คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 63 ไม่อนุญาตให้กินสักชิ้น / ตอนที่ 64 จำคำสัญญาของเจ้าไว้
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 63 ไม่อนุญาตให้กินสักชิ้น / ตอนที่ 64 จำคำสัญญาของเจ้าไว้
ตอนที่ 63 ไม่อนุญาตให้กินสักชิ้น
ไป๋จื่อเห็นทั้งสองคนกลับมามือเปล่า จึงถามว่า “ผ้าห่มและเสื้อผ้าเล่าเจ้าคะ”
หลิวซื่อดึงแม่สามีถอยออกไปด้านนอก นางเคยเสียเปรียบให้กระบองไม้ในมือของไป๋จื่อมาก่อน ขณะนี้บนตัวนางยังเจ็บอยู่เลย ครั้นเห็นเด็กสาวยังถือกระบองไม้อยู่ ในใจจึงหวาดหวั่นอย่างอดไม่อยู่
นางถ่มน้ำลายใส่ไป๋จื่อจากไกลๆ “สิ่งของของพวกเจ้าเอง ไม่มีมือไปเอาเองหรืออย่างไร? หากไม่สะดวกจริงๆ ก็ให้ชู้รักเฒ่ากับชู้รักหนุ่มของพวกเจ้านำมาให้สิ คิดจะให้พวกข้าช่วยเจ้าทำงานหรือ? ฝันไปเถอะ”
เด็กสาวตามพวกนางออกจากเรือนไม้ ขณะกำลังจะแขวะอีกฝ่ายสักสองสามคำ กลับเห็นหูเฟิงถือผ้าห่มและกะละมังไม้ที่ห่อมาอย่างดี ส่วนมืออีกข้างหนึ่งถือถ้วยใบใหญ่เข้ามาในลานบ้าน
“เจ้ามาได้อย่างไร” นางไม่สนใจหญิงชราและหลิวซื่ออีก เพียงถามหูเฟิงที่เดินมาหานาง
“พวกข้าผัดเนื้อกระต่ายไม่เป็น จึงไม่ได้ทำ เพียงย่างไก่ป่าตัวหนึ่งเท่านั้น ท่านพ่อให้ข้านำมาให้พวกเจ้าถ้วยหนึ่ง” เขายกผ้าห่มในมือขึ้นอีก “และถือโอกาสนำผ้าห่มมาให้เจ้าด้วย”
สายตาของหญิงชราและหลิวซื่อจับจ้องไปยังถ้วยขนาดใหญ่ที่เปิดไว้ตาไม่กะพริบ ภายในเต็มไปด้วยเนื้อไก่ที่มันวาวน่ากินทั้งถ้วย กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก ทั้งสองคนกลืนน้ำลายพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกนางจำไม่ได้แล้ว ว่าไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานเท่าไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไก่ ส่วนแม่ไก่ตัวหนึ่งที่เลี้ยงอยู่ในบ้าน นั่นมีไว้สำหรับออกไข่โดยเฉพาะ ไหนเลยจะตัดใจฆ่าเพื่อกินเนื้อได้
หญิงชราขยิบตาให้หลิวซื่อครั้งหนึ่ง ฝ่ายหลิวซื่อก็รู้กัน รีบปั้นหน้ายิ้มเดินไปทางหูเฟิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยในมือของหูเฟิงมา “ไอ้หยา พี่หูช่างมีน้ำใจเสียจริง ถึงส่งไก่ถ้วยใหญ่ขนาดนี้มาให้ ข้าล่ะเกรงใจยิ่งนัก”
ในปากบอกว่าเกรงใจ แต่มือกลับยื่นไปรับ หากพูดถึงความหน้าหนา คงจะไม่มีผู้ใดเทียบได้แล้ว
หูเฟิงยกถ้วยในมือขึ้นสูง พลางกวาดสายตามองหลิวซื่ออย่างเย็นชา แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “นี่เป็นสิ่งที่ข้านำมาให้จื่อยาโถวและท่านน้าจ้าว ไม่มีส่วนของพวกเจ้า” หลังจากพูดจบ เขาก็ถือผ้าห่มตรงเข้าไปในเรือน
ไป๋จื่อแอบดีใจ หูเฟิงผู้นี้ช่างสายตาเฉียบแหลมนัก ไม่เลวๆ
“เจ้าเด็กน่าตาย ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากินลำพัง เมื่อหูเฟิงไปแล้ว ก็รีบนำมาให้ข้าในเรือนใหญ่ ไม่อนุญาตให้กินสักชิ้น หากพร่องไปแม้แต่ชิ้นเดียว ข้าจะหยิกหนังของเจ้า” หญิงชราสกุลไป๋ชี้หน้าไป๋จื่อ พลางต่อว่า
หลานชายหัวแก้วหัวแหวนของเขากำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ทั้งยังต้องตั้งใจเรียนหนังสือ มีของดีย่อมต้องเหลือไว้ให้หลานชายคนโปรดของนางกิน แน่นอนว่าตนเองก็ต้องได้กินด้วยเช่นกัน ทว่าคนสกุลไป๋มีอยู่มากมายเพียงนั้น กินกันคนละชิ้นยังแทบจะไม่พอ ไหนเลยจะมีส่วนของนางเด็กนางตายผู้นี้
ไป๋จื่อหัวเราะเสียงเย็น “ได้ เช่นนั้นพวกท่านก็รอเถอะ” นางถือกระบองไม้หมุนกายเข้าไปในเรือน เมื่อเห็นหูเฟิงวางผ้าห่มและชามลง ทั้งยังกำลังจะจากไป นางกลับรีบรั้งเขาไว้
“อีกเดี๋ยวเจ้าค่อยไป”
หูเฟิงไม่เข้าใจ “มีเรื่องอะไรหรือ”
เด็กสาวชี้ไปที่ประตูด้านหลังที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หากเจ้าไปแล้ว สองแม่สามีและลูกสะใภ้ชั่วร้ายนั่นจะพุ่งเข้ามาแย่งไก่ถ้วยนี้ไปทันที ทว่าหากเจ้าอยู่ที่นี่ พวกนางน่อมไม่กล้าแน่ รอข้ากับท่านแม่กินเสร็จก่อนค่อยไป จะได้นำถ้วยกลับไปด้วยเลย”
ชายหนุ่มคิดถึงท่าทางร้อนรนของหลิวซื่อเมื่อครู่ หากเขาไป นางต้องแย่งไปแน่นอน
“ได้ พวกเจ้ากินเถอะ ข้าจะนั่งอยู่ตรงประตูสักพัก”
หลังจากหูเฟิงออกไป ไป๋จื่อก็นำถ้วยเล็กๆ ออกมาจากในเรือน ก่อนจะแยกกระดูกออกจากเนื้อไก่ในถ้วยใหญ่ทีละชิ้น จนสุดท้ายเหลือแต่เนื้อไก่เต็มถ้วย
“ท่านแม่ ท่านรีบกินเถอะ อาหารเย็นในวันนี้ของพวกเราต้องพึ่งสิ่งนี้แล้ว” ด้วยนิสัยของคนสกุลไป๋เหล่านั้น ย่อมไม่เตรียมอาหารให้พวกนางสองแม่ลูกแน่นอน ดีเหมือนกัน นางยังไม่อยากกินโจ๊กไม่เห็นข้าวนั่นหรอก
……….
ตอนที่ 64 จำคำสัญญาของเจ้าไว้
จ้าวหลานเห็นบุตรสาวเอาใจใส่เช่นนี้ ในใจรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก “เด็กคนนี้ ข้าเพียงมือขวาขยับไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามือทั้งสองข้างขยับไม่ได้เสียหน่อย ใช้มือซ้ายกินก็ได้”
“เอาล่ะท่านแม่ รีบกินเถอะ ตอนนี้ยังร้อนๆ อยู่ เย็นแล้วเดี๋ยวจะไม่อร่อยนะ” นางยิ้มพลางกินเนื้อไก่ชิ้นหนึ่งเข้าไปในปาก
เนื้อแห้งมาก ไม่ได้ใส่เกลือ ไม่มีรสชาติใด แต่โชคดีที่เป็นไก่ป่า จึงมีกลิ่นหอมโดยธรรมชาติ ไม่เช่นนั้นนางคงต้องคายออกมาจริงๆ
“หูเฟิง ฝือมือของเจ้าพอใช้ได้จริงๆ…” ท่านลุงหูมือหัก อาหารนี่ต้องเป็นหูเฟิงทำแน่
หูเฟิงเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน สายตาเหม่อมองไกลออกไปอย่างเรียบเฉย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ไม่นานนัก ไป๋จื่อก็ยกถ้วยเปล่าออกมาจากประตู
ชายหนุ่มยืนตัวตรงอยู่ตรงหน้าประตูนั้น สองมือไพล่หลัง บนกายเขาคล้ายกับมีกลิ่นอายของความสง่างามที่แตกต่างจากคนอื่นสายหนึ่ง ใบหน้าด้านข้างคมสันชัดเจนราวกับใช้มีดแกะสลัก ทว่าในลูกตาสีดำหยั่งลึกดุจบึงน้ำ กลับเต็มไปด้วยความงุนงงต่ออดีตที่เขาไม่รู้
นางยื่นถ้วยไปตรงหน้าเขา “กำลังคิดอะไรอยู่”
หูเฟิงพลันตื่นจากภวังค์ ก่อนจะรับถ้วยนั้นไป แล้วส่ายหน้าเรียบๆ “ไม่มีอะไร”
“ให้ข้าเดา เจ้ากำลังคิดว่าเมื่อก่อนเจ้าเป็นใครกันแน่ มีชีวิตอยู่ในสถานที่แบบใด มีครอบครัวเป็นเช่นไร เหตุใดเจ้าหายตัวไปนานถึงเพียงนี้แล้ว แต่ยังไม่มีผู้ใดตามหา ใช่หรือไม่?”
เขาเหล่มองนาง พลางกวาดสายตามองใบหน้าของนางอย่างเฉยชา บนใบหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือนั้น ยังคงมีรอยเขียวช้ำกระจายอยู่ จึงมองเห็นใบหน้าเดิมของนางไม่ชัด เพียงแต่ดวงตาคู่นั้น กลับงดงามจนทำให้ยากจะลืมเลือน แม้จะมองเพียงครั้งเดียวก็ตาม
ครั้นเห็นเขาไม่ส่งเสียง นางก็ถามอีก “หากวันใดข้ารักษาเจ้าหายแล้ว เจ้าฟื้นความทรงจำได้แล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าจะจากไปหรือไม่”
“ไปสิ” เขาพูดคำตอบออกมาโดยที่แทบจะไม่ลังเล นี่เป็นคำตอบที่จริงใจที่สุดของเขา
นางถามอีก “แล้วท่านลุงหูเล่า? หากเจ้าไปแล้ว เขาจะทำอย่างไร”
“เขาเป็นพ่อของข้า ที่ที่มีข้าอยู่ ย่อมต้องมีเขาด้วย” คำตอบนี้ยังคงไม่มีความลังเลแม้สักนิด ราวกับว่าฝังรากลึกอยู่ในใจเขามานานแล้ว
ท่านลุงหูเป็นคนดี เขาช่วยคนที่ตนเองไม่รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังกลับมา เลี้ยงดูอีกฝ่ายต่างลูกแท้ๆ พูดจากใจจริง หากหูเฟิงเป็นเพียงคนอกตัญญู เช่นนั้นคงจะทำร้ายจิตใจของท่านลุงหูเข้าจริงๆ
“หูเฟิง ข้าขอรับรองเลยว่าจะต้องรักษาเจ้าให้หายอย่างแน่นอน” นางเชิดหน้าขึ้น พลางมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เบื้องหน้า ความมั่นใจในตนเองในแววตาส่องประกายเจิดจ้าออกมาด้วย
เขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้า “จำคำสัญญาของเจ้าไว้แล้ว” เขามองท้องฟ้า “เย็นแล้ว ข้าควรจะกลับบ้านแล้วล่ะ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ให้มาหาข้า”
เขาก้าวเท้ายาวๆ ออกไป สุดท้ายก็หายไปจากสายตาของนางอย่างรวดเร็ว ราวกับลมระลอกหนึ่งก็ไม่ปาน
ขณะกำลังจะหมุนกายกลับเรือนไป หญิงชราและหลิวซื่อที่รออยู่ด้านหลังประตูเรือนใหญ่มาโดยตลอด ก็พากันพุ่งตัวออกมา
“นางเด็กน่าตาย ยังไม่รีบเอามาอีก” หญิงชราร้องตะโกนพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง
ไป๋จื่อลูบผิวตนเอง “ตอนนี้เกรงว่าจะนำออกมาไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นพรุ่งนี้กระมัง”
หลิวซื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็พลันโมโหจนต้องกระทืบเท้า “นางเด็กชั่ว เจ้ากินหมดแล้วหรือ?”
สีหน้าของไป๋จื่อเย็นชาขึ้นสามส่วน “คำว่าชั่วนี่หมายถึงใครหรือเจ้าคะ?”
อีกฝ่ายชี้ไป๋จื่อพลางต่อว่า “คำว่าชั่วก็ต้องว่าเจ้าอยู่แล้ว เลี้ยงมาตั้งสิบสองปี กลับเลี้ยงคนอกตัญญูได้คนหนึ่ง ทั้งยังรู้จักเพียงกินลำพัง เจ้าอย่าลืมนะว่าเจ้าเป็นคนสกุลไป๋ ของสิ่งใดไม่ว่าเข้าสกุลไป๋มาแล้ว นั่นล้วนเป็นสิ่งของของสกุลไป๋ ไม่มีเหตุผลใดให้เจ้าเก็บไว้เพียงลำพัง”
ไป๋จื่อแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ด่าข้าว่าเป็นคนชั่ว ข้ายอมรับ ใครใช้ให้คนชั่วปากชั่วด้วย แต่คนชั่วต่อว่าข้าว่าอกตัญญู ข้าไม่อาจยอมรับได้”