คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 505 ช่วยจิ้นอ๋องกำจัดคนทรยศ / ตอนที่ 506 อาการกำเริบอีกแล้ว
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 505 ช่วยจิ้นอ๋องกำจัดคนทรยศ / ตอนที่ 506 อาการกำเริบอีกแล้ว
ตอนที่ 505 ช่วยจิ้นอ๋องกำจัดคนทรยศ
เขาหมุนกายปรี่เข้าไปถึงตรงหน้าของไป๋จื่อ แล้วยื่นมือไปจับแขนของนางไว้ เร่งถามว่า “เขาอยู่ที่ไหน ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
ไป๋จื่อส่ายหน้า “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่เขาจะต้องกลับมาแน่นอน เขาบอกว่ายังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก”
“เขาไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้หรือ” จอมพลหวังเอ่ยถาม
ไป๋จื่อส่ายหน้า “ไม่ได้บอกอะไรขอรับ” ไม่ใช่ว่านางจงใจหลอกเขา เพียงแต่การมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จำต้องมีจิตใจระแวดระวังคน จอมพลตรงหน้าดูเหมือนจะเดินทางเดียวกับพวกตน แต่ถึงอย่างไรเสียนางก็เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรก ก่อนที่จะเปิดเผยเรื่องของหูเฟิง ก็ต้องรู้เจตนาของเขาให้ได้โดยเร็วที่สุด ขอเพียงเข้าใจจิตใจของเขาได้ นางย่อมให้หูเฟิงพบเขา หากเขามีใจคิดร้าย ก็จำต้องลอบลงมือ ที่พูดความจริงออกไปทั้งหมดในคราวเดียวไม่ได้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้หูเฟิงตกอยู่ในอันตราย
ส่วนตัวนางเองนั้น ขอเพียงเขาเชื่อว่าจิ้นอ๋องยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นตัวนางก็ปลอดภัยแล้ว
“แล้วเขาบอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด” จอมพลหวังถามต่อ
“เขาเคยพูดอยู่ครั้งหนึ่งขอรับ ว่าจะกลับมาเมื่อพระจันทร์เต็มดวง นัดพบกันที่ป่าฝังศพ” ไป๋จื่อกล่าวตอบ
จอมพลหวังดีใจจนแทบคลั่ง “จริงหรือ เจ้าพูดจริงใช่หรือไม่” เมื่อเห็นไป๋จื่อพยักหน้า ในที่สุดเขาก็ปล่อยแขนของนาง แล้วพูดกับตัวเองไม่ยอมหยุด “ดียิ่งนัก เขากลับมาแล้ว ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว!”
ไป๋จื่อถามบ้าง “ถึงตอนนั้นท่านจะไปหรือไม่”
จอมพลหวังพยักหน้า “แน่นอน ข้าต้องไปอย่างแน่นอน ข้าอายุปูนนี้ ขอพระราชทานอนุญาตจากฝ่าบาท เดินทางไกลพันลี้ถึงที่นี่ เพราะข้าอยากช่วยจิ้นอ๋องกำจัดคนทรยศ เพื่อกรุยทางให้เขาเดินไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่นในวันที่เขากลับมา”
นางมองจอมพลหวังที่ขอบดาแตงก่ำตรงหน้า อายุของเขา สีหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่ามีอาการป่วย เขามีความหวังมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“จอมพลหวัง อภัยที่ข้าพูดตรงๆ คนทั้งใต้หล้าล้วนคิดว่าจิ้นอ๋องตายไปแล้ว ไยท่านไม่เชื่อ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของจอมพลหวังก็ปรากฏความภาคภูมิใจในตนเอง “เขาไม่มีทางตาย อย่างน้อยก็ไม่มีทางถูกคนทำร้ายจนตายง่ายๆ เช่นนี้ แม่ทัพเทพสงครามที่ข้าหวังจิ้งไห่ถ่ายทอดวิชาให้ หากจะตายก็ต้องตายในสมรภูมิ”
“ข้าไม่เคยเชื่อว่าเขาจะตาย และปักใจเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่เสมอ และจะมีวันหนึ่งที่เขาจะกลับมา กลับคืนสู่ตำแหน่งดั้งเดิมของเขา แต่ที่น่าโมโหก็คือ กระดูกแก่ๆ ของข้าไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงแล้ว ตั้งแต่รู้ข่าวร้ายเมื่อสามปีก่อน ข้าก็ล้มป่วยหนัก รักษาต่อเนื่องมาสามปีแล้วก็ยังไม่หาย จึงไม่มีโอกาสนำทัพมายังที่นี่ ในที่สุดครั้งนี้ข้าก็มีโอกาสแล้ว ถึงแม้ข้าจะต้องตาย แต่อย่างไรข้าก็ต้องมา”
ไป๋จื่อปกปิดความปีติในดวงตาเอาไว้ นางเดาไว้ไม่มีผิด แต่ความปีตินี้ต้องเก็บไว้ให้หูเฟิงด้วย
“ท่านจอมพล ท่านนั่งลงก่อน ข้าจะตรวจร่างกายของท่านสักน่อย”
ตอนนี้จอมพลหวังกำลังดีใจมาก ราวกับมีแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นตรงหน้า ความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณหน้าอกไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน สบายกายขึ้นเยอะมาก
เขานั่งลง ยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็เป็นโรคคนแก่ทั่วๆ ไป กินยาเท่าไรก็รักษาไม่หาย ครั้นเจ็บขึ้นมาแทบเจียนตาย ตอนที่ไม่เจ็บก็เหมือนคนธรรมดา หมอบอกว่าขอเพียงรักษาสุขภาพให้ดี อย่าได้แสดงอารมณ์โกรธ เช่นนั้นก็มีชีวิตอยู่ต่อได้อีกหลายปีอย่างไม่มีปัญหาแล้ว”
ไป๋จื่อไม่ได้พูดอะไรต่อจากเขา เพียงนั่งยองลงข้างๆ จับข้อมือของเขาไว้เพื่อฟังชีพจรอย่างละเอียด
ครั้นเห็นคิ้วของไป๋จื่อที่เดิมทีคลายออกเริ่มขมวดมุ่นขึ้นมา จอมพลหวังก็ยิ้มถามว่า “ไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ ถ้าจะไม่ดีก็เป็นเรื่องปกติ ข้าอายุปูนนี้แล้ว สุขภาพคงจะแข็งแรงไปมากกว่านี้ไม่ได้ มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
“ตอนที่อาการกำเริบ ท่านจะรู้สึกเจ็บที่หน้าอก บริเวณลำคอคล้ายมีคนเอามือมาบีบไว้ หายใจไม่คล่อง เหงื่อเย็นๆ แตกเต็มตัวใช่หรือไม่” ไป๋จื่อถาม
……….
ตอนที่ 506 อาการกำเริบอีกแล้ว
จอมพลหวังรีบพยักหน้า “ถูกต้อง มีอาการเช่นนั้น เจ้าใช้ได้ไม่เบาเลยนะ เพียงแค่จับชีพจรครั้งเดียวก็รู้อาการเวลาที่มันกำเริบขึ้นมาแล้ว ดูท่าหมอเฉินจะรับลูกศิษย์ที่มีฝีมือมาได้”
ไป๋จื่อกลับไม่ยิ้ม และไม่ได้พูดจาตามมารยาทกับเขาอีก เข้าประเด็นทันทีว่า “ท่านจอมพล ท่านไม่ได้ป่วย แต่ท่านถูกพิษต่างหาก”
สีหน้าของจอมพลหวังพลันแปรเปลี่ยน “เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่าความจริงแล้วท่านไม่ได้ป่วย แต่มีคนวางยาพิษให้ท่าน และยิ่งพิษนี้สะสมนานวันเข้า ก็จะซึมข้าไปในปอด จากนั้นมันก็สามารถคร่าชีวิตท่านได้แล้ว”
จอมพลหวังตกใจมาก ชะงักงันไปในทันที ผ่านไปครู่หนึ่งถึงตั้งสติได้ “ตอนอยู่เมืองหลวงข้าพบหมอหลายคน หมอหลวงในวังก็เคยตรวจอาการให้ข้าอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เห็นเคยได้ยินพวกเขาบอกเรื่องที่ข้าถูกพิษ นี่เจ้าคงไม่ได้ดูผิดไปกระมัง”
ไป๋จื่อกล่าว “ตอนนี้ร่างกายของท่านอ่อนแอจนถึงขั้นนี้แล้ว น่าจะไม่ได้เพิ่งถูกพิษไม่นาน เดิมทีพิษนี้ก็ไม่ใช่พิษร้ายแรงอะไร หากผสมอยู่ในอาหารวันละเล็กวันละน้อยทุกวัน หลังจากท่านกินไปแล้วก็จะไม่เกิดความผิดปกติอะไร ทว่านานวันเข้าพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายจะเริ่มทำลายร่างกายของท่าน ทำให้เกิดอาหารป่วยที่ธรรมดาสามัญเช่นนี้ และอาการนี้ทำให้วินิจฉัยผิดว่าเป็นไข้หวัดได้ง่ายนัก ปัสสาวะร่วง ติดเชื้อในกระแสเลือด ตัวร้อนเหมือนไฟเผา และอาการอื่นๆ ทำให้ไม่อาจพบพิษในร่างกายได้โดยง่าย”
นางเองก็มีสีหน้าฉงน “แต่พิษในร่างกายของท่านทำงานหมดแล้ว อย่าว่าแต่หมอหลวงในวังเลย ถึงแม้เป็นหมอทั่วไปก็ต้องวินัจฉัยได้ว่าท่านถูกพิษ เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาเหมือนรักษาโรค”
“สองปีมานี้อาการของข้ากำเริบอยู่ตลอด ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จึงไม่มีหมอหลวงมาตรวจดูอีก คนที่รักษาให้ข้าเป็นปกติคือหมอในจวน เพราะเรียกหาเมื่อไรก็มาหาได้ทันที ทั้งยังควบคุมอาการให้ข้าได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่ได้เชิญหมอคนอื่นมาอีก” จอมพลหวังกล่าว
“เขามาที่นี่ด้วยหรือไม่ขอรับ” ไป๋จื่อถาม
จอมพลหวังพยักหน้า “มาสิ เมื่อครู่ก็ยังคุยกับพวกข้าอยู่เลย ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปที่ไหนแล้ว” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จอมพลหวังก็มุ่นคิ้ว ในใจมีความรู้สึกมากมายแวบผ่าน ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าสงสัย แต่ตอนนี้คิดดูให้ดีแล้ว ก็พบว่าน่าสงสัยจริงๆ
เขากล่าวกับองครักษ์คนสนิทในกระโจม “ไปตามหมอกงมา บอกว่าข้าไม่ค่อยสบาย”
หลังจากองครักษ์คนสนิทออกไป จอมพลหวังถึงพูดกับไป๋จื่อ “เมื่อหมอกงมาถึงแล้ว เจ้าดูท่าทีของเขาก่อน แล้วเดี๋ยวเราค่อยหารือกัน”
ไป๋จื่อพยักหน้า นึกขึ้นได้ว่าในอกเสื้อเก็บยาปี้ซินที่หลอมไว้เมื่อวาน ยานี้มีประโยชน์ต่อจอมพลหวัง ถึงแม้จะไม่สามารถกำจัดพิษสะสมในร่างกายของเขาได้ในคราวเดียว แต่ก็พอจะควบคุมอาการป่วยของเขาได้ชั่วคราว ทำให้ร่างกายไม่ทรุดลงไปอีก แม้พิษจะออกฤทธิ์เต็มกำลังแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ทำอะไรไม่ได้
นางยื่นมือไปหยิบมันออกมาจากในอกเสื้อ ตอนนี้มอบยาให้เขาถือว่าไม่เหมาะสม เพราะถ้าหากจะให้ ก็ต้องให้หูเฟิงเป็นคนนำไป
ไม่นานนัก องครักษ์คนสนิทก็เชิญหมอเข้ามา เขาเป็นชายวันกลางคนหน้าขาวไร้หนวดเครา มองดูแล้วสง่างามอย่างยิ่ง ขณะนี้เขาสวมเสื้อไหมตัวยาวสีน้ำเงิน ยิ่งขับเน้นให้เขาดูน่าเกรงขามและน่ามองเข้าไปอีก
หมอเข้ามาในกระโจม สีหน้าดูกังวลใจทีเดียว “ท่านจอมพล ท่านเป็นอะไรไปหรือ” แม้เขาจะมีสีหน้าเป็นกังวล ทว่าฝีเท้ากลับเชื่องช้ายิ่งนัก
เขาก้าวย่างทีละก้าวมาถึงข้างกายของจอมพลหวัง เห็นอีกฝ่ายกุมหน้าอกหอบหายใจ จึงพลันมีสีหน้าระทมทุกข์ รีบถามว่า “เหตุใดอาการกำเริบอีกแล้วเล่า”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้จับชีพจร เพียงมองจอมพลหวังอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นเขาอาการดีขึ้น ‘ความกังวลใจ’ บนใบหน้าพลันหายเป็นปลิดทิ้ง ในแววตามีความประหลาดใจเข้ามาแทนที่
เพราะเขาคิดว่ายาพิษนี้จะจะต้องออกฤทธิ์นานกว่านี้อีกครู่หนึ่ง เหตุใดหายดีเร็วเช่นนี้เล่า