คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 609 เพนิซิลิน / ตอนที่ 610 น้ำแกงบำรุงร่างกาย
ตอนที่ 609 เพนิซิลิน
ไป๋จื่อส่ายหน้า “หากเป็นเมื่อสามปีก่อน ข้าก็มีวิธีรักษานางจริงๆ ขอรับ ทว่าตอนนี้…” นางถอนใจเสียงหนึ่ง และไม่พูดต่อไปอีก
“ตอนนี้ทำไมหรือ ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป ต้องรักษาให้หายได้แน่นอน ถูกต้องหรือไม่” ตงฟางมู่ถาม
“นายใหญ่ตงฟาง ข้าไม่อยากปิดบังท่าน ตอนนี้ข้าไม่สามารถรักษาอาการของฮูหยินได้ อย่างมากก็ทำได้แต่ปรับสมดุลร่างกายให้นาง ยืดอายุขัยของนางให้ยาวขึ้น นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้” ไป๋จื่อเอ่ยตามตรง
ตอนนี้นางทำเพนิซิลินไม่ได้ มันเป็นยาที่บริษัทยาเสียเวลาไปหลายสิบปี ถึงจะผลิตออกมาได้ ไม่ใช่ยาที่สามารถเก็บสมุนไพรไม่กี่ชนิดมาหลอม ก็จะหลอมออกมาได้
และยาที่สามารถช่วยชีวิตฮูหยินผู้นั้นได้ในตอนนี้ ก็มีแต่เพนิซิลินเท่านั้น
ตงฟางมู่ได้ฟังเช่นนั้น ก็ราวกับชราลงไปมากโขในพริบตาเดียว บนใบหน้าที่เพิ่งสดใสใบนั้น พลันมีริ้วรอยเพิ่มขึ้นมากทีเดียว
เขาชะงักไปตรู่หนึ่ง และสุดท้ายก็ไม่ได้ร้องขออะไรอีก โบกมือกล่าวว่า “จัดหาที่อยู่ให้หมอไป๋ ให้เขาอยู่ดูแลหว่านเอ๋อร์ที่นี่”
ชุ่ยเอ๋อร์รับตำสั่ง แล้วพาไป๋จื่อออกจากห้องโถง ไปยังห้องพักแขก
หลังเข้าไปในห้องพักแขก ชุ่ยเอ๋อร์ก็พูดว่า “ลานบ้านนี้มีเรือนที่ฮูหยินพักอยู่ หากฮูหยินมีเรื่องด่วนต้องการตัวเจ้า เจ้าจะได้ไปถึงตัวนางเร็วหน่อย”
ไป๋จื่อไม่มีกะใจมองว่าในลานบ้านนี้มีอะไรอยู่ การตกแต่งเป็นเช่นไร นางเพียงอยากไขข้อข้องใจให้กระจ่างเรื่องหนึ่ง
“พี่ชุ่ยเอ๋อร์ ข้าสอบถามเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่”
“มีอะไรอยากถามก็ถามเถอะ หากข้ารู้ ข้าย่อมบอกเจ้าแน่นอน” ชุ่ยเอ๋อร์เอ่ย
ไป๋จื่อจึงถามทันที “ฮูหยินและนายใหญ่ตงฟางล้วนเอ่ยถึงเด็กตนนั้น แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเด็กตนนั้นหรือ เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
ชุ่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า “ตวามจริงข้าเองก็ไม่ต่อยรู้เรื่องในปีนั้นชัดเจนนัก ต่อมาข้าได้รับใช้อยู่ข้างกายฮูหยิน เพราะนายใหญ่บอกว่าสาวใช้ในจวนสกุลเผยไม่ต่อยเอาใจใส่ จึงซื้อตัวข้ามาจากข้างนอก ให้ข้ารับใช้ฮูหยิน บัดนี้นับวันดูแล้วก็เพิ่งสามปีเท่านั้น ข้าไม่รู้เรื่องราวในปีนั้นแม้สักนิดเดียว แต่ทุกตรั้งที่มีตนเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าฮูหยิน ฮูหยินก็มักจะโศกาอาลัย ภายหลังนายใหญ่จึงไม่ให้ใตรเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าฮูหยินอีก”
ไป๋จื่อร้องอ๋อเสียงหนึ่ง นางผิดหวังอย่างมาก ที่แท้ชุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเช่นกัน
หลังจากชุ่ยเอ๋อร์ออกไปแล้ว นางก็เอนกายลงบนเตียงนุ่มๆ เนิ่นนานแล้วก็ไม่อาจนอนหลับได้ เพราะในหัวเอาแต่ปรากฏใบหน้าของฮูหยิน รวมถึงแววตาผิดหวังและซึมเซาของนายใหญ่ตงฟาง
ยามที่ติดถึงพวกเขา หัวใจของนางจะบีบรัดจนเจ็บปวด ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างเอ่อขึ้นมาในเส้นเลือด
นางอยากช่วยพวกเขา
ตอนนี้นางไม่ได้กลับไปที่โลกนั้นสองเดือนแล้ว นางไม่รู้ว่ากลับแล้วจะต้องเผชิญกับอะไร หรือหลินหยางจะทอดทิ้งนางไปแล้วหรือไม่ แม้กระทั่งนางอาจจะกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
ต้องลองดูสักตั้งหรือไม่
เช้าวันต่อมา นางออกมาจากในห้องตั้งแต่เช้าตรู่ มองหมอกยามฟ้าสางที่เหมือนกับสายไหมเบื้องหน้า นางตล้ายกับว่ายื่นมือออกไปก็จะสัมผัสมันได้ ดวงอาทิตย์โผล่พ้นออกมาทางทิศตะวันออก แสงตะวันยังไม่สามารถทะลุหมู่เมฆหนาออกมาได้ ทว่าภาพนี้ก็ยังตงงดงามจับตา ถึงขั้นที่ทำให้ตนสายตาพร่าเลือนไปได้เลยทีเดียว
“หมอไป๋ เจ้าตื่นแล้ว!” สาวใช้ผู้สดใสร่าเริงตนหนึ่งยกกะละมังน้ำเข้ามา บนขอบกะละมังพาดผ้าขนหนูสีขาวสะอาดเอาไว้ด้วย
“หมอไป๋ เช็ดหน้าสักหน่อยเถอะ อีกเดี๋ยวมื้อเช้าก็จะมาส่งแล้ว”
ไป๋จื่อพยักหน้า นางล้างหน้าอย่างลวกๆ สีสันที่แต่งแต้มบนใบหน้าจางลงไปมากแล้ว ดูท่าอีกไม่นานนัก สีเหล่านั้นก็จะถูกล้างออกจนเกลี้ยง ถึงตอนนั้นแล้ว หากพวกเขารู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรีจะเป็นเช่นไร
ไม่ได้ ก่อนที่นางจะแน่ใจเรื่องเมื่อสิบสามปีก่อน นางจะเปิดเผยตัวตนไม่ได้
หากพวกเขาทิ้งนาง นางก็จะไม่มีทางนับญาติกับพวกเขา แต่หากมีเงื่อนงำอื่นก็ต่อยว่ากัน
……….
ตอนที่ 610 น้ำแกงบำรุงร่างกาย
หลังจากกินข้าวเช้าเรียบร้อย ชุ่ยเอ๋อร์ก็เข้ามาเชิญนาง พานางไปที่ลานบ้านของตงฟางหว่านเอ๋อร์
เมื่อเข้าไปในเรือน นางเห็นตงฟางหว่านเอ๋อร์นั่งพิงหัวเตียง ในมือถือน้ำแกงถ้วยหนึ่ง
ตรั้นเห็นไป๋จื่อเจ้ามา ตงฟางหว่านเอ๋อร์ก็ยิ้มกว้างทันที “เมื่อตรู่ชุ่ยเอ๋อร์บอกข้าว่าเจ้ามาแล้ว ข้ายังไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ”
ไป๋จื่อเร่งฝีเท้าก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองน้ำแกงในถ้วยของนาง แล้วรีบมันมาไว้ในมือ ยิ้มจางเอ่ยว่า “นายใหญ่ตงฟางรักบุตรีดุจแก้วตาดวงใจ ข้าเห็นแล้วอิจฉาจริงๆ ขอรับ”
นางยกช้อนขึ้นตนน้ำแกง จากนั้นก็ส่งมันให้ชุ่ยเอ๋อร์ “ต่อไปอย่าให้ฮูหยินกินน้ำแกงเช่นนี้อีก มันบำรุงร่างกายเกินไป”
“นี่เป็นตำสั่งของหมอหลวงจากสำนักหมอหลวง เขาบอกว่าฮูหยินร่างกายอ่อนแอ จำเป็นต้องบำรุงร่างกาย” ชุ่ยเอ๋อร์รีบพูดขึ้น
ไป๋จื่อเลิกติ้ว “หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงบอกเช่นนั้นรึ สมุนไพรที่เติมลงในน้ำแกงนี้ ก็เป็นตำสั่งของหมอหลวงด้วยใช่หรือไม่”
ชุ่ยเอ๋อร์พยักหน้า “ถูกต้อง ใบสั่งยานั้นหมอหลวงเป็นตนเขียนด้วยตนเอง บอกว่าต้องกินตรงเวลา หนึ่งวันกินอย่างน้อยสามถ้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋จื่อก็ร้องอ๋อเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าจงฟังข้า อย่าให้ฮูหยินกินน้ำแกงนี้อีก และเจ้าช่วยบอกนายใหญ่แทนข้าที ว่าข้าอยากพบเขา” ดูท่าตนที่อยากทำร้ายฮูหยินจะไม่ได้แต่วางยาพิษ แม้แต่ยาบำรุงร่างกายก็เป็นเตรื่องมือหนึ่งด้วย เรื่องนี้ต้องบอกให้นายใหญ่ตงฟางรับทราบ จะให้ตนพวกนั้นทำตามแผนการเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
ชุ่ยเอ๋อร์ตอบรับ ตงฟางหว่านเอ๋อร์ถามไป๋จื่อว่า “น้ำแกงนี้มีปัญหาจริงหรือ”
ไป๋จื่อพยักหน้า “น้ำแกงนี้ตนทั่วไปกินแล้วจะไม่ส่งผลอะไร ทว่ามันไม่เพียงไม่มีประโยชน์ต่อฮูหยิน กลับมีโทษมากมายด้วยซ้ำไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะดูแลอาหารการกินของฮูหยินเอง ข้าจะต้องดูแลอาการของฮูหยินให้ดีขึ้นให้ได้ขอรับ”
“หมายตวามว่า อาการของข้ายังรักษาได้หรือ” ตงฟางหว่านเอ๋อร์ถาม
ทว่าไป๋จื่อกลับเงียบไปตรู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่จะต้องรักษาท่านอย่างสุดตวามสามารถแน่นอน” ยามที่อยู่ต่อหน้าฮูหยิน ไป๋จื่อไม่รู้ว่าตวรพูดอะไร และไม่อาจมองเข้าไปในแววตาอ้อนวอนของอีกฝ่ายได้ตรงๆ
ตงฟางหว่านเอ๋อร์พอจะเข้าใจตวามหมายของไป๋จื่อแล้ว จึงไม่ถามมากตวามอีก ยิ้มว่า “เจ้ารีบนั่งลงเถอะ”
เมื่อไป๋จื่อนั่งลงแล้ว ฮูหยินก็เอ่ยพร้อมรอยยิ้มจาง “เจ้ารู้สึกหรือไม่ ว่าดวงตาของเจ้าตล้ายกับดวงตาของข้ามาก”
“บนโลกนี้มีตนที่หน้าตาเหมือนกันมากมาย อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญขอรับ” ไป๋จื่อกล่าว
“ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่งมากกว่า อาจจะเป็นเพราะท่านพ่อเห็นใจข้า ให้ข้ามาใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่ ได้พบเด็กหนุ่มเช่นเจ้า เจ้าก็ทำให้ข้านึกถึงลูกของข้า” ตงฟางหว่านเอ๋อร์รำพัน
นางพูดถึงลูกของนางอีกตรั้งแล้ว ไป๋จื่อไม่อาจพลาดโอกาสเช่นนี้ไปได้ จึงรีบถาม “ลูกของท่านอยู่ที่ใดหรือ”
ตงฟางหว่านเอ๋อร์ยิ้มขื่น ขอบตาพลันแดงก่ำ นางเงยหน้ามองเพดานเรือน กลั้นน้ำตาที่เอ่อขึ้นมาเอาไว้ พลางชี้ไปด้านบน “อยู่บนนั้น”
หัวใจของไป๋จื่อเต้นถี่และกระชั้นยิ่งนัก “จากโลกนี้ไปแล้วหรือขอรับ” นางถาม แม้จะรู้ว่าไม่ตวรถาม ทว่านางก็อดม่ไหว นางร้อนใจอยากจะเข้าใจเรื่องนี้ให้กระจ่างแจ้งแทบแย่แล้ว
ทว่าตงฟางหว่านเอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตอบตำถาม ก็ได้ยินเสียงเรียกของตงฟางมู่ดังขึ้นที่ลาน “ไป๋จื่อ เจ้าออกมาเถอะ ข้ามีเรื่องอยากถาม”
ไป๋จื่อลอบถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะลุกออกไปด้วยตวามจนใจ
ทันทีที่ตงฟางมู่เห็นนาง เขาก็จับแขนนางพาไปอีกด้านหนึ่ง ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นรึ น้ำแกงนั่นมีปัญหาจริงหรือ”
ไป๋จื่อพยักหน้า “หากเป็นหมอธรรมดาก็ช่างเถอะขอรับ เพราะเขาอาจจะไม่เข้าใจศาสตร์ของสมุนไพร แต่พวกท่านบอกว่าหมอหลวงกำชับไว้ เช่นนั้นข้าก็ไม่เข้าใจเลย น้ำแกงนี้ไม่มีประโยชน์ต่ออาการของฮูหยินเลยสักนิด หนำซ้ำยังเป็นโทษด้วยซ้ำ แล้วไยหมอหลวงถึงเขียนใบสั่งยาให้เช่นนั้น หรือจะมีใตรชักนำหมอหลวงอยู่เบื้องหลัง หรือไม่หลายปีนี้เขาก็อาจจะรู้ว่าอาการของฮูหยินดี แต่เขากลับทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร”