คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 463 หูเฟิงส่งจดหมายมา (6) / ตอนที่ 464 หูเฟิงส่งจดหมายมา (7)
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 463 หูเฟิงส่งจดหมายมา (6) / ตอนที่ 464 หูเฟิงส่งจดหมายมา (7)
ตอนที่ 463 หูเฟิงส่งจดหมายมา (6)
“ถูกต้อง เมื่อก่อนพวกข้าสกุลลู่ก็เคยวิวาทกันเช่นนี้ ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ” หมอลู่พูดขึ้นบ้าง
ในที่สุดฮูหยินอันก็ยิ้มออกมาได้ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” นางหันกลับไปมองสามีที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนจะเห็นว่าเขาขยับมือแล้ว จึงรีบปรี่เข้าไปที่ข้างเตียง จับมือของสามีเอาไว้จนแน่น “จ่างฟู่ เจ้าฟื้นแล้วหรือ เจ้าฟื้นแล้วใช่หรือไม่ หากเจ้าฟื้นแล้วก็ลืมตามองหน้าข้าหน่อยเถิด”
ไป๋จื่อกับหมอลู่ก็ก้าวเข้าไปเช่นกัน พลางมองหัวหน้าหมู่บ้านค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขามองฮูหยินอันที่อยู่เบื้องหน้า เห็นนางตาแดงก่ำ บนใบหน้ายังหลงเหลือคราบน้ำตา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ไยเจ้าถึงร้องไห้ ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย!”
เห็นเขาล้อเล่นได้เช่นนี้ ฮูหยินอันก็วางใจลงได้เสียที น้ำตายิ่งผุดออกมาไม่ขาดสาย นางทั้งร้องไห้ไปด้วย ทั้งต่อว่าสามีไปด้วย
ไป๋จื่อและหมอลู่ถอยออกมา นางบอกกับหมอลู่ว่า “ข้าจะออกใบสั่งยาให้ท่าน ทั้งยังต้องรบกวนท่านช่วยจัดยาให้พวกเขาเสียหน่อยนะเจ้าคะ”
หมอลู่รีบพูด “ดูเจ้าพูดเข้าสิ รบกวนอะไรของเจ้า ข้าเป็นหมอนะ ข้าทำเรื่องเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
เด็กสาวรับพู่กันและกระดาษที่อีกฝ่ายยื่นให้ นางเขียนใบสั่งยาอย่างรวดเร็ว “วัตถุดิบยาเหล่านี้แม้จะไม่แพง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้เงิน ข้าจะออกเงินให้เองเจ้าค่ะ”
นางหยิบเหรียญเงินออกจากในกระเป๋าติดกายจำนวนหนึ่ง แต่หมอลู่กลับดันมือนางกลับไป “ข้ามีวัตถุดิบยาเหล่านี้อยู่ที่บ้านอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้เงินไปซื้อหรอก มันมีค่าเป็นเงินไม่เท่าไร เจ้าไม่ต้องให้ข้าหรอกนะ”
ทั่วทั้งหมู่บ้านรู้จักนิสัยของหัวหน้าหมู่บ้านดี หัวหน้าหมู่บ้านเคยช่วยพวกเขามาไม่น้อย วันนี้เกิดเรื่องกับเขาเช่นนี้บ้าง พวกเขาย่อมอยากยื่นมือเข้าช่วย ไฉนเลยจะต้องพูดถึงเรื่องเงิน
ครั้นเห็นหมอลู่ยืนกราน ไป๋จื่อก็ไม่เซ้าซี้อีก นางยิ้มถามว่า “ได้ยินลู่ผิงอันบอกว่า ขี้ผึ้งที่ท่านทำขายได้ดีทีเดียว ทั้งยังไปขายที่เมืองหลวงด้วยหรือเจ้าคะ”
หมอลู่ยิ้มกว้าง “ข้ากำลังจะพูดเรื่องนี้กับเจ้าอยู่พอดี ข้าทำตามที่เจ้าบอก ปรับแก้สูตรขี้ผึ้งที่ตกทอดในสกุลลู่ของพวกข้าเล็กน้อย เพิ่มจ่วนไป่เข้าไปสามกำ ผลออกมาเป็นอย่างที่เจ้าว่าไว้ ประสิทธิภาพของมันดีขึ้นมากกว่าเก่า ทีแรกข้าฝากขายขี้ผึ้งที่ร้ายขายยา แต่ไม่มีคนมาถามถึงสักเท่าไร ข้าเดาว่าพนักงานไม่ได้ช่วยข้าแนะนำสินค้ามากนัก ต่อมาข้ามีโอกาสได้ไปคิดเงินที่ร้านขายยา มีคนสองคนเข้ามาซื้อขี้ผึ้งพอดี ข้าแนะนำขี้ผึ้งที่ข้าทำเองให้พวกเขาไป พวกเขาไม่เชื่อข้า แต่ก็อยากจะลองดูสักหน่อย จึงซื้อขี้ผึ้งสองชนิดกลับไป ใครจะรู้ว่าไม่กี่วันต่อมา เจ้าของร้านขายยามาหาข้าที่หมู่บ้านโดยเฉพาะ เขาบอกให้ข้าส่งขี้ผึ้งแบบเดียวกันให้พวกเขาอีกสิบตลับ หลังจากนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร ไม่ว่าจะทำขี้ผึ้งสักเท่าไรก็ขายได้ทั้งหมด ทั้งยังได้นำไปขายที่เมืองหลวงด้วย เมื่อวานเถ้าแก่ร้านขายยาบอกให้ข้าทำขี้ผึ้งมากหน่อย เพราะต้องส่งไปให้เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บในกองทัพใช้ ค่อนข้างเร่งทีเดียว ให้เวลาข้าเพียงเจ็ดวันเท่านั้น ต้องการถึงหนึ่งพันตลับเชียวแน่ะ ข้าทำคนเดียวคงไม่มีทางทำเสร็จแน่”
ไป๋จื่อพลันเกิดความคิด นางยิ้มถามว่า “ท่านจึงอยากได้ตัวข้า อยากให้ข้าช่วยท่านทำด้วยกันใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หมอลู่รีบพยักหน้า “ข้ารู้ว่าช่วยนี้เจ้ายุ่งมาก แต่เรื่องนี้ก็เร่งด่วนมากๆ จริงๆ”
“ข้าช่วยท่านได้เจ้าค่ะ แต่ข้าช่วยทำเปล่าๆ คงไม่ได้” ไป๋จื่อว่า
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว เอาอย่างนี้ พวกเราแบ่งกันทำคนละครึ่ง ออกเงินซื้อวัตถุดิบด้วยกัน ขายได้เงินเท่าไรก็แบ่งกันคนละครึ่ง เจ้าคิดเห็นอย่างไร” หมอลู่ยิ้มกว้างทีเดียว
ไป๋จื่อพยักหน้า “ยุติธรรมมากเจ้าค่ะ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
หมอลู่กล่าวต่อทันที “ได้ ตกลงตามนี้ ข้าจะไปรับวัตถุดิบในเมืองก่อน เจ้ารอข้ากลับมาแล้วค่อยเริ่มทำแล้วกัน”
……….
ตอนที่ 464 หูเฟิงส่งจดหมายมา (7)
ไป๋จื่อเห็นเขารีบร้อนจะออกเดินทาง จึงรีบเรียกเขาไว้ก่อน “ข้าฝากท่านซื้อหม้อต้มยาได้หรือไม่ แต่ต้องใหญ่หน่อยนะเจ้าคะ ข้าจะให้เงินถามเพิ่มอีก”
หมอลู่รับคำนางแล้วถึงจากไป ไป๋จื่อกล่าวในใจว่า ไยแต่ก่อนนางไม่เคยคิดเลยว่าทำขี้ผึ้งหรือยาลูกกลอนจะขายเป็นเงินได้ด้วย ถือเป็นการค้าขายชั้นเยี่ยมทีเดียว ขอเพียงประสิทธิภาพของยาแรงมากพอ ไหนเลยต้องกลัวว่าจะขายไม่ออก เกรงว่าคนอื่นจะถือเงินมาต่อแถวขอซื้อเสียมากกว่า
งานนี้สบายกว่าปลูกสมุนไพรมากนัก ทำกำไรได้มากยิ่งกว่า ทั้งยังไม่ต้องนั่งตรวจอาการคนไข้เหมือนหมอในโรงหมออีกต่างหาก ดียิ่งนัก
“พี่ไป๋ ข้าหิวแล้ว” หรูเอ๋อร์มาถึงข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เด็กหญิงดึงชายเสื้อของนาง ทั้งยังเงยหน้าเล็กๆ ขึ้น มองนางด้วยสีหน้าน่าสงสาร
ไป๋จื่อนั่งยองลง อุ้มหรูเอ๋อร์ไปวางไว้บนเก้าอี้ตัวยาวข้างๆ โต๊ะกลางลานบ้าน “เจ้ากินขนมไปก่อนนะ พี่สาวจะไปทำอาหารให้เจ้าเอง”
หรูเอ๋อร์พยักหน้าอย่างว่าง่าย ไป๋จื่อลูบหัวนางอีกครั้งหนึ่ง แล้วถึงจะหมุนกายเดินไปที่ห้องครัว
ข้าวของในห้องครัวมีไม่มาก แต่สิ่งที่ควรมีก็มีพร้อม นางจุดไฟอย่างรวดเร็ว ต้มโจ๊กเสียหม้อหนึ่ง จากนั้นค่อยใช้ผักที่จัดการล้างไว้แล้วในห้องครัวมาทำเป็นผักเคียงรสชาติสดชื่นอีกสองสามอย่าง
นางทำอะไรคล่องแคล่วฉับไวมาแต่ไหนแต่ไร บวกกับมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงแต่ทำอะไรขึ้นมาแล้วไม่ล่าช้า ประสิทธิภาพของสิ่งที่ทำออกมาก็สูงมากทีเดียว
ฮูหยินอันเห็นนางยกโจ๊กและผักเข้ามาในเรือน ก็พลันยิ้มไม่หุบ “ใช้เวลาไม่นานเท่านั้น เจ้าก็ทำอาหารเสร็จแล้วหรือนี่”
ไป๋จื่อเม้มปากยิ้มจาง “ไม่ใช่แค่ทำอาหารนะเจ้าคะ ข้าออกใบสั่งยาให้ท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ทั้งยังคุยธุระกับท่านหมอลู่อีกต่างหาก”
ยิ่งมองไป๋จื่อเท่าไร ฮูหยินอันก็ยิ่งชอบนาง ถ้าหากตนเองมีหลานสาวเช่นนางบ้างสักคนจะดีเพียงใดกัน ไม่รู้ว่ายายเฒ่าสกุลไป๋คิดอ่านอย่างไร ถึงได้ไม่ต้องการหลานสาวที่แสนดีเช่นนี้ คนอื่นอยากจะได้ลูกหลานเช่นนี้บ้างยังหาไม่ได้เลย
ฮูหยินอันป้อนโจ๊กให้หัวหน้าหมู่บ้านไปพลาง ถามไป๋จื่อไปพลาง “จื่อยาโถว เจ้าเรียนวิชาแพทย์มาจากที่ใดหรือ”
ไป๋จื่อรู้อยู่แล้วว่านางต้องถาม จึงใคร่ครวญวิธีตอบคำถามเอาไว้แล้ว นางรับคำในทันที “หลายปีก่อนข้าเก็บตำราแพทย์ได้เล่มหนึ่ง ข้าเรียนรู้ตามตำรานั้น นับว่าเรียนด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินอันยกนิ้วโป้งให้นาง “เด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลมนัก ข้าได้ยินมาว่าหลายๆ คนเรียนวิชาแพทย์มาทั้งชีวิตก็เรียนไม่ได้ แต่เจ้ากลับเก่งกาจถึงขนาดเรียนตามตำราได้เองเช่นนี้”
เด็กสาวเกาศีรษะ “ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้นเองเจ้าค่ะ พวกท่านรีบกินโจ๊กเถอะ ข้ายังต้องไปช่วยงานในที่ดินอีก ขอฝากหรูเอ๋อร์ไว้กับพวกท่านก่อนนะคะ”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะดูแลหรูเอ๋อร์ให้ดี” ฮูหยินอันไปส่งนางที่หน้าประตู
ไป๋จื่อเพิ่งก้าวเท้าออกจากประตูได้ไม่กี่ก้าว นางก็เหลือบเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง กำลังสะพายกล่องไม้เดินเข้าไปในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านไป
นางมองเงาหลังที่รีบร้อนของคนผู้นั้น ก่อนจะคิดในใจว่า ‘คงไม่ใช่นายไปรษณีย์กระมัง’
จดหมายของหูเฟิงจะอยู่ในกล่องไม้นั่นหรือไม่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางหันศีรษะกลับไปโดยพลัน แต่เพิ่งจะเข้าไปในลานบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ก็เห็นคนผู้นั้นสะพายกล่องไม้ออกมาแล้ว ส่วนฮูหยินอันยืนอยู่ที่หน้าประตู ในมือถือจดหมายอยู่สองฉบับ
“ใช่จดหมายของหูเฟิงหรือไม่” ไป๋จื่อถาม
ฮูหยินอันส่ายหน้า “ข้าไม่รู้หนังสือ เจ้าดูเอาเองเถิด” นางพูดพลางยื่นจดหมายให้ไป๋จื่อ
ลายมือบนซองจดหมายทั้งสองเหมือนกัน บนซองหนึ่งเขียนที่อยู่บ้านไป๋จื่อเอาไว้ ส่วนอีกซองหนึ่งเขียนที่อยู่ของจูหม่านหยิน
“จูหม่านหยินคือใครหรือเจ้าคะ” ไป๋จื่อถาม
“จูหม่ายหยินก็คือบุตรชายของจูซื่อ จูซื่อไปเข้าร่วมกองทัพกับหูเฟิง” ฮูหยินอันเอ่ย
ไป๋จื่อเข้าใจในทันที เช่นนั้นก็ไม่แปลก ทั้งสองคนเดินทางไปด้วยกัน แน่นอนว่าต้องใช้ชีวิตในค่ายทหารด้วยกันแน่ จูซื่อไม่รู้หนังสือ หน้าที่เขียนจดหมายกลับบ้านจึงตกเป็นของหูเฟิงไปโดยปริยาย
นางส่งจดหมายของจูหม่านหยินคืนให้ฮูหยินอัน “จดหมายฉบับนี้จูซื่อส่งกลับมาให้ที่บ้าน ท่านเก็บไว้ก่อนนะเจ้าคะ อีกเดี๋ยวภรรยาของจูซื่อจะต้องมารับไปแน่”