คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 613 เด็กในปีนั้น / ตอนที่ 614 ความทุ่มเทของอาจารย์
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 613 เด็กในปีนั้น / ตอนที่ 614 ความทุ่มเทของอาจารย์
ตอนที่ 613 เด็กในปีนั้น
องครักษ์รีบส่งจดหมายให้ตงฟางมู่
ตงฟางมู่ฉีกซองจดหมายแล้วเปิดอ่านทันที ยิ่งอ่านก็ยิ่งมีสีหน้าไม่น่ามอง หัวคิ้วขมวดมุ่น ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นถามองครักษ์ผู้นั้น “ฮ่องเต้พบเด็กที่เผยชิงหานพากลับมาแล้วหรือ”
องครักษ์ส่ายหน้า “ยังไม่ได้พบขอรับ ชางหยวนโหวขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ทว่าฮ่องเต้ปฏิเสธไปด้วยข้ออ้างงานราชกิจกำลังยุ่ง ฮ่องเต้ตรัสว่าจะรอท่านไปตัดสินใจขอรับ”
ตงฟางมู่อ่านจดหมายอีกรอบหนึ่ง ในจดหมายบอกว่าเผยชิงหานพาแม่นางคนหนึ่งกลับมาจากนอกเมืองหลวง ทั้งยังบอกว่าเป็นเด็กในตอนนั้นอีกต่างหาก
เรื่องนี้บังเอิญเกินไปแล้ว เขาเพิ่งรู้เบาะแสเกี่ยวกับเด็กคนนั้นจากฮ่องเต้ ยังไม่ทันหาตัวพบ เผยชิงหานก็ชิงพาตัวกลับมาก่อนก้าวหนึ่งแล้ว
“เอาละ ข้ารู้แล้ว พวกเจ้ากลับไปทูลฮ่องเต้ว่าข้าจะพาหว่านเอ๋อร์ไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง ถึงตอนนั้นแล้วค่อยหารือกันเรื่องนี้กัน” ตงฟางมู่กล่าว
ตามเหตุผลแล้ว เผยชิงหานพบตัวเด็กคนนั้น เขาควรจะดีใจด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำบางอย่าง จึงไม่อาจทำใจเชื่อเผยชิงหานได้
เผยชิงหานเป็นคนบอกในปีนั้น ว่าเด็กคนนั้นตายไปแล้ว และก็เป็นเขาที่จัดการฝังศพ บัดนี้เขามาบอกว่าเด็กยังไม่ตาย อีกทั้งจู่ๆ ก็พบตัวเด็กคนนั้นเช่นนี้อีก เขาไม่ได้กำลังเลือกตบหน้าตนเองอยู่หรือไร ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน เพราะการแต่งงานระหว่างเด็กคนนั้นกับจิ้นอ๋องหรือ
ตงฟางมู่แค่นหัวเราะเสียงเย็น “หากเด็กคนนั้นเป็นตัวจริง ก็นับว่าเจ้าโชคดีนัก แต่หากเด็กคนนั้นเป็นตัวปลอมละก็ อย่าหาว่าตาเฒ่าผู้นี้ไม่ปราณีก็แล้วกัน”
เขากล่าวกับพ่อบ้านว่า “เจ้าไปจัดการเถอะ สามวันหลังจากนี้ข้าจะไปเมืองหลวง ปีนี้จะฉลองปีใหม่ที่นั่น”
…
ไป๋จื่อเห็นตงฟางหว่านเอ๋อร์ผล็อยหลับไปแล้ว จึงออกจากห้องของนางไป เดินเล่นอยู่ในคฤหาสน์ฉีอวิ๋นเสียรอบใหญ่ ชมทิวทัศน์ไปพลาง ขบคิดเรื่องที่อยู่ในใจไปพลาง
เมื่อเดินไปได้พักหนึ่ง ก็เดินมาถึงด้านนอกป่าไผ่ดำผืนหนึ่งเสียอย่างนั้น
มีสะพานไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นอย่างดีทอดตัวยาวเข้าไปด้านในป่า มองดูแล้วพิเศษอย่างยิ่ง นางก้าวเดินไป ทุกย่างก้าวบนสะพานไม้ไผ่ล้วนส่งเสียงแปลกประหลาดจำนวนหนึ่ง น่าสนใจดีทีเดียว
จากสะพานเข้าไปในป่าไผ่ เดิมทีมีกระท่อมตั้งอยู่หลังหนึ่งด้วย แม้ขนาดของมันจะดูไม่ใหญ่มาก แต่กลับสง่างามและประณีตยิ่ง ยามต้องสายลมแผ่วเบา ใบไผ่ก็จะส่งเสียงซู่ซ่า พาให้กลิ่นหอมจางๆ ของมันตลบอบอวลอยู่ในอากาศด้วย
“เจ้าเป็นใคร” แม่นางที่กำลังถือไม้กวาดผู้หนึ่งเดินเข้ามา พลางพิจารณาไป๋จื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า
ไป๋จื่อยิ้มจาง “ข้าเป็นหมอที่มารักษาอาการให้ฮูหยิน ฮูหยินและนายใหญ่ตงฟางให้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าเห็นว่าบริเวณนี้แปลกตา จึงเข้ามาชมดูสักหน่อย”
แม่นางผู้นั้นร้องอ๋อเสียงหนึ่ง ยิ้มว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นหมอนี่เอง”
“ที่นี่เป็นที่พักของผู้ใดหรือ ไยถึงมีเจ้าเพียงลำพัง” ไป๋จื่อถาม
“ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่หรอก ข้าเป็นเพียงสาวใช้ที่มีหน้าที่ทำความสะอาด เมื่อทำเสร็จแล้วก็จะกลับไป” นางตอบ
“ในเมื่อไม่มีคนอยู่ เหตุใดต้องทำความสะอาดด้วยเล่า” ไป๋จื่อใคร่รู้นัก
แม่นางยิ้ม พร้อมกับเอ่ยว่า “เป็นคำสั่งของนายใหญ่ เขาบอกว่าไม่แน่ว่าวันใดเจ้าของที่นี่จะกลับมา เมื่อถึงยามที่เจ้าของที่นี่กลับมา หากเห็นว่าที่นี่รกร้าง เต็มไปด้วยฝุ่นจับคงจะไม่ดีกระมัง!”
ไป๋จื่อถามอีก “นายใหญ่ไม่ได้มีฮูหยินเป็นบุตรีเพียงคนเดียวหรือ ไยถึงยังมีเจ้าของคนอื่นอู่อีก”
“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว นายใหญ่มีฮูหยินเป็นบุตรีเพียงคนเดียว คนที่อาศัยอยู่ที่นี่คือลูกศิษย์ของนายใหญ่ ได้ยินท่านผู้เฒ่าที่นี่บอกว่า ลูกศิษย์ของนายใหญ่ลงเขาไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้กลับมาอีก ตอนที่นายใหญ่คิดถึงเขา ก็จะมานั่งอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อใดเขาจะกลับมาอีก” แม่นางผู้นั้นตอบยืดยาว
ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ไป๋จื่อเข้าใจแล้ว แต่ก็ถามอีกว่า “เช่นนั้นเหตุใดลูกศิษย์ของนายใหญ่ถึงไม่กลับมา เขาจากไปยังสถานที่ไกลแสนไกลหรือ” ถึงแม้จะไปยังสถานที่ที่ไกลโพ้นเพียงใด ทว่าสิบปีที่ผ่านมานี้ อย่างไรก็ต้องหาทางกลับมาสักครั้งสองครั้งสิ
……….
ตอนที่ 614 ความทุ่มเทของอาจารย์
“ได้ยินมาว่าเข้าไปออกรบ ทั้งยังได้รับชัยชนะครั้งใหญ่อีกด้วย หลายปีก่อนหน้านี้นายใหญ่ดีใจมาก ทว่าสองสามปีมานี้นายใหญ่ก็เริ่มระทมทุกข์ ว่ากันว่าลูกศิษย์ของนายใหญ่คนนี้หายตัวไป บวกกับคุณหนูป่วยไข้อยู่ตลอด ในใจของนายใหญ่จึงมีแต่ความขมขื่น”
ไป๋จื่อชะงักงัน มองแม่นางเบื้องหน้าอย่างโง่งม ขณะเดียวกันก็คิดถึงลูกศิษย์ของนายใหญ่ หรือว่าเขาจะเป็นจิ้นอ๋อง
สุดท้ายนางก็อดกลั้นไว้ ไม่ได้ถามออกไป เพียงยิ้มถามว่า “ข้าเข้าไปดูได้หรือไม่”
แม่นางผู้นั้นพลันพยักหน้าด้วยความดีใจ “ได้สิ แต่ข้ายังไม่ได้ทำความสะอาดข้างใน เดี๋ยวเจ้าดูเสร็จแล้วข้าค่อยทำก็แล้วกัน”
จากนั้นนางก็กวาดลานบ้านต่อไป ไป๋จื่อจึงเดินไปที่อาคารทำด้วยไม้ไผ่ที่งดงามหลังนี้
อาคารไม้ไผ่มีทั้งหมดสองชั้น ภายในไม่ใหญ่มาก แต่กลับโปร่งโล่งทีเดียว ประตูหน้าและหลังเปิดอ้า ลมเย็นจึงพัดเข้ามาเป็นระลอก นางปิดประตูหลัง ในอาคารถึงจะอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
ข้างในไม่มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเรียบง่าย นอกจากอาวุธเก่าหลายชนิดที่แขวนอยู่บนผนัง ก็ไม่มีสิ่งของใดที่เชื่อมโยงกับหูเฟิงอีก
นางขึ้นไปบนชั้นสอง หน้าต่างบนชั้นนี้ล้วนปิดสนิท ครั้นนางเปิดประตูห้องเข้าไป กลิ่นไผ่เข้มข้นสายหนึ่งก็พลันปะทะเข้ามา ห้องนี้ไม่ใหญ่ มีเตียงไม้ไผ่วางอยู่หลังหนึ่ง ในมุมมีโต๊ะไม้ไผ่ บนนั้นวางกะละมังทองแดงเอาไว้ รวมถึงตู้เสื้อผ้าหลังงามที่ทำจากไม้ไผ่ อีกฝั่งหนึ่งมีโต๊ะไม้หนานขนาดเล็ก ด้านบนวางอุปกรณ์ชงชาชุดสวยไว้
ท่ามกลางความเรียบง่ายนี้ แฝงไปด้วยความหรูหราที่อ่อนน้อม คล้ายคลึงกับความชอบของหูเฟิงอย่างแท้จริง
ในลิ้นชักใต้โต๊ะตัวเล็ก นางพบกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือจำนวนหนึ่ง เหมือนจะเป็นกระดาษที่ใช้คัดลายมือทั่วๆ ไป ลายมือบนกระดาษเหมือนกับลายมือของหูเฟิงไม่มีผิดเพี้ยน นางแทบจะแน่ใจได้ทันที ว่าลูกศิษย์ของตงฟางมู่ก็คือหูเฟิง
ยามที่หูเฟิงเอ่ยถึงอาจารย์ของเขา แม้บนใบหน้าของเขาจะไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร ทว่าในดวงตาคู่นั้นปรากฏความเคารพนับถือชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
ตงฟางมู่จะต้องเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดอย่างแน่นอน ทว่าก็มีเพียงอาจารย์ที่เข้มงวดเท่านั้นแหละ ถึงจะสั่งสอนศิษย์ให้มีความสามารถสูงส่งออกมาได้
หูเฟิงบอกว่าเขาลงจากเขาตอนอายุสิบสาม ถึงจะอยู่ร่วมกับอาจารย์มาเป็นสิบปี แต่เขาก็ยังคงไม่ชอบอาจารย์อยู่ดี เพราะอาจารย์เข้มวดกับเขาเกินไป ดุเขามากอีกต่างหาก เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในทุกวันก็มีแต่ฝึกฝนวรยุทธ์ ฝึกเสร็จก็ต้องท่องตำราหลายเล่ม ต้องเรียนรู้ทุกอย่างที่องค์ชายควรเรียน นอกเหนือจากนั้นแล้วก็มีแต่ฝึกฝนวรยุทธ์ไม่จบไม่สิ้น หากเขาขี้เกียจแม้สักนิดเดียว ก็จะถูกลงโทษด้วยการโบย
ปีนั้นเขาอายุเก้าปี เขาเริ่มมีความรู้สึกต่อต้าน อาจารย์จึงเริ่มโหดร้ายกับเขา ไม่มีการยั้งมือเพราะเขาเป็นองค์ชาย โบยเขาจนมีบาดแผลเต็มตัวอยู่บ่อยครั้ง
เขาในตอนนั้นเกลียดตงฟางมู่เข้ากระดูกดำ คิดหาวิธีหลบลี้จากเขาฉีอวิ๋นมากมาย จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง ในกลางดึกคืนนั้น เขาเจ็บแผลบนร่างจนนอนไม่หลับ เขาได้ยินเสียงคนเข้ามาในห้อง ขณะนั้นเขาแกล้งหลับ และไม่คิดว่าเป็นอาจารย์ที่แอบเข้ามาอย่างเงียบๆ อาจารย์ถือโอกาสตอนที่เขาหลับ บรรจงทายาบนแผลให้ เขาแอบเห็นอาจารย์ขอบตาแดง พลางทายาให้เขาอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าเขาจะเจ็บ อาจารย์ผู้นี้เหมือนเป็นคนละคนกับอาจารย์ที่ตีเขาเมื่อตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็คล้ายกับเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จากนั้นเขาไม่มีความรู้สึกต่อต้านอีก ทำการบ้านที่อาจารย์สั่งเสร็จอย่างดี และไม่ได้รับการลงโทษอีก
ทว่าเขาไม่เคยเข้าใจเลย ว่าเหตุใดอาจารย์ต้องเข้มงวดกับเขาถึงเพียงนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยยิ้มให้เขาแม้สักครั้ง จะมีก็แต่แอบมาทายาให้เขาตอนกลางดึก และไม่เคยพูดจาอ่อนโยนต่อหน้าเขาเลย
จนกระทั่งเขาออกจากเขาฉีอวิ๋นไป จนกระทั่งเขาเข้าสู่สนามรบ เขาถึงจะเข้าใจความทุ่มเทของอาจารย์ หากไม่ได้รับการเคี่ยวกรำเหล่านั้น ไม่ได้รับบทเรียนที่ยากเข็ญของอาจารย์ เขาก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดอยู่ในสนามรบได้เลย ทุกอย่างที่อาจารย์บีบบังคับเขาก่อนหน้า ล้วนกลายเป็นไพ่ตายที่ทำให้เขารักษาชีวิตของตนเองมาได้จนถึงทุกวันนี้