คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 617 หลานสาว? / ตอนที่ 618 เปิดเผยฐานะเช่นนี้
ตอนที่ 617 หลานสาว?
ทีแรกชุ่ยเอ๋อร์ยังไม่เข้าใจความหมายของนายใหญ่ตงฟาง ทว่าเมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเคยชิงหานอีก จึงเข้าใจได้ทันที รีบถามว่า “นายใหญ่ ท่านหมายความว่านางเป็นบุตรสาวของฮูหยินหรือเจ้าคะ”
“ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ชัด เมื่อฟ้าสางแล้ว เจ้าลงเขาไปรับครอบครัวของนางมา ถึงตอนนั้นสอบถามแล้วก็จะรู้เอง” ตงฟางมู่สั่ง
ชุ่ยเอ๋อร์ก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง หานางเป็นลูกของฮูหยินจริง ฮูหยินตื่นขึ้นมาแล้วจะดีใจเพียงใดกันนะ
ครั้นฟ้าสาง ชุ่ยเอ๋อร์ก็นำคนและรถม้าลงจากเขาไป มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่ไป๋จื่อพักอยู่ก่อนหน้านี้ หลังจากนางพบจ้าวหลานแล้ว นางก็เพียงบอกว่าไป๋จื่อเชิญให้พวกเขาขึ้นไปอยู่ด้วยกันบนเขา
จ้าวหลานจำชุ่ยเอ๋อร์ได้ รู้ว่านางก็คือแม่นางคู้มีเมตตาคนนั้น จึงไม่ได้ถามมากความ คืนห้องพักทันที แล้วพาหูจ่างหลิน เสี่ยวเฟิง และหรูเอ๋อร์ขึ้นเขาไปพร้อมกับชุ่ยเอ๋อร์
ในโถงรับแขกของคฤหาสน์ฉีอวิ๋น ตงฟางมู่รอพบแขกอยู่นานแล้ว ครั้นเห็นคนขบวนหนึ่งเข้ามา เขาก็รีบหยัดกายลุกขึ้นไปต้อนรับ ก่อนจะเอ่ยกับจ้าวหลานด้วยความตื่นเต้น “เจ้าจะต้องเป็นมารดาของไป๋จื่อแน่ๆ”
จ้าวหลานคารวะเขาครั้งหนึ่ง สำรวมกิริยาท่าทางอยู่บ้าง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าเอง”
สายตาของตงฟางมู่กวาดมองไปยังหูจ่างหลิน “ส่วนเจ้าก็เป็นบิดาของไป๋จื่อกระมัง”
หูจ่างหลินโบกมือ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าไม่ใช่บิดาของไป๋จื่อ บิดาของนางจากไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว”
ตงฟางมู่พยักหน้า เหมือนกับที่ไป๋จื่อว่าไว้
เมื่อพวกเขานั่งลงแล้ว สาวใช้ยกน้ำชามาให้ ตงฟางมู่พินิจพิจารณาจ้าวหลานอยู่ตลอดเวลา พบว่าหน้าตาของไป๋จื่อแทบจะไม่เหมือนจ้าวหลานเลยสักนิด
“จ้าวหลาน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ถือโทษที่ข้าละลาบละล้วง”
“เชิญถามมาได้ตามสบายเลยเจ้าค่ะ” จ้าวหลานเอ่ย
“ไป๋จื่อเป็นบุตรีแท้ๆ ของเจ้าหรือ” ตงฟางมู่ถามตรงประเด็น
ที่แท้ก็เป็นคำถามนี้ แต่ไหนแต่ไรจ้าวหลานไม่เคยปิดบังเรื่องนี้กับใคร และคิดว่าไม่มีความจำเป็นใดต้องปิดบัง แม้แต่ไป๋จื่อเองก็เคชิญกับความจริงเรื่องนี้อย่างกล้าหาญ แล้วไยนางจะทำเช่นนั้นบ้างไม่ได้
จ้าวหลานยิ้ม “ไหนเลยข้าจะโชคดี ให้กำเนิดบุตรสาวที่งดงามเช่นนางออกมาได้ นางเป็นเด็กที่สามีของข้าเก็บมาได้จากในเขาเจ้าค่ะ”
ตงฟางมู่รีบถามอีก “โอ้? เขาเก็บนางมาตั้งแต่เมื่อใด แล้วตอนที่เก็บนางมาได้ นางอายุเท่าไรแล้วหรือ”
“เขาเก็บนางกลับมาเมื่อสิบสามปีก่อนเจ้าค่ะ ตอนนั้นนางอายุยังไม่ครบเดือนเลยด้วยซ้ำ ทีแรกข้าคิดว่านางจะไม่รอด คิดไม่ถึงเช่นกันว่านางจะรอดมาได้ เง็กเซียนฮ่องเต้เมตตานางจริงๆ เจ้าค่ะ” จ้าวหลานตอบตามความจริง นางมองตงฟางมู่ ก่อนจะย้อนถาม “ไยท่านถึงถามเรื่องนี้เล่าเจ้าคะ”
ตงฟางมู่แทบจะข่มความรู้สึกตื้นตันในหัวใจไว้ไม่ไหว เขาลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น แล้วพูดกับจ้าวหลาน “ข้าจะพูดความจริง ไม่ขอปิดบัง บุตรีของข้าคลอดทารกเพศหญิงเมื่อสิบสามปีก่อน ทว่ายังไม่ครบเดือนก็ขาดใจตาย บุตรีของข้ายังไม่ทันได้เห็นศพ สามีของนางก็บอกว่าลูกของนางตายจากไปแล้ว นางเชื่อว่าเป็นจริงเช่นนั้น คิดว่าลูกของนางตายไปแล้วจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่าเดือนก่อนพวกข้าได้เบาะแสของเด็กคนนี้มาจำนวนหนึ่ง ว่าแท้จริงแล้วเด็กคนนี้ยังไม่ตาย และยังมีชีวิตอยู่ดีบนโลกใบนี้ เรื่องที่ตายตั้งแต่เยาว์เป็นเพียงแค่คำลวงเท่านั้น”
จ้าวหลานตะลึงตาค้างมองตงฟางมู่ ขณะเดียวกันเขาก็พูดต่อ “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นบุตรีของเจ้า ข้าก็รู้สึกว่านางคล้ายกับบุตรีของข้ามาก ทว่าตอนนั้นนางแต่งกายเป็นบุรุษ ข้าจึงคิดว่าความคล้ายคลึงนี้เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อคืนวาน ข้าพบโดยไม่คาดคิดว่านางเป็นสตรี นางอายุสิบสามปีเช่นเดียวกัน หน้าตาก็คล้ายกันอย่างน่าประหลาด ทำให้ข้าจำต้องต้องสงสัยเช่นนั้น จึงได้เชิญพวกเจ้ามาคลายข้อข้องใจ”
เวลานี้จ้าวหลานยังคงมองตงฟางมู่ “เช่นนี้หมายความว่า จื่อเอ๋อร์นางเป็นหลานสาวของท่านหรือเจ้าคะ”
ตงฟางมู่ถามอีกว่า “ตอนที่พวกเจ้าพบนาง นางมีสิ่งของอะไรติดตัวบ้างหรือไม่”
จ้าวหลานนึกถึงพู่หยกที่ถูกสกุลไป๋นำไป นางรีบกล่าวทันควัน “มีเจ้าค่ะ มีพู่หยกชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้มันไม่ได้อยู่กับพวกข้าแล้ว พี่และน้องของสามีข้าที่ตายไปนำมันไปเจ้าค่ะ”
……….
ตอนที่ 618 เปิดเคยฐานะเช่นนี้
“เจ้าลองบอกข้าหน่อยเถิด ว่าพู่หยกนั่นหน้าตาเป็นเช่นไร” ตงฟางมู่ถาม นี่เป็นหลักฐานสุดท้ายแล้ว ขอเพียงถูกต้อง ก็แน่ใจได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
จ้าวหลานตอบว่า “ข้าจำได้เจ้าค่ะ มันเป็นพู่หยกที่มีเอกลักษณ์มาก บนนั้นสลักพระสังกัจจายน์เอาไว้องค์หนึ่ง ที่ปลายนิ้วมือของพระองค์เป็นสีแดงชาด บริเวณหน้าท้องเป็นสีมรกต สามีของข้ากลัวว่าพี่น้องของเขาจะแย่งพู่หยกนี้ไป จึงนำมันไปซ่อนไว้ยังที่ลับตาคน แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด ทว่าสามีของข้าจากไปอย่างกะทันหัน เขาจากไปโดยที่ไม่ได้บอกสถานที่ซ่อนพู่หยกกับข้า ต่อมาพู่หยกก็ราวกับหายวับไป และไม่เคยปรากฏอีกเลย จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อน ข้าเห็นพู่หยกห้อยอยู่บนคอของแม่สามีข้า บัดนี้แม่สามีข้าตายไปแล้ว คาดว่ามันน่าจะตกไปอยู่ในมือของบุตรชายนางสองคน”
ในที่สุดตงฟางมู่ก็สบายใจได้เสียที ทุกอย่างถูกต้อง ทุกอย่างเหมาะเจาะพอดี
“หมายความว่าพวกเจ้าลี้ภัยมาจากหมู่บ้านหวงถัวสินะ”
จ้าวหลานพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ พวกข้ามาจากหมู่บ้านหวงถัว ท่านรู้ได้เช่นไรเจ้าคะ”
ตงฟางมู่ยิ้มกว้าง “พวกข้าสืบสาวไปถึงหมู่บ้านหวงถัวแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าตอนที่คนของพวกข้าไปถึง ทั้งหมู่บ้านเจอกับหายนะ ไม่มีใครเหลือรอดแม้สักคน ถึงได้ล่าช้ามาจนถึงป่านนี้”
จ้าวหลานไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกเช่นไร นางดีใจแทนไป๋จื่อ แต่ก็รู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง นางดีใจมากที่ไป๋จื่อพบครอบครัวของตนเอง แต่ก็กลัวว่าไป๋จื่อจะจากนางไป
ทันใดนั้นไป๋จื่อก็เข้ามาจากข้างนอก นางยังคงสวมอาภรณ์ของบุรุษ ครั้นเห็นจ้าวหลาน หูจ่างหลิน และคนอื่นๆ นางก็มีสีหน้าประหลาดใจทันที “ท่านแม่? พวกท่านมาได้อย่างไร”
จ้าวหลานรีบลุกขึ้นยืน รีบเดินไปหาไป๋จื่อ แล้วจับมือของบุตรสาวเอาไว้ “จื่อเอ๋อร์ เขาเป็นท่านตาของเจ้า รีบเรียกเขาสิ!”
ไป๋จื่อชะงักงัน “ท่านรู้ได้อย่างไร”
เมื่อเห็นนางไม่แปลกใจเลยสักนิด จ้าวหลานจึงถามว่า “เจ้ารู้อยู่แล้วหรือ”
ไป๋จื่อยิ้มเจื่อน “ข้าพอจะเดาได้เจ้าค่ะ” นางคิดไม่ถึงเลย ยังไม่ทันสืบสาวเรื่องราวให้ชัดเจน ฐานะของนางก็เปิดเคยออกมาเช่นนี้แล้ว…
ตงฟางมู่เดินมาถึงเบื้องหน้าของพวกนางทั้งสอง มองใบหน้าที่ตอบเหลืองของไป๋จื่อทั้งน้ำตา “เด็กน้อย ลำบากเจ้าแล้ว”
ทว่าไป๋จื่อเคยรอยยิ้มจาง “ข้าไม่ลำบากหรอกเจ้าค่ะ ท่านแม่ดีกับข้ามาก ข้าสบายดีมากเสมอมา กลับเป็นพวกท่านต่างหากที่ลำบาก”
ในที่สุดตงฟางมู่ก็อดรนทนไม่ไหวอีก เขาอดกลั้นมานานแล้ว น้ำตาหลั่งไหลออกมาดุจสายน้ำ เขาร่ำไห้ให้กับความลำบากที่เด็กคนนี้ได้รับมาหลายปี และชีวิตที่น่าเวทนาของบุตรีตน ส่วนตัวการก่อเรื่องทุกอย่างนี้ยังคงลอยหน้าลอยตาเป็นถึงโหว ตอนนี้ยังนำลูกตัวปลอมกลับมาอีก ข้าอยากเห็นจริงๆ ว่าคนแซ่เคยคู้นี้จะหนีความจริงไปได้อีกนานเท่าไร!
ไป๋จื่อไม่รู้ว่าควรปลอบใจชายชราที่บัดนี้มีน้ำตานองหน้าเช่นไร นางไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ และไม่รู้ว่าเวลานี้นางควรพูดอะไร หรือควรทำอะไรบ้าง
ครั้นตงฟางมู่ระงับอารมณ์ได้แล้ว ไป๋จื่อถึงจะกล่าวว่า “ข้าอยากรู้เจ้าค่ะ ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น เหตุใดข้าถึงถูกทิ้งไว้ในเขาที่ห่างไกลจากเมืองหลวงถึงพันลี้เช่นนั้น”
“ตอนนั้นข้าไม่สามารถเข้าไปที่เมืองหลวงได้ ตอนที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ข้าไม่อยู่ หว่านเอ๋อร์ก็ล้มป่วย เมื่อข้ากลับมาถึง เคยชิงหานบอกข้าว่าฝังลูกไปแล้ว ต่อมาข้าบอกกับเขาว่าต้องการพู่หยก เขาก็บอกว่าฝังพู่หยกไปพร้อมกับลูกแล้วเช่นกัน ตอนนั้นข้าไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นคนเช่นนี้ ถึงได้ไม่สืบสาวราวเรื่องอะไร” ตงฟางมู่เล่า
“หมายความว่าคนที่ทำร้ายฮูหยินและทอดทิ้งข้า ก็คือเคยชิงหานคู้นั้น คู้เป็นบิดาแท้ๆ ของข้าหรือเจ้าคะ” ไป๋จื่อถาม
ตงฟางมู่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากตอบคำถาม “ข้าเดาว่าเคยชิงหานไม่ได้อยากทอดทิ้งเจ้า แต่อยากจะฆ่าเจ้าต่างหาก น่าเสียดายที่เขาใช้งานคนคิด คนคู้นั้นไม่ได้ลงมือกับเจ้า แต่ทิ้งเจ้าไว้ในเขาที่ห่างไกลออกไปถึงพันลี้ โชคดีเข้าข้างเจ้า สกุลตงฟางของพวกเราก็ทำบุญมาไม่น้อย เจ้าถึงได้รอดชีวิตมาได้”