คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 669 เจ้านายใหม่ / ตอนที่ 670 แต่นางเป็นบุตรีของสกุลเผย
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 669 เจ้านายใหม่ / ตอนที่ 670 แต่นางเป็นบุตรีของสกุลเผย
ตอนที่ 669 เจ้านายใหม่
ไป๋เจินจูไม่เข้าใจ โอกาสใหม่อะไร โอกาสนี้คืออะไร
เผยชิงหานเห็นนางมีสีหน้างุนงง ในใจพลันร้อนรุ่มเหมือนไฟเผา พาให้ยิ่งรู้สึกเสียดายที่นำตัวคนไร้ประโยชน์เช่นนี้กลับมา สมองที่นางมีเคยคิดอ่านอะไรได้บ้างหรือไม่
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาย่อมลงจากหลังเสือยาก จึงทำได้เพียงคาดหวังว่านางจะเป็นงานได้โดยเร็วที่สุด
เขากดข่มไฟโทสะในใจไว้ พยายามกล่าวด้วยความใจเย็นอย่างยิ่งยวด “เหยียนเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าข้ารับเจ้ากลับมาที่นี่เพื่อให้เจ้าได้แต่งงานกับจิ้นอ๋อง เดิมทีข้าคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องง่าย แต่ดูจากตอนนี้แล้ว เรื่องนี้เหมือนจะห่างไกลจากที่ข้าจินตนาการไว้เรื่อยๆ แล้ว ตอนนี้พวกเราจะผูกคอตายบนต้นไม้ไม่ได้ หากเส้นทางจิ้นอ๋องนี้ไม่ราบรื่น พวกเราก็จำต้องเสาะหาหนทางใหม่ ปล่อยให้จิ้นอ๋องเดินคนละเส้นทางเดียวกันกับพวกเรา”
ไป๋เจินจูยิ่งไม่เข้าใจ นางมีหมั้นหมายกับจิ้นอ๋อง แต่เหตุใดตอนนี้จิ้นอ๋องอยู่คนละเส้นทางเดียวกันเล่า
นางมองเซียงอี๋เหนียงครั้งหนึ่ง ก่อนจะถามเผยชิงหาน “ข้าได้ยินฮูหยินเซียงบอกว่า จิ้นอ๋องก็คือฮ่องเต้ในอนาคต ขอเพียงข้าแต่งให้เขา ต่อไปก็จะได้เป็นฮองเฮา เป็นมารดาแห่งใต้หล้า แต่ตอนนี้ท่านบอกว่าจิ้นอ๋องอยู่คนละเส้นทางเดียวกันกับพวกเรา ข้าไม่เข้าใจ”
เมื่อเผยชิงหานได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วทันที เขาถลึงตามองเซียงอี๋เหนียงด้วยความไม่พอใจอย่างมาก กล่าวโทษที่นางปากมากยิ่งนัก
เซียงอี๋เหนียงยิ้มขื่น ในใจชิงชังไป๋เจินจูยิ่ง นางเด็กน่าตายผู้นี้จะพูดก็พูด จะถามก็ถาม เหตุใดต้องพาดพิงนางด้วย
“ต่อไปจิ้นอ๋องจะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสิน ทว่าตอนนี้เซียวอ๋องกำอำนาจมากมายอยู่ในราชสำนัก ทั้งยังมีขุนนางใหญ่หลายคนคอยสนับนสนุน หากเขาได้รับการสนับสนุนของตงฟางมู่ เขาก็ไม่ต้องกลัวจิ้นอ๋องแล้ว” เผยชิงหานกล่าว
ไป๋เจินจูรีบเอ่ย “ตงฟางมู่เป็นอาจารย์ของจิ้นอ๋อง เขาจะช่วยเซียวอ๋อง แต่ไม่ช่วยจิ้นอ๋องได้อย่างไร”
เผยชิงหานพูดว่า “เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าเป็นหลานสาวของตงฟางมู่ เทียบระหว่างศิษย์และหลานสาวเพียงคนเดียว ใครสำคัญกว่ากันเล่า”
นางเข้าใจแล้ว ทว่าครั้นคิดถึงท่าทีของตงฟางมู่ นางก็ไม่แน่ใจความคิดของตงฟางมู่ ว่าแท้จริงแล้วใครสำคัญกว่ากัน
หัวใจของไป๋เจินจูพลันเกิดความรู้สึกต่อต้านมากมาย นางรู้ว่านี่หมายถึงอะไร หูเฟิงอยู่ในใจของนางเสมอมา การแต่งงานให้หูเฟิงเป็นความฝันของนางมาโดยตลอด
ความลนลานยามพบหูเฟิงที่หอเทียนอีเมื่อครู่ค่อยๆ หายไป นางเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว แต่ตอนนี้เผยชิงหานกลับราดน้ำเย็นใส่นางกะละมังหนึ่ง ทำให้ความตื่นเต้นที่เพิ่งก่อตัวขึ้นมาสลายตัวไปในทันที
นางอยากจะปฏิเสธเต็มหัวใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ ตั้งวันนั้นที่นางตัดสินใจออกจากหมู่บ้านหวงถัว โชคชะตาของนางก็ไม่ได้อยู่ในกำมือของนาง เมื่อนางอยู่ต่อหน้าเผยชิงหาน นางไม่มีสิทธิ์กล่าววาจาใด แม้กระทั่งไม่มีสิทธิ์จะต่อรองและแลกเปลี่ยนอะไร
“ข้าจะจำไว้เจ้าค่ะ!” นางพยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วหมุนกายกลับไปที่เรือนอย่างเงียบๆ
หลังจากไป๋เจินจูจากไปแล้ว เผยเซี่ยเฉินที่ยืนอยู่เบื้องหลังเซียงอี๋เหนียงก็ก้าวออกมา นางเหล่มองไป๋เจินจูที่เดินห่างออกไปไกล เอ่ยด้วยเสียงที่เจือความดูถูกอย่างเข้มข้น “ท่านพ่อ นางจะทำได้หรือเจ้าคะ ท่าทางเช่นนั้นของนาง เซียวอ๋องจะชอบพอนางได้หรือ”
เผยชิงหานมุ่นคิ้วมองบุตรีด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “ไม่ว่าในใจเจ้าจะรังเกียจนางเพียงใด แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก นางก็คือพี่หญิงของเจ้า เป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนชางหยวนโหว เจ้าจำเป็นต้องเก็บกดความดูถูกบนใบหน้าไว้บ้าง อย่าได้ให้ใครหัวเราะเยาะ”
เซียวอี๋เหนียงรีบยิ้มกล่าว “ท่านโหว เฉินเอ๋อร์ก็ไม่ได้คิดเป็นอื่น นางรู้อยู่แก่ใจดีเจ้าค่ะ ทว่านางกลัวว่าจะไม่สำเร็จ และพัวพันมาถึงสกุลเผยของพวกเราก็เท่านั้น”
……….
ตอนที่ 670 แต่นางเป็นบุตรีของสกุลเผย
เผยชิงหานเอ่ยเสียงเย็น “เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อฮองเฮาตัดสินใจเช่นนี้ก็ย่อมใคร่ครวญมาอย่างดีแล้ว เพื่อความรุ่งโรจน์ในอนาคต อย่าว่าแต่สตรีเช่นนางเลย ต่อให้เป็นสตรีที่แขนขาดขาขาด ตอนนี้เซียวอ๋องก็ไม่มีทางปฏิเสธ เข้าใจหรือไม่”
ในที่สุดเผยเซี่ยเฉินก็เข้าใจ ความอิจฉาภายในใจหายไปจนเกลี้ยง กลับกลายเป็นความลำพองใจเมื่อเห็นผู้อื่นตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแทน ทำให้ไป๋เจินจูผู้นี้เกี่ยวดองกับเซียวอ๋องได้ จวนชางหยวนโหวก็จะรุ่งเรืองขึ้นมา ส่วนนางเผยเซี่ยเฉินก็จะได้เชิดหน้าชูคอต่อหน้าสกุลเมิ่งเช่นกัน ความปรารถนาที่จะแต่งให้เมิ่งหนานย่อมไม่ใช่ความหวังลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป
…
เช้าวันต่อมา เผยชิงหานส่งไป๋เจินจูที่แต่งกายด้วยชุดใหม่ทั้งตัวไปที่หน้าประตูวังด้วยตนเอง นางกำนัลจากตำหนักชิ่งอันรออยู่ที่นอกวังแล้ว ครั้นเห็นเผยชิงหานส่งคนมา นางก็รีบก้าวเข้ามาต้อนรับ และนำทางไป๋เจินจูเข้าวังไปในทันที
ภายในตำหนักชิ่งอัน ฉุนเฟยและฉู่เฟิงสนทนากันอย่างลับๆ อยู่นานแล้ว เมื่อได้ยินว่าคุณหนูจากสกุลเผยมาถึง ฉู่เฟิงก็เปิดม่านบังลมยื่นหน้าออกไปดูทันที
ไป๋เจินจูเข้ามาภายในตำหนักแล้ว นางก็ทำความเคารพฉุนเฟยอย่างงกๆ เงิ่นๆ ตามที่ได้ร่ำเรียนกฎเกณฑ์มาเมื่อวานนี้
ยามที่ไป๋เจินจูคุกเข่าลง ฉุนเฟยพิจารณบุตรีสกุลเผยที่ดูท่าทางธรรมดาและแข็งทื่อเบื้องหน้านี้ด้วยสายตาเย็นชา ในใจเกิดความรู้สึกและรังเกียจเต็มประดา สตรีเช่นนี้จะคู่ควรกับเฟิงเอ๋อร์ของนางได้อย่างไร ทั้งสองคนช่างต่างกันราวกับโคลนเลนและก้อนเมฆเสียจริง
นางนึกถึงตงฟางหว่านเอ๋อร์ ด้วยเคยพบสตรีนางนั้นอยู่สองครั้ง อีกฝ่ายช่างเป็นคนงามที่หาได้ยาก เผยชิงหานเองก็มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยก เหตุใดคนทั้งสองถึงได้ให้กำเนิดบุตรีที่แสนธรรมดาเช่นนี้ได้ พาให้สงสัยว่าเป็นตัวจริงหรือปลอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
“ลุกขึ้นเถอะ!”
ครั้นไป๋เจินจูเงยหน้าขึ้น ความดูถูกและรังเกียจบนใบหน้าของฉุนเฟยก็พลันหายวับ แทนที่ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วย ‘เมตตา’ นางหยัดกายลุกขึ้นไปจับมือของไป๋เจินจู เอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “หลายวันก่อนข้าได้ยินว่าเจ้ากลับมาแล้ว ในใจเอาแต่คิดถึงเรื่องเจ้าอยู่ตลอด ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบแล้ว”
ไป๋เจินจูรู้สึกเครียดเกร็งมาก จนฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายก็สั่นเทาเล็กน้อย ท่าทีต่ำต้อยเช่นนี้ยิ่งทำให้ฉุนเฟยนึกดูถูกนางมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้จะดูถูกและสงสัยเพียงใด แต่อย่างไรเสียตอนนี้นางก็เป็นบุตรีของสกุลเผย เป็นหลานสาวของตงฟางมู่ เช่นนั้นก็เท่ากับนางเป็นเหยื่อที่ฉุนเฟยต้องการ
หลังจากสนทนาพาทีอยู่ในตำหนักได้สักพักหนึ่ง ในที่สุดความเครียดเกร็งอย่างหาใดเปรียบของไป๋เจินจูก็คลายลงไปมาก
นางยังคิดเลยว่าฮองเฮาช่างใจดีมีเมตตา ไม่มีการวางท่ากับนางเลยสักนิด ถึงขั้นที่เอ็นดูนางยิ่งกว่าฮูหยินเซียงที่จวนอีก จึงรู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นกว่าเดิม
ครั้นนางกำนัลยกชามาให้ นางกำลังรู้สึกกระหายน้ำพอดี จึงลืมกฎระเบียบไปชั่วขณะ ยกนำชาขึ้นดื่มทันที ผลปรากฏว่าน้ำชาร้อนลวกปากมาก การกระทำที่วู่วามนี้ส่งผลให้น้ำชาในจอกกระเด็นออกมา ทั้งลวกมือ ทั้งเปียกชุ่มเสื้อผ้าไปพร้อมๆ กัน
จอกกระเบื้องอันประณีตกลิ้งตกลงบนพื้น น้ำชาไม่เพียงสาดใส่ตัวไป๋เจินจู ยังกระเซ็นถูกชายกระโปรงของฉุนเฟยด้วย ฉุนเฟยเห็นเป็นเช่นนั้นก็พลันเกิดไฟโทสะสุมทรวง ทว่าแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมาก็ดูไม่ดี จึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ให้ชิวเหอพาเจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็แล้วกัน”
ไป๋เจินจูกล่าวขอประทานอภัยไม่ขาดปาก ดวงตามีแต่ความกระวนกระวายและทำอะไรไม่ถูก ครั้นเห็นฮองเฮาไม่ได้กล่าวโทษตน ทั้งยังอนุญาตให้นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ในใจพลันรู้สึกตื้นตันมาก ก่อนจะตามนางกำนัลนามว่าชิวเหอไปเปลี่ยนชุดที่ตำหนักหลัง
เงาร่างของไป๋เจินจูหายไปจากสายตาได้ไม่ทันไร ฉู่เฟิงก็เดินออกมาจากด้านหลังฉากบังลม
“เห็นหรือไม่” ฉุนเฟยถาม
ฉู่เฟิงหาเก้าอี้นั่งลง พยักหน้า “เห็นพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นไรบ้าง” ฉุนเฟยถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แก่ใจ
โอรสมุ่นคิ้ว “สาวใช้ในจวนอ๋องยังดีกว่านางอีก”
ฉุนเฟยถอนใจเสียงหนึ่ง “แต่นางเป็นบุตรีของสกุลเผย”