจริงข้าเขียนหนังสือหมั้นหมายแล้วเรียบร้อย ท่านดูสิ” นางหยิบหนังสือหมั้นหมายที่ประทับลายนิ้วมือแล้วออกมาจากในย่าม ก่อนจะยื่นไปให้จ้าวหลาน
จ้าวหลานไม่รู้หนังสือ ย่อมไม่รู้ว่าบนกระดาษใบนั้นเขียนอะไรไว้บ้าง เพียงเห็นรอยนิ้วมือสีแดงที่รู้สึกเตะตาเท่านั้น
นางถอนหายใจยาวๆ เสียงหนึ่ง แล้วยื่นหนังสือหมั้นหมายคืนให้ไป๋จื่อ “เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ เฮ้อ…ช่างเถอะๆ ฟังบัญชาสวรรค์ก็แล้วกัน!”
…
ไม่มีใครคาดคิด ว่าคนจากสกุลเมิ่งจะมาถึงรวดเร็วปานนั้น เร็วเสียจนรับมือไม่ทัน
ผู้ที่มาเยือนคือแม่นมอู๋ หากจะให้คนอื่นมาดู สวี่ซื่อก็ไม่ยอมวางใจ จึงส่งแม่นมอู๋ ผู้ที่นางไว้ใจที่สุดมาที่นี่
รถม้าของแม่นมอู๋หยุดลงที่หน้าประตูบ้านใหม่ของไป๋จื่อ ประตูรั้วเปิดอยู่ ข้างในกำลังขนถ่ายสินค้า เครื่องเรือนใหม่เอี่ยมถูกขนลงจากรถลากชิ้นแล้วชิ้นเล่า โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ชั้นวางอะไรล้วนมีพร้อมสรรพ คนงานหลายคนทำงานสอดประสานกันอย่างต่อเนื่อง บางคนรับหน้าที่ขนถ่าย บางคนรับหน้าที่จัดวาง
แม่นมอู๋ออกมาจากในรถ นางไม่รีบร้อนลงจากรถ เพียงยืนมองเข้าไปในรั้วบ้านจากบริเวณหน้ารถ ดวงตากวาดมองไม่หยุดหย่อน พิจารณาบ้านใหม่หลังนี้อยู่หลายครา
รูปแบบของบ้านหลังนี้แปลกตาพิกล นางไม่เคยเห็นในเมืองหลวงด้วยซ้ำไป
ทันใดนั้น แม่นางน้อยร่างผอมบางผู้หนึ่งก็ออกมาจากในลานบ้าน สั่งเหล่าคนงานให้ทำบางอย่าง ท่าทางกระฉับกระเฉงน่ามองทีเดียว แต่ก็ออกจะผอมเกินไปอยู่ดี
“ท่านมาหาใครหรือ” เด็กหนุ่มตัวบางเดินอ้อมรถม้า มาถึงยังตรงหน้าของแม่นมอู๋
แม่นมอู๋เหยียบบันไดลงจากรถม้า สายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้าเป็นคนบ้านนี้หรือ”
เสี่ยวเฟิงพยักหน้า “ใช่ ข้าเป็นคนบ้านนี้ ท่านมาหาใครหรือ” เขามุ่นคิ้วเล็กน้อย เพราะเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสท่านนี้ดูไม่ค่อยสบอารมณ์ นางคงไม่ได้มาหาเรื่องกระมัง
“ข้ามาหาแม่นางไป๋จื่อ นางอยู่หรือไม่” แม่นมอู๋กล่าว
เด็กหนุ่มหันไปมองไป๋จื่อที่อยู่ในลานบ้าน ไม่เพียงไม่ตอบ แต่ยังย้อนถามว่า “ท่านมาหานางด้วยธุระใด มีเรื่องอะไรก็บอกกับข้าได้”
แม่นมอู๋ส่ายหน้า “บอกกับเจ้าไม่ได้ ว่าแต่เจ้าเป็นน้องชายของนางหรือ” นางกล่าวอมยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำให้พี่สาวของเจ้าลำบากหรอก เพียงถามไม่กี่คำก็จะไปแล้ว”
……….
ตอนที่ 452 แม่นมอู๋
แม่นมอู๋พูดจบก็เดินเข้าไปด้านใน โดยมีสาวใช้สองคนตามหลังนางไปติดๆ
“ดูท่าเจ้าคือแม่นางไป๋สินะ!” ก่อนที่แม่นมอู๋จะเดินทางมาที่นี่ นางย่อมไปพบเถ้าแก่เฉินก่อนแล้ว และรู้เรื่องราวเกี่ยวกับไป๋จื่อมาจากเขาบ้างแล้วเช่นกัน เขาบอกว่าไป๋จื่อเพิ่งอายุสิบสามปีเต็ม ไม่เพียงหน้าตาสะสวย ยังฉลาดเฉลียวเป็นอย่างยิ่ง ใคร่ครวญดูแล้วเหมือนจะเป็นแม่นางน้อยเบื้องหน้าผู้นี้ไม่มีผิดเพี้ยน
ไป๋จื่อมองผู้มาเยือน เป็นผู้อาวุโสแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้จะแต่งกายเรียบง่าย ทว่าสีสันของเสื้อผ้ากลับแตกต่างกับคนธรรมดาทั่วไป ด้านหลังนางมีสาวใช้ที่สวมเสื้อผ้าไม่ขี้เหร่อีกสองคน บนศีรษะของผู้อาวุโสประดับทองไว้ด้วย ท่าทางมาจากตระกูลใหญ่ทีเดียว
น่าจะเป็นคนจากสกุลเมิ่งกระมัง
“ข้าคือไป๋จื่อ ท่านเป็นใครกัน” นางมองผู้อาวุโสตรงหน้าด้วยแววตาสงบนิ่ง สตรีผู้นี้ไม่มีทางใช่มารดาของเมิ่งหนาน อย่างมากน่าจะเป็นแม่นม หรือสาวใช้อาวุโสที่สุดในสกุล
แม่นมอู๋กล่าวด้วยสีหน้าเรียบสงบ “ข้ามาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่าแม่นางเคยได้ยินชื่อสกุลเมิ่งแห่งเมืองหลวงหรือไม่”
เมื่อแม่นมอู๋เอ่ยถึงสกุลเมิ่งแห่งหลวง สีหน้าของนางดูเคร่งขรึมขึ้นมาถนัดตา ราวกับเป็นชื่อสกุลที่ครอบครองความยิ่งใหญ่ไว้ก็ไม่ปาน
ไป๋จื่อได้ยินดังนั้นกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร และไม่ได้แสดงท่าทางประหลาดใจ หรือประจบสอพลอเมื่อผู้ที่สูงส่งกว่ามาเยือนเช่นที่แม่นมอู๋จินตนาการไว้
เด็กสาวพยักหน้า “เคยได้ยินเจ้าค่ะ ข้ารู้จักคุณชายของสกุลเมิ่งด้วย แต่เขากลับเมืองหลวงไปแล้ว เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงจะไม่ได้เจอกันอีก”
แม่นมอู๋เลิกคิ้ว “ชั่วชีวิตนี้คงจะไม่ได้เจอกันอีก? แม่นางแน่ใจหรือ”
ไป๋จื่อยักไหล่ “เรื่องราวบนโลกหล้านี้ ไม่มีเรื่องใดที่พูดได้อย่างแน่นอนหรอกเจ้าค่ะ ที่ข้าพูดเช่นนี้ในวันนี้ เพราะเขากลับเมืองหลวงไปแล้ว และหมู่บ้านในป่าเขาเล็กๆ แห่งนี้ก็อยู่ห่างจากเมืองหลวงเป็นพันลี้ เขาไม่มีทางมาสถานที่เช่นนี้อีก ส่วนข้าเองก็ไม่มีความคิดจะไปเมืองหลวง ข้าถึงได้พูดว่าคงจะไม่ได้พบกันอีก”
โบราณว่าไว้ หากทิ้งเบาะแสไว้ วันหน้าย่อมได้พบกัน
แม่นมไป๋หัวเราะอย่างเยือกเย็นครั้งหนึ่ง “แต่ตามที่ข้ารู้มาก พักนี้คุณชายยังเขียนจดหมายถึงเจ้าอยู่ เจ้าไม่คิดจะไปเมืองหลวงจริงหรือ”
“ข้ารู้จุดประสงค์ที่ท่านมาที่นี่ ข้าขอรับประกันกับท่านได้เลย ข้ามีคู่หมั้นแล้ว ถึงในอนาคตจะไปเมืองหลวง ข้าก็ต้องไปพร้อมกับสามีของข้า หวังว่าข้าพูดเช่นนี้แล้วท่านจะเข้าใจนะเจ้าคะ” ไป๋จื่อตัดบท
แม่นมไป๋ก็รู้เรื่องนี้มาจากเถ้าแก่เฉินแล้วเช่นกัน แต่นางยังคงไม่วางใจ หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แล้วนางจะวางใจลงได้อย่างไรกัน เมิ่งหนานเป็นทายาทหนึ่งเดียวของสกุลเมิ่งเชียวนะ หากเด็กสาวบ้านนอกเช่นนี้ล่อลวงเขาได้ ฮูหยินจะปวดใจเพียงใดกัน
“ไม่ทราบว่าตอนนี้คู่หมั้นของเจ้าอยู่ที่ใด” แม่นมอู๋ถาม
“บังเอิญนัก ก่อนหน้านี้เขาออกเดินทางไกล อีกหลายวันถึงจะกลับมา แต่หากท่านไม่เชื่อ ข้ามีหนังสือหมั้นหมาย ท่านได้ดูแล้วอาจจะวางใจลงก็เป็นได้” ไป๋จื่อยิ้มจางๆ กล่าวจบแล้วก็หยิบหนังสือฉบับนั้นออกมาจากในย่าม แล้วส่งไปให้แม่นมอู๋
อีกฝ่ายเองก็ไม่เกรงใจ ยื่นมือออกไปรับหนังสือหมั้นหมายมาอ่านทันที นางอ่านอย่างละเอียดเสียรอบหนึ่ง ทุกตัวอักษรชัดเจน ตราประทับนิ้วมือแจ่มแจ้งหาใดเปรียบ ของพรรค์นี้ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้ เพราะนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงทั้งชีวิตของสตรีนางหนึ่งเลยทีเดียว
แม่นมอู๋ส่งหนังสือฉบับนั้นคืนให้ไป๋จื่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็กลับไปได้อย่างสบายใจ ไม่รบกวนแม่นางแล้ว”
ไป๋จื่อพยักหน้า มองอีกฝ่ายจากไปด้วยสายตาเฉยชา ในใจรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปนางอาจจะได้พบเจอความท้าทายที่มากกว่านี้อีก
แต่ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายอะไร ก็อย่าหวังว่านางจะพ่ายแพ้
โจวเสี่ยวเฟิงยืนอยู่ข้างกายไป๋จื่อตลอดเวลา เห็นนางรับมือกับแขกจากเมืองหลวงอย่างเยือกเย็น เมื่อนางบอกว่าตนเองมีคู่หมั้นแล้ว เขารู้สึกแปลกใจมาก และไม่เชื่อว่าที่นางพูดเป็นความจริง เขาคิดว่านางใช้ลูกไม้นี้เพื่อหลบเลี่ยงผู้อาวุโสจากสกุลเมิ่งผู้นี้เท่านั้น