คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 455 คนเนรคุณ / ตอนที่ 456 ไม่นับการแยกบ้าน (1)
ตอนที่ 455 คนเนรคุณ
เมล็ดพันธุ์สมุนไพรที่ปลูกไว้แตกหน่อแล้ว สมุนไพรในที่ดินของไป๋จื่อเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์ของใบจื่อม่านเถิงก่อนหน้านี้ยังคงอยู่
หูจ่างหลินมองทุ่งสมุนไพรในที่ดิน พลางหัวเราะร่า “เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่วันเท่านั้น พวกมันก็ออกใบเบ่งบานแล้ว ในที่ดินสองหมู่ของข้าเพิ่งจะมีต้นอ่อนออกมาเท่านั้น หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าก็ควรจะไปภูเขาลั่วอิงอีกครั้งจริงๆ หาใบจื่อม่านเถิงมาอีกสักหน่อย”
ไป๋จื่อโบกมือ “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ เช่นนี้พอเหมาะพอเจาะแล้ว แบ่งช่วงกันเจริญเติบโต พวกเราจะได้ไม่ต้องกังวลว่าสมุนไพรในที่ดินจะเน่าตายก่อนขายออกไป พวกเราค่อยๆ ขายไปทีละรอบ ทีละรอบ แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
“เมื่อวานเถ้าแก่เฉินมาดูที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว เขาบอกว่าแตงดินใกล้หมดแล้วเช่นกัน ในร้านไม่มีรายการอาหารใหม่ กิจการย่ำแย่ลงไปมากทีเดียว เขากำลังรออาหารเป็นยานี้อยู่ เจ้าว่าอีกนานหรือไม่กว่าจะเก็บเกี่ยวได้” อาอู่ถาม
ไป๋จื่อคิดคำนวณดู “อย่างน้อยๆ ต้องรออีกหนึ่งเดือนกระมัง ตอนนี้เพิ่งจะแตกหน่อเท่านั้น หากไม่รอให้สมุนไพรนี้เจริญเติบโตจนเต็มที่ กินเข้าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับผักทั่วๆ ไป ประสิทธิภาพทางยาน้อยยิ่ง”
หูจ่างหลินมองชาวบ้านที่ชะเง้อคอมองพวกตนด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะกดเสียงพูดเบาๆ “สองสามวันนี้มีคนในหมู่บ้านมาสอบถามไม่น้อย ว่าพวกเรากำลังปลูกอะไรอยู่ และอยากจะปลูกบ้างเช่นกัน”
เด็กสาวยักไหล่ “พวกเขาถามมาก็บอกพวกเขาไปเถอะเจ้าค่ะ นี่ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วทุกคนก็ต้องรู้ แต่หากพวกเขาอยากปลูกเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย อันดับแรกต้องจัดหาเมล็ดพันธุ์สมุนไพรมาให้ได้ก่อน นี่ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์ผักทั่วๆ ไปที่จะหาซื้อได้ตามท้องถนนเสียกำใหญ่ เมล็ดพันธุ์ของข้าพวกนี้ล้วนเป็นพี่ใหญ่เฉินหามาให้จากเมืองหลวงด้วยซ้ำไป”
“อีกอย่าง คนที่ไม่คุ้นชินกับศาสตร์ของสมุนไพรลงมือปลูกสมุนไพร ล้อกันเล่นกระมัง แล้วใครจะกล้าซื้อสมุนไพรของพวกเขากัน”
หูจ่างหลินเข้าใจกระจ่างแจ้งทันที เขายิ้มกว้าง “เจ้าพูดมีเหตุผล เช่นนั้นข้าจะตอบพวกเขาไปเช่นนี้”
ทั้งสามคนขึ้นไปนั่งบนรถม้า แล้วบังคับรถกลับไปที่หมู่บ้าน เพิ่งเข้าหมู่บ้านไปได้ไม่ทันไรก็เห็นคนมากมายมุงอยู่นอกรั้วบ้านสกุลไป๋ เอะอะเสียงดังทีเดียว
หูจ่างหลินกวาดสายตามองจากในหน้าต่างบานเล็ก เขาแค่นหัวเราะกล่าวว่า “คนสกุลไป๋พวกนี้ อยู่อย่างสงบสักวันไม่เป็นเลยจริงๆ กลายเป็นที่สนใจของคนทั้งหมู่บ้านไปแล้ว”
หลิวซื่อและจางซื่อกำลังวิวาทกันอยู่ในลานบ้าน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทึ้งเรือนผมของกันและกัน ไม่มีใครยอมปล่อยมือ
หญิงชราลำเอียงช่วยแต่หลิวซื่อ ปากแม้จะต่อว่าอยู่ตลอด แต่จนแล้วจนเล่าก็มีแต่ชื่อของจางซื่อ เจ้ารองเป็นบุรุษ จะลงมือคงไม่เหมาะสม ได้แต่คอยไกล่เกลี่ยอยู่ข้างๆ ด้วยความร้อนใจ ทว่าน่าเสียดายนักที่ไม่มีใครฟังเขาพูดเลย
ไป๋เจินจูขดตัวอยู่ในมุมเรือน ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แววตาเหม่อลอย สีหน้าดำคล้ำ ไม่รู้ว่ากลัวหรือเกลียดชังกันแน่
หัวหน้าหมู่บ้านเบียดฝูงชนเข้ามา เห็นสภาพพวกนางเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้าทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบวางมืออีกรึ”
หลิวซื่อและจางซื่อต่างก็พัวพันอยู่ด้วยไกล ไม่มีใครได้เปรียบใคร ทั้งสองคนเจ็บหนังศีรษะเป็นอย่างมาก อยากจะปล่อยมือออกตั้งนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่มีจังหวะที่เหมาะสมเลย ตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว ถือเป็นจังหวะที่ดีที่สุด
สตรีทั้งสองนับว่าปล่อยอีกฝ่ายได้เสียที หลิวซื่อถ่มน้ำลายใส่จางซื่อครั้งหนึ่ง ก่อนจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “เจ้ามันกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา อกตัญญูนัก!”
จางซื่อไม่โกรธ เพียงตอกกลับไปว่า “ใครกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคากัน ข้ากินของของเจ้า ใช้ของของเจ้ารึ หลิวกว้าหัว”
หลิวซื่อไม่หยุดปาก “แม้เจ้าจะไม่ได้กินของของข้า แต่เงินที่น้องรองหามาได้ เจ้าล้วนนำไปให้คนสกุลจางทั้งสิ้น ที่เจ้าทำมันไม่กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคาอย่างไร”
“ให้คนสกุลจางแล้วอย่างไร? เจ้าแน่จริงก็นำเงินไปให้สกุลหลิวบ้างสิ ใครห้ามเจ้าไว้กัน อีกอย่าง ผู้ชายของเจ้าไร้ความสามารถ หาเงินไม่ได้ เจ้าคงจะรู้สึกอายอยู่สินะ อยากช่วยก็ช่วยไม่ได้กระมัง โอ้ จริงสิ วันก่อนพี่ใหญ่ของเจ้ามาที่นี่ด้วย เขาบอกว่าที่บ้านไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ เลยจะมาขอยืมข้าวจากเจ้าสักหน่อย เจ้าให้เขายืมไปแล้วใช่หรือไม่” จางซื่อแค่นหัวเราะ
……….
ตอนที่ 456 ไม่นับการแยกบ้าน (1)
เมื่อหญิงชราได้ยินดังนั้น สติของนางพลันขาดผึง ชี้หลิวซื่อพลางถามว่า “วันก่อนข้าวที่เหลืออยู่ในบ้านหายไป เจ้าบอกว่าเป็นเจ้ารองนำไปเพราะครั้งก่อนเจ้าขโมยข้าวของพวกเขามา ที่แท้เจ้านำไปให้คนสกุลหลิวหรือนี่”
หลิวซื่อรีบโบกมือ “ไม่ใช่นะเจ้าคะ ท่านแม่ ท่านอย่าไปฟังนางพูดเพ้อเจ้อ ข้าเคยนำข้าวของไปให้บ้านแม่ตั้งแต่เมื่อใด”
“ไม่ใช่หรอกหรือ เช่นนั้นข้าให้เจ้ารองไปถามบ้านแม่ของเจ้าดูดีหรือไม่ พวกเราพูดตรงๆ กันต่อหน้า ดูสิว่าใครกันแน่ที่พูดโกหก” จางซื่อกล่าว
ทันทีที่หลิวซื่อยินวาจาของอีกฝ่าย สีหน้าของนางก็ลนลานขึ้นเรื่อยๆ “ข้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ ยังจำเป็นต้องถามใครอื่นอีกหรือไร เจ้าช่างน่าไม่อายนัก”
หัวหน้าหมู่บ้านปวดหัวตึบๆ เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เอาล่ะ ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ไยต้องวิวาทเสียงดังจนไก่ตื่น สุนัขเตลิดเช่นนี้ด้วย พวกเจ้าลองเบิกตาดูหน่อยสิ ว่าทั้งหมู่บ้านหวงถัวของพวกเรามีครอบครัวใดเหมือนพวกเจ้าบ้าง”
หญิงชราหน้าง้ำในทันใด “หัวหน้าหมู่บ้าน พวกข้ามีชีวิตเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงได้ต้องทะเลาะกันเช่นนี้อย่างไรเล่า หากใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป อย่างไรวันข้างหน้าก็ต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ดี”
“คนอื่นยังใช้ชีวิตได้เลย ไยพวกเจ้าทำไม่ได้กัน ข้าแบ่งที่ดินให้พวกเจ้าน้อยไป หรือว่าคนสกุลไป๋พวกเจ้าไม่เอาอ่าวกันแน่” หัวหน้าหมู่บ้านแค่นหัวเราะ
ฝ่ายหญิงชราโบกมือบ้าง “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย พูดเรื่องเจ้ารองดีกว่า เขาหาเงินมาได้ แทนที่จะรู้จักกตัญญูมอบให้คนเป็นแม่อย่างข้า แต่กลับนำไปให้สกุลจาง เจ้าว่าบนโลกใบนี้มีหลักการเช่นนี้ที่ไหนกัน”
หลิวซื่อฟังแล้วก็พูดต่อทันควัน “นั่นน่ะสิ บนโลกใบนี้มีหลักการเช่นนี้ที่ไหนกัน หาเงินมาได้แล้วไม่ให้ที่บ้าน แต่กลับนำไปให้คนอื่น พวกเขาถูกผีเข้าสิงหรือไรกัน” นางพูดพลางมองตาขวางใส่จางซื่อ
เจ้ารองทนฟังต่อไปอีกไม่ไหว จึงก้าวขึ้นมาโต้เถียง “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ท่านอย่าฟังพวกนางพูดมั่วเลยขอรับ หลายวันมานี้พวกข้าช่วยจื่อยาโถวพลิกหน้าดินและลงเมล็ดพันธุ์ ได้เงินมาจำนวนหนึ่งจริงๆ ทว่าภรรยาของน้องรองสกุลจางป่วยพอดี น้องรองใช้เงินที่มีอยู่รักษานางไปจนหมดแล้ว พวกข้ากับพวกเขานับเป็นครอบครัวเดียวกัน ยามที่พวกข้าลำบาก พวกเขาก็เคยช่วยพวกข้าไว้เช่นกัน วันนี้พวกเขาพบความลำบากบ้าง แล้วพวกข้าจะยืนมองอยู่เฉยๆ ได้หรือ นี่ไม่ใช่ความคิดของซูเหมยเพียงคนเดียว เพราะข้าเองก็คิดเช่นเดียวกันกับนาง”
หัวหน้าหมู่บ้านได้ยินแล้วก็พยักหน้า กล่าวในใจว่าหลังจากเจ้ารองแยกบ้านกับบ้านใหญ่แล้ว นับวันเขายิ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นจริงๆ
นี่เป็นเหตุผลหลักที่หญิงชราไม่พอใจ นางรู้สึกเสียดายนัก เสียดายที่ปล่อยให้บุตรชายคนรองแยกบ้านไป วันนี้ขาของเจ้าใหญ่ยังไม่หายดี แต่ถึงแม้จะหายดีแล้วก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อก่อนนางไม่เคยคาดคิดเลยเช่นกัน ว่าเจ้ารองจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ ทั้งยังเปลี่ยนไปรวดเร็วนัก นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่นานเท่านั้น เขาก็หาเงินมาจุนเจือที่บ้านได้แล้ว ทว่าเมื่อหันกลับมามองบ้านใหญ่ หนทางข้างหน้ามีแต่ความมืดมน เสี่ยวเฟิงไม่มีเงินเรียนหนังสือแล้ว ในบ้านก็เรียกได้ว่าถังแตกอย่างสมบูรณ์ อยากจะไปยืมเงินเพื่อเอาชีวิตรอดไปได้ก็คงไม่มีหวัง หลานชายคนโตใจเสาะ ขี้กลัว ทั้งยังขี้เกียจ ส่วนหลานชายคนเล็กเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กจนทำอะไรไม่เป็น ยิ่งหวังพึ่งพาไม่ได้
“การแยกบ้านในตอนนั้นเป็นพวกเจ้าที่บีบบังคับข้า ข้าไม่นับ และข้าไม่ยอมรับด้วย” หญิงชรานั่งจุ้มปุ๊กลงบนพื้น แค่นหัวเราะกล่าวว่า “ข้าเป็นแม่ของเขา เป็นคนให้กำเนิดเขามา จนถึงตอนนี้แล้วข้ายังไม่ได้กินข้าวที่เขาหามาได้เลยสักคำ แต่เขาเองกลับนำเงินไปมอบให้คนอื่นไปทั่ว ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
หัวหน้าหมู่บ้านเห็นนางยังคงดื้อด้าน ในใจรู้สึกจนใจยิ่งนัก หญิงชราผู้นี้ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ขี้เกียจจนเสียเวลาทั้งชีวิตไปแล้ว