คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 607 แดนเซียนบนภูเขาฉีอวิ๋น / ตอนที่ 608 บังเอิญ?
ตอนที่ 607 แดนเซียนบนภูเขาฉีอวิ๋น
ชุ่ยเอ๋อร์มองเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนจะถามล้อเล่นว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ”
ไป๋จื่อชะงักไป “กลัว? เหตุใดต้องกลัว”
“พวกเราไม่รู้จักมักจี่กัน รับเจ้าออกจากเมืองยามวิกาล ทั้งยังต้องขึ้นเขาอีก เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเป็นคนไม่ดีหรือ” ชุ่ยเอ๋อร์ถาม
คราวนี้ไป๋จื่อหัวเราะขึ้นมาแล้ว “ข้าแยกแยะคนดีกับคนเลวได้ พี่สาวเป็นคนดี ไม่ใช่คนเลว”
ชุ่ยเอ๋อร์เลิกคิ้ว “โอ้? เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าข้าคนดี”
“ว่ากันว่า ใบหน้าแสดงจิตใจ ลักษณะของคนเกิดจากจิตใจหนุนส่ง คนที่มีจิตใจชั่วร้าย จะมากจะน้อยอย่างไรก็จะปรากฏให้เห็นบนใบหน้า ถึงแม้จะจงใจแสร้งทำหรือปิดบังเพียงใด ทว่าในทุกการกระทำและคำพูดจะต้องเผยธาตุแท้ออกมาบ้างในที่สุด ส่วนดวงตาของคนก็ยิ่งเป็นหน้าต่างของจิตใจ เมื่อมองไปในดวงตาของคนแล้ว ก็จะมองจิตใจของคนผู้นั้นได้ด้วย” ไป๋จื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
นางหยุดไปพักหนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า “พี่สาวและฮูหยินล้วนเป็นคนดี คนดีเช่นนี้ ข้าไม่มีทางมองผิดไปได้”
ชุ่ยเอ๋อร์เบิกบานใจนัก นางยิ้มเช่นกัน “เจ้านี้นะ อายุยังน้อยแท้ๆ แต่รู้จักพูดจาด้วยคำพูดหวานๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ไป๋จื่อยิ้มจาง “ข้าไม่ได้พูดเยินยอเจ้า ที่ข้าพูดทั้งหมดล้วนเป็นความจริง”
ระหว่างที่สนทนากัน รถม้าหยุดลงแล้ว ชุ่ยเอ๋อร์ลงจากรถม้าก่อน แล้วรอนางอยู่ด้านล่าง
นางลอดออกมาจากในรถม้า ทิวทัศน์และสิ่งของตรงหน้าพลันทำให้นางคิดถึงคำสองคำในสมอง นั่นก็คือหรูหราและยิ่งใหญ่
พื้นที่นี่ปูด้วยแผ่นหินชั้นดีที่เรียบเสมอกัน มีสวนดอกไม้เล็กๆ ที่ได้รับการตัดแต่งด้วยความประณีตอย่างยิ่งอยู่ทั่วบริเวณ เรือนแต่ละหลังปูกระเบื้องหลังคาคล้ายเกล็ดปลา ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้มีค่าราคาแพง
แม้จะเป็นยามค่ำคืน ทว่าแสงสะท้อนจะโคมที่แกว่งไกวเพราะต้องลมก็ยังพาให้มองเห็นหมอกจางๆ ที่ลอยตัวอยู่ระหว่างเรือนแต่ละหลัง ที่นี่ราวกับเป็นแดนเซียน ส่วนนางเป็นเหมือนเด็กหลงทางที่จับพลัดจับผลูเข้ามาในแดนเซียนได้
ชุ่ยเอ๋อร์ร้อนใจอยู่บ้าง เพราะเห็นไป๋จื่อยืนเหม่อลอย จึงจูงมือนางเข้าไปด้านในเสียเลย
“ตอนนี้มีอะไรน่าดูกัน หากเจ้าอยากดูจริงๆ พรุ่งนี้เช้าค่อยดูก็ได้ เช่นนั้นต้องงดงามกว่าในเวลานี้เป็นแน่”
ถึงชุ่ยเอ๋อร์ไม่พูด ไป๋จื่อก็คิดได้เช่นกัน ยามนี้มีหมอกบดบังทิวทัศน์อยู่บ้าง ลมและเมฆก็หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาเยือน เวลานี้ย่อมไม่ใช่เวลาที่ที่แห่งนี้งดงามที่สุดอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้หูเฟิงเคยบอกกับนางว่า สถานที่ที่เขาฝึกฝนวรยุทธ์เมื่อตอนที่ยังเด็กเป็นเหมือนแดนเซียนที่อยู่นอกโลกใบนี้ มันอยู่ในภูเขาลูกหนึ่ง เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอย่างยิ่ง ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เขาเหมือนกับได้อยู่ในแดนเซียนจริงๆ
ตอนนั้นนางไม่เชื่อ นางคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีทางมีสถานที่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าหากเทียบที่นี้กับสถานที่ที่หูเฟิงเรียนวรยุทธ์เมื่อตอนที่เขายังเด็ก จะพอเทียบกันได้หรือไม่
ในยุคปัจจุบัน นางเคยเห็นภาพภูเขาที่มีชื่อเสียงมากมาย ทุกแห่งล้วนไม่เหมือนโลกมนุษย์ ครั้นนางไปท่องเที่ยวในสถานที่นั้นตามคำร่ำลือ สิ่งที่เห็นกลับแตกต่างกับในภาพเป็นอย่างยิ่ง เพราะจำนวมนุษย์เพิ่มขึ้น การพัฒนาสิ่งต่างๆ ก็ก้าวไกลตาม การทำลายครั้งยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้นเป็นวัฏจักร ภูเขาที่งดงามเหมือนสรวงสวรรค์เหล่านั้น สุดท้ายก็เหลือเพียงในภาพ
ตอนที่นางกำลังจิตใจเหม่อลอย ชุ่ยเอ๋อร์ก็ลากนางมาถึงประตูขนาดใหญ่ ที่สลักคำว่า ‘คฤหาสน์ฉีอวิ๋น’ เอาไว้ด้วย
ภายในประตูจวนนั้น หอคอย เรือนหลังน้อยใหญ่ และสระน้ำตระการตาล้วนอวดโฉมอยู่ท่ามกลางใบสนสีเขียวขจี
ภูเขาประดิษฐ์มีหน้าตาไม่เหมือนใคร เถาวัลย์พันเกี่ยวกันไปมา ต้นสนสูงเสียดฟ้า ดอกไม้หายากนานาพันธุ์เบ่งบานอยู่ในสวน นางแม้กระทั่งมองเห็นสมุนไพรล้ำค่าอยู่หลายชนิด ภายใต้แสงจันทร์ขณะนี้ สมุนไพรผลิดอกอยู่อย่างเงียบเชียบ ส่งกลิ่นหอมดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง
ที่นี่เป็นแดนเซียนบนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง หากได้อาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ชีวิตนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ชุ่ยเอ๋อร์พานางเดินเข้าไปด้านในอีก เมื่อมีคนออกมาต้อนรับ ชุ่ยเอ๋อร์ก็เป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน “รีบไปบอกนายใหญ่ว่าพบตัวเขาแล้ว”
คนผู้นั้นเอ่ยว่า “นายใหญ่รออยู่ในโถงแล้ว รีบเข้าไปเถอะ”
ชุ่ยเอ๋อร์ไม่คาดคิดว่านายใหญ่จะรอจนถึงยามนี้ นางแปลกใจนัก ทว่าก็รีบพาไป๋จื่อเข้าไปเช่นกัน
……….
ตอนที่ 608 บังเอิญ?
ในโถงใหญ่จุดตะเกียงสว่างโร่ บุรุษสวมชุดสีเขียวเข้มผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ประธาน เห็นได้ชัดว่าเขารอมานานแล้ว สีหน้าเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ขณะนี้เขากำลังหลับตางีบหลับ ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็พลันลืมตาขึ้นมาทันที
ดวงตาคู่นั้นของเขาทำให้หัวใจของไป๋จื่อกระตุกวูบ เพราะมันเหมือนกับดวงตาของฮูหยินผู้นั้น ที่นางได้เห็นเมื่อตอนกลางวันมากทีเดียว รวมถึงเหมือนกับดวงตาของนางเองด้วย
ตงฟางมู่เห็นเด็กหนุ่มเบื้องหน้าแล้วก็ตะลึงงันไป ดวงตาคู่นี้เหมือนกับหว่านเอ๋อร์จริงๆ หากไม่ใช่เด็กผู้ชาย เขาต้องสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กคนเดียวกับในปีนั้นแน่ๆ
ชุ่ยเอ๋อร์กล่าวกับไป๋จื่อว่า “หมอไป๋ ท่านนี้คือนายใหญ่ของพวกข้า”
ไป๋จื่อประสานมือคารวะตงฟางมู่ “คารวะใต้เท้าตงฟาง”
ตงฟางมู่โบกมือ “ข้าไม่ใช่ขุนนางในราชสำนักแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าใต้เท้าหรอก เรียกข้าว่านายใหญ่ตงฟางก็พอแล้ว” หากมีเด็กสักคนเรียกเขาว่าท่านตาก็คงจะดี
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋จื่อก็รับคำทันที
“เจ้ามีนามว่าอะไร บ้านอยู่ที่ใด แล้วมีใครในครอบครัวบ้าง ปีนี้อายุเท่าไรแล้ว” ตงฟางมู่ถามยาวเหยียด
นางเดาได้ว่าเขาจะถาม เหมือนกับตอนที่นางพบฮูหยินผู้นั้นเป็นครั้งแรก ถึงอย่างไรเสียก็มีคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันโผล่ออกมา จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ย่อมไม่แปลก
ไป๋จื่อตอบคำถามเขาทีละคำถาม
ตงฟางมู่ประหลาดใจอยู่บ้าง “เจ้าอายุสิบสามเช่นกันหรือ เพิ่งอายุสิบสามปีเต็มใช่หรือไม่”
“ขอรับ เกิดเดือนเก้า” ไป๋จื่อพยักหน้า
ตงฟางมู่ถอนใจออกมาเสียงหนึ่ง “หากเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็คงอายุเท่ากับเจ้านี่แหละ”
ไป๋จื่อฉงนนัก “เด็กคนนั้นที่พวกท่านพูดถึง เป็นหญิงหรือชายหรือขอรับ”
จากนั้นตงฟางมู่ก็มองนางครั้งหนึ่ง “เป็นเด็กผู้หญิง เกิดวันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนแปด แก่เดือนกว่าเจ้าหนึ่งเดือน”
จู่ๆ ไป๋จื่อก็เริ่มหัวใจเต้นแรง นางนึกถึงคำพูดของจ้าวหลานโดยพลัน จ้าวหลานบอกว่ายามที่เก็บนางได้ นางยังเป็นเด็กทารกอายุไม่ถึงขวบปี ขณะนั้นเป็นช่วงต้นเดือนเก้า ก็หมายความว่าวันเกิดที่แท้จริงของนาง ความจริงแล้วตรงกับเดือนแปด เด็กหญิง อายุเท่ากัน ดวงตาเหมือนกันอย่างกับแกะ บนโลกนี้ยังมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้อยู่หรือ
ไป๋จื่ออยากถามเขา ว่าเหตุใดเด็กคนนั้นถึงหายไป นางอยากถามมาก ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก นายใหญ่ตงฟางก็ถามนางเสียก่อน “ข้าได้ยินชุ่ยเอ๋อร์บอกว่า เจ้าจับชีพจรให้บุตรสาวของข้าแล้ว เจ้าบอกว่าอาการของนางไม่ได้มาจากโรค แต่เป็นเพราะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ควรอยู่ในร่างกายจำนวนหนึ่ง ถึงได้มี ‘อาการ’ ถูกต้องหรือไม่”
“ถูกต้องขอรับ” ไป๋จื่อพยักหน้า
ตงฟางมู่ถามอีกว่า “เช่นนั้นอะไรบางอย่างที่เจ้าพูดถึง สิ่งที่ไม่ควรนั้น แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่”
ไป๋จื่อเอ่ยทันใด “หากข้าบอกว่าเป็นพิษ ท่านจะเชื่อหรือไม่”
สีหน้าของตงฟางมู่เปลี่ยนไปทันที เขากัดฟันพูด “แน่นอนว่าข้าเชื่อ หากเป็นพิษจริง ข้าจะฉีกคนชั่วนั่นเป็นชิ้นๆ แน่”
“ข้าขอพูดตามตรง ฮูหยินคงถูกวางยาพิษมาเป็นเวลานาน เดิมทีพิษนั้นไม่ร้ายแรงถึงชีวิต ตอนที่มีพิษในร่างกายในปริมาณน้อย หมอจึงตรวจไม่พบโดยสิ้นเชิง ครั้นพิษนี้สะสมอยู่ในร่างกายนานวันเข้า ก็ยิ่งทำลายร่างกายไปอย่างช้าๆ ทำให้เกิด ‘อาการ’ ต่างๆ มากมาย ฮูหยินมีอาการเหล่านี้ ย่อมมีหมอเขียนใบสั่งยาให้นางแน่ ทว่านางกินยาอะไรไปก็ไม่ดีขึ้น ถูกต้องหรือไม่ขอรับ” ไป๋จื่อตั้งข้อสันนิษฐาน
ตงฟางมู่และชุ่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง “ใช่แล้ว เป็นเช่นที่เจ้าว่า คนอื่นที่มีอาการเดียวกัน กินยาเดียวกันกับที่หมอสั่งให้ คนอื่นหายดีเป็นปลิดทิ้ง แต่นางกลับไม่หาย”
ไป๋จื่อพยักหน้า “เช่นนั้นก็เป็นเพราะยาไม่ถูกกับอาการ อาการของนางไม่ได้เกิดจากโรค แต่เกิดจากพิษ อยากจะรักษาอาการนี้ให้หาย ก็ต้องกำจัดพิษในร่างกายเสียก่อน”
ตงฟางมู่ยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะถามไป๋จื่อด้วยความรีบร้อน “ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว หมายความว่าเจ้ามีวิธีรักษานางใช่หรือไม่”