คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 615 ฮูหยินไม่ไหวแล้วหรือ / ตอนที่ 616 เป็นแม่นาง ไม่ใช่เด็กหนุ่ม
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 615 ฮูหยินไม่ไหวแล้วหรือ / ตอนที่ 616 เป็นแม่นาง ไม่ใช่เด็กหนุ่ม
ตอนที่ 615 ฮูหยินไม่ไหวแล้วหรือ
มุมปากของนางยกโค้ง สิ่งที่เรียกว่าวาสนานี้ ช่างมหัศจรรย์จนเกินคำบรรยายเสียจริง
เกรงว่าไม่ว่าอย่างไรหูเฟิงก็ไม่คาดคิด ว่าตอนนี้นางจะอยู่ที่เขาฉีอวิ๋น อยู่ในสถานที่ที่เขาเคยร่ำเรียนและเติบใหญ่ เดินในเส้นทางที่เขาเคยเดิน และนั่งบนเตียงที่เขาเคยนอนหลับ
ครั้นตกกลางคืน ลมหนาวพัดมาเสียงดังหวีดหวิว พาให้ผ้าม่านปลิวไหว เสียงนกฮูกคลุมเครือดังมาจากข้างนอก ทว่าไป๋จื่อนอนหลับสนิทมาก ในความฝันขณะนี้ นางและตงฟางหว่านเอ๋อร์ต่างก็จำกันได้แล้ว ตงฟางหว่านเอ๋อร์กอดนางไว้ พร่ำเรียกชื่อนางพลางร้องไห้อยู่เนิ่นนาน
จากนั้นนางก็ให้เสื้อผ้าที่นางปักลายดอกเหมยไว้อย่างละเมียดละไมกับมือให้ไป๋จื่อ จ้าวหลานและหูเฟิงก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ทั้งคู่ต่างดีใจที่แม่ลูกผู้พลัดพรากจากกันไปถึงสิบสามปี ได้หวนคืนมาพบกันอีกครั้งเสียที
ทว่าขณะที่กำลังมีความสุขกันอยู่ จู่ๆ ตงฟางหว่านเอ๋อร์ก็ล้มลง ราวกับว่านางเป็นกิ่งไม้แห้ง ก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่นผงหายไปในอากาศ ไป๋จื่อพยายามไขว่คว้าหานางสุดชีวิต ทว่าวิ่งตามอย่างไรก็ไปไม่ถึงเสียที นางอยากช่วยมารดาของตนเอง แต่กลับสัมผัสร่างของอีกฝ่ายไม่ได้เลย และระหว่างที่กำลังตกใจกลัวและผิดหวังอยู่นั้น นางก็เห็นชีวิตของนางเองก็ค่อยๆ เสื่อมสลายลงทีละเล็ก ทีละน้อย
“ไม่ ไม่นะ อย่า…” นางตื่นขึ้น ดวงตาเบิกโพลงพลางหอบหายใจ เหงื่อกาฬท่วมบริเวณหน้าผาก
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก ท่าทางรีบร้อนมาทีเดียว นางจึงลนลานลงจากเตียง ลืมสวมแม้กระทั่งรองเท้าด้วยซ้ำ
ชุ่ยเอ๋อร์เป็นฝ่ายเคาะประตู บัดนี้นางหน้าซีดเผือด ขอบตาแดงก่ำ ครั้นเห็นหน้าไป๋จื่อแล้ว นางก็ปรี่เข้ามาจับข้อมือทันที “เร็วเข้า ฮูหยินไม่ไหวแล้ว รีบไปตรวจให้นางที”
ฮูหยินไม่ไหวแล้ว?
ห้าพยางค์นี้เหมือนกับสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อมของไป๋จื่อ นางฟังคำพูดหลังจากนั้นของชุ่ยเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องแล้ว เพียงดันร่างของชุ่ยเอ๋อร์ออกไปจนพ้นทาง แล้วสาวเท้าวิ่งออกจากห้องไป มุ่งหน้าไปยังลานบ้านของตงฟางหว่านเอ๋อร์ทันที
ลานบ้านของนางติดกับลานบ้านของตงฟางหว่านเอ๋อร์ จากตรงนี้ห่างกันเพียงทางเดินหินกั้นเท่านั้น นางสวมแค่เสื้อนอนตัวบาง บัดนี้เท้าเปลือยเปล่าเหยียบย่างอยู่บนก้อนหิน ทว่านางไม่รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่ฝ่าเท้าเลย ในใจของนางมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น เร็วกว่านี้ ต้องเร็วกว่านี้อีก ตงฟางหว่านเอ๋อร์จะตายไม่ได้ ตายไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเข้าไปในห้องของตงฟางหว่านเอ๋อร์แล้ว สาวใช้สองคนคุกเข่าร้องไห้อยู่ข้างเตียง นางจึงปรี่ไปถึงข้างเตียงบ้าง มือข้างหนึ่งจับชีพจรของตงฟางหว่านเอ๋อร์ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเปิดเปลือกตาตรวจสอบดู
ยังมีชีพจรอยู่ ลูกตาก็ยังปกติดี แต่แล้วเหตุใดชีพจรของนางถึงอ่อนเช่นนี้เล่า
“เร็วเข้า นำเข็มเงินมา” ไป๋จื่อเอ่ยเสียงดัง
ชุ่ยเอ๋อร์ที่ตามหลังนางมารีบหยิบล่วมยามา แม้จะกระวนกระวายใจจนทำอะไรไม่ค่อยถูก ทว่าก็ยังค้นหากระเป๋าเข็มจากในล่วมยาจนเจอ และส่งมันให้นางจนได้
ไป๋จื่อสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเลิกผ้าห่มบนกายตงฟางหว่านเอ๋อร์ออก รวมถึงปลดอาภรณ์ของนางออกด้วย ก่อนจะแทงเข็มเงินลงบนร่างกายของฮูหยินผู้นี้ทีละเข็ม
นางใช้วิชาฝังเข็มตามจุดต่างๆ กระตุ้นลมหายใจของอีกฝ่าย นางฝังเข็มไปทั่วร่างกายทั้งหมดเก้าร้อยเก้าสิบแปดจุด หลังจากทำเช่นนี้เสร็จรอบหนึ่งแล้ว นางก็ทำซ้ำอีกรอบแล้วรอบเล่า จนกระทั่งลมหายใจของตงฟางหว่านเอ๋อร์กลับมามั่นคงอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น นางถึงจะหยุดมือ เสื้อผ้าตัวบางบนร่างกายเปียกชุ่มไปหมด แนบชิดอยู่กับเนื้อกาย ทำให้ส่วนโค้งเว้าของสตรีปรากฏออกมาอย่าชัดเจน
ชุ่ยเอ๋อร์เห็นเข้าก็ตกอกตกใจยกใหญ่ ไป๋จื่อผู้นี้ แท้จริงแล้วเป็นสตรีหรือนี่!
ครั้นเห็นไป๋จื่อเก็บเข็ม ชุ่ยเอ๋อร์ก็รีบถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
ไป๋จื่อเหนื่อยล้าจนแทบจะเป็นอัมพาต มือข้างหนึ่งค้ำยันขอบเตียงเพื่อหยัดกายลุกขึ้น “ข้ายื้อชีวิตของนางไว้ได้ ภายในสามวันนี้น่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นอีก ทว่าก็ต้องตามหายาที่จะช่วยนางให้ได้ภายในสามวันเช่นกัน ไม่เช่นนั้น…”
นางไม่ได้พูดต่ออีก เพราะไม่มีความจำเป็นต้องพูดต่อไป ทุกคนก็เข้าใจความหมายนี้แล้ว
“เหตุใดจู่ๆ ฮูหยินถึงเป็นเช่นนี้ได้” ไป๋จื่อถาม
ชุ่ยเอ๋อร์รีบตอบทันควัน “ฮูหยินเป็นคนเข้านอนเร็ว ทว่าเมื่อครู่จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมา บอกว่ากระหายน้ำ ข้าจึงให้สาวใช้เวรกลางคืนไปรินชามาให้ หลังจากที่นางดื่มชาที่สาวใช้รินให้แล้ว ไม่นานนักก็กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็เป็นเช่นที่เจ้าเห็น”
……….
ตอนที่ 616 เป็นแม่นาง ไม่ใช่เด็กหนุ่ม
ชา? ไป๋จื่อเหลือบมองกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง นางชี้มันพร้อมกับถามว่า “นี่น่ะหรือ”
ชุ่ยเอ๋อร์พยักหน้า “นั่นแหละ”
ไป๋จื่อยกกาน้ำชาขึ้นมา ภายในกาเหลือน้ำชาอยู่เพียงครึ่งเดียว เย็นชืดไปนานแล้ว ตัวน้ำชามีสีเหลืองอ่อน ไม่มีใบชาลอยอยู่ นางลองยกมันขึ้นมาดมดู ก่อนจะขมวดคิ้วไปในทันที
“นี่เป็นชาที่ฮูหยินดื่มประจำ หรือว่ามันมีปัญหา” ชุ่ยเอ๋อร์รีบถาม
“เหตุใดในชานี้ถึงมีโสมด้วย” ไป๋จื่อถามกลับ
ชุ่ยเอ๋อร์ตอบว่า “มันเป็นโสมภูเขาร้อยปีที่นายใหญ่ไหว้วานคนให้ไปหามา ว่ากันว่าดีต่อร่างกายของคนที่กำลังป่วย นายใหญ่จึงให้พวกข้าเติมมันลงไปยามที่ต้มชาด้วยเล็กน้อย จนถึงวันนี้ก็ทำเช่นนั้นมานานแล้วละ”
ไป๋จื่อส่ายหน้า พลางถอนหายใจเสียงยาว “อาการของฮูหยินทรุดหนักที่ตรงนี้แหละ โสมภูเขาเป็นของดีก็จริง ทว่าฮูหยินนางอ่อนแอเกินกว่าจะบำรุงร่างกายได้ ยิ่งบำรุงก็ยิ่งจะมีแต่อาการแย่ลง โชคดีที่เจ้าไปหาข้า และข้ามาถึงที่นี่ทันกาล แม้จะยากนักกว่าจะยื้อชีวิตของนางไว้ได้ก็ตามที”
ครั้นได้ฟังดังนั้น สีหน้าของชุ่ยเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไป นางรีบกล่าวกับสาวใช้สองคนที่อยู่ในห้อง “เร็วเข้า นำไปเททิ้ง ต่อไปอย่าใช้โสมต้มรวมกับชาอีก”
สาวใช้สองคนพยักหน้าหงึกหงัก พากันยกกาน้ำชารีบร้อนออกไป เพิ่งออกไปถึงหน้าประตูก็พบกับตงฟางมู่ที่เร่งฝีเท้ามาที่นี่ราวกับลมกรด
ตงฟางมู่ดันร่างของสองสาวใช้ออกให้พ้นทาง ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของเขาจะเร่งรีบเข้ามา “เป็นอย่างไรบ้าง หว่านเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
หัวใจของเขาเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ในใจรู้สึกหวั่นกลัวยิ่งนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นี้แล้ว เขากลับพบว่าตนเองรับไม่ไหวโดยสิ้นเชิง
ชุ่ยเอ๋อร์รีบตอบว่า “นายใหญ่อย่าเพิ่งร้อนใจ ฮูหยินไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ หมอไป๋มาถึงทันเวลา ช่วยฮูหยินกลับมาได้แล้ว”
ตงฟางมู่ผ่อนลมหายใจ เขาไปถึงข้างเตียงแล้ว มือข้างหนึ่งยื่นไปจับมือของหว่านเอ๋อร์เอาไว้ แม้มือของนางจะเย็นเฉียบ แต่กลับไม่ได้เย็นเฉียบมากเช่นที่เขาคิดไว้ เขาเห็นหน้าอกของบุตรสาวกระเพื่อมขึ้นลงอย่างมั่นคงแล้ว คราวนี้ถึงจะวางใจลงได้
“ฮัดชิ่ว…” ไป๋จื่อจามออกมาครั้งหนึ่ง เดิมทีเสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปหมด บัดนี้มันแห้งสนิทหมดแล้ว ทว่ายามที่ตงฟางมู่เข้ามา เขาพาลมหนาวระลอกหนึ่งพัดเข้ามาด้วย จึงทำให้นางหนาวสะท้านไปทั้งตัว
ชุ่ยเอ๋อร์นำผ้าคลุมของฮูหยินมาพาดลงบนร่างของนางทันที
ตงฟางมู่ขมวดคิ้วเป็นปม “ไยเจ้าถึงนำเสื้อผ้าของฮูหยินมาให้เขาเล่า เขาเป็นบุรุษ สวมเสื้อผ้าของสตรีได้อย่างไรกัน”
ชุ่ยเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
“นายใหญ่ ข้ากลับห้องก่อนนะขอรับ” ไป๋จื่อเอ่ย
ตงฟางมู่มองเงาหลังของไป๋จื่อออกไป พลางพร่ำบ่นเสียงเบา “เหตุใดเขาสวมเสื้อผ้าของสตรีแล้วถึงได้เหมือนสตรีเช่นนี้”
คราวนี้ชุ่ยเอ๋อร์ถึงได้พูดขึ้นว่า “นายใหญ่ หมอไป๋เป็นแม่นางคนหนึ่งเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าเห็นหมดแล้ว”
ครั้นได้ยินดังนั้น ตงฟางมู่ก็ตะลึงลาน หันกลับไปมองชุ่ยเอ๋อร์ทันควัน “จริงหรือ”
ชุ่ยเอ๋อร์พยักหน้า “จริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าเห็นทุกอย่างชัดเจน นางเป็นแม่นาง ไม่ใช่เด็กหนุ่มเจ้าค่ะ”
นางเป็นแม่นาง ไม่ใช่เด็กหนุ่ม บัดนี้อายุสิบสาม มีดวงตาคู่หนึ่งที่เหมือนกับสกุลตงฟางของพวกเขาอย่างกับแกะ…
ชุ่ยเอ๋อร์กล่าวอีกว่า “นายใหญ่ หมอไป๋ดูเป็นห่วงฮูหยินมาก เมื่อได้ยินว่าอาการของฮูหยินไม่ดี นางก็วิ่งมาที่นี่ทันที ลืมแม้กระทั่งจะสวมรองเท้า ร้อนใจจนมือสั่นด้วยซ้ำ ข้าเห็นกับตาเจ้าค่ะ”
แววตาของตงฟางมู่ปรากฏความตื้นตัน ในใจเกิดความคิดหนึ่งที่ทั้งบ้าบิ่นและสะเทือนใจ รวมถึงทำให้คนมีความหวังอย่างหาใดเปรียบ…
“ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าว่าเด็กสาวนางนี้เหมือนฮูหยินหรือไม่”
ชุ่ยเอ๋อร์รีบพยักหน้า “เหมือนเจ้าค่ะ เหมือนยิ่งนัก ดวงตาคู่นั้นก็เหมือนกันอย่างกับแกะเชียว”
ตงฟางมู่ตบเข่าฉาด เอ่ยด้วยความปีติ “เช่นนี้ก็ดียิ่ง นางไม่เพียงเหมือนหว่านเอ๋อร์เท่านั้น ยังเหมือนกับเผยชิงหานอีกต่างหาก ดวงตาของนางเหมือนหว่านเอ๋อร์ ส่วนจมูกและปากกลับเหมือนเผยชิงหาน มิน่าเล่าข้ามองนางแล้วถึงได้รู้สึกว่าคุ้นตา หากพูดเช่นนี้ ข้าก็เข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว”