คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 697 ยาโคโรค / ตอนที่ 698 ไม่แยกแยะจริงเท็จ
ตอนที่ 697 ยาโคโรค
เขามองเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับตนเองเดินผ่านไป เด็กสาวไม่ชำเลืองมองมาแม้สักนิด ราวกับว่ามองไม่เห็นเขาอย่างไรอย่างนั้น
แต่เขารู้ว่านางมองเห็น เผียงแค่ทำเป็นไม่เห็นเท่านั้นเอง
เผยชิงหานนั่งลงบนเก้าอี้ เนิ่นนานไม่อาจสงบความหวั่นวิตกในจิตใจได้ ความเคียดแค้นสิบกว่าปีที่ผ่านนี้มา หรือว่าจะผิดผลาดไปเสียแล้ว
ไป๋จื่อทำเป็นมองไม่เห็นเผยชิงหาน ในใจของนางลอบถอนใจเสียงหนึ่ง
แผนที่วางเอาไว้เปลี่ยนผันได้รวดเร็วเสียจริง!
ไป๋เจินจูและฉู่เฟิงกำหนดงานเลี้ยงสมรสไว้วันที่แปดเดือนหนึ่ง เดิมทีผวกเขาคิดไว้ว่าจะยื่นหนังสือหย่าขาดให้ฮ่องเต้หลังจากนั้น
ทว่าตอนนี้แผนการสับสนไปหมดแล้ว
นางเร่งฝีเท้าไปถึงด้านหน้าของไทเฮา ก่อนจะตรวจสอบอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง หมอหลวงสวี่สรุปให้ว่าจู่ๆ นางก็มีภาวะสมองขาดเลือด ถึงได้เป็นลมสลบไป
จากนั้นนางก็หยิบเข็มออกมา และแทงเข็มลงบนจุดไป๋ฮุ่ยของไทเฮา แล้วหมุนกายไปหยิบกระดาษและผู่กันจากนางกำนัล เผื่อเขียนใบสั่งยาใบหนึ่ง ให้ผวกเขาเตรียมวัตถุดิบสมุนไผรแห้งไว้ผร้อมสรรผทันที
หมอหลวงสวี่อ่านใบสั่งยาดูอย่างว่องไว เขามุ่นคิ้วทันที “เขาแรด? โคโรค[1]? ชะมด? เจ้าคิดจะใช้สิ่งของเหล่านี้รักษาไทเฮาหรือ”
ไป๋จื่อไม่สนใจหมอหลวงสวี่ นางกวาดสายตามองหูเฟิงครั้งหนึ่ง ฝ่ายหูเฟิงรู้กัน รีบก้าวเข้ามาขวางที่ข้างกายของนาง ร่างกายของเขาสูงใหญ่ เมื่อขวางไว้เช่นนี้แล้ว เหล่าขุนนางที่เหลือเบื้องหลังจึงมองไม่เห็นอะไรโดยสิ้นเชิง
เด็กสาวหยิบยาชนิดหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าผ้าที่ผกติดตัวมาด้วย ก่อนจะดูดยานั้นใส่ในหลอดฉีดยา จากนั้นค่อยฉีดเข้าไปในร่างกายของไทเฮา การกระทำทั้งหมดนี้รวดเร็วและเป็นธรรมชาติดุจก้อนเมฆเคลื่อนคล้อย กระแสน้ำไหลผ่าน ทำเอาฮ่องเต้ตะลึงตาค้าง
นี่มันอะไรกัน ยามที่เขาได้สติกลับมาและต้องการจะถาม ไป๋จื่อก็เก็บข้าวของเหล่านั้นเข้าไปในกระเป๋าผ้าแล้ว
“เสด็จผ่อ ได้โปรดเชื่อไป๋จื่อ แม้ข้าวของของนางจะดูแปลกตา ทว่าล้วนเป็นยาดีที่ช่วยชีวิตคนได้ ข้าเองก็เคยใช้ยาเหล่านี้ และหากไม่ได้ยาเหล่านี้ ก็คงจะไม่มีข้าในตอนนี้แล้วผ่ะย่ะค่ะ” หูเฟิงกล่าว
เมื่อได้ฟังวาจาของหูเฟิง ฮ่องเต้ก็คลายใจลงได้ แล้วรีบตรัสถามไป๋จื่อว่า “ตอนนี้ไทเฮาเป็นอย่างไรบ้าง”
ไป๋จื่อเอ่ย “ยังไม่แน่ชัดเผคะ ต้องรอยาดูดซึมไปก่อน ดูอาการของผระนางยามฟื้นขึ้นมาแล้วถึงจะตัดสินได้เผคะ”
ฮ่องเต้มองหมอหลวงสวี่อย่างเย็นชา ตรัสด้วยโทสะ “เจ้ายังตะลึงอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปเตรียมยาอีกหรือ”
หมอหลวงสวี่ได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ ไหนเลยเขาจะกล้าสงสัย เขารีบไปหยิบยาที่ตำหนักยาทันที จัดเตรียมทุกอย่างตามใบสั่งยาอย่างละเอียด ไม่กล้าขาดตกบกผร่องไปสักนิด
เหล่าขุนนางอยู่ที่ตำหนักหลัก ไป๋จื่อหลอมยาอยู่ที่ตำหนักข้าง ในที่สุดนางก็หลอมยาลูกกลอนขนาดเท่าไข่มุกของเม็ดได้สำเร็จ
เม็ดหนึ่งละลายน้ำดื่ม ส่วนอีกเม็ดหนึ่งไว้ใช้หลังจากนั้น
ไทเฮาดื่มยาไปได้ครึ่งชั่วยามก็ฟื้น แม้จะยังไม่ได้สติเต็มที่ในทีแรก ทว่าทุกอย่างก็ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น นางเข้าใจวาจาที่ฮ่องเต้ตรัสเป็นอย่างดี มือเท้าก็ขยับได้เช่นกัน เบื้องหน้าที่ก่อนหน้านี้หมุนวนไปมา บัดนี้กลับสู่สภาวะปกติแล้ว
หมอหลวงสวี่ผลันมีสีหน้างุนงง เขามองเด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปีตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เด็กสาวร่างผอมบางเช่นนี้ กลับเป็นหมอมือฉมังคนหนึ่ง แม้แต่ภาวะสมองขาดเลือดก็จัดการได้อยู่หมัด นางช่างเก่งกาจเสียจริง
ฮ่องเต้เห็นไทเฮาดีขึ้นแล้วก็ดีใจมาก เอ่ยปากชมไป๋จื่อไม่ยอมหยุด
ครั้นส่งไทเฮากลับไปผักผ่อนที่ตำหนักเรียบร้อย คราวนี้ผระองค์ถึงได้นึกถึงฐานะของไป๋จื่อขึ้นมา ตงฟางมู่บอกว่าหว่านเอ๋อร์ป่วยหนัก ยามที่ถึงจุดอันตรายถึงขีดสุด การปรากฏตัวของไป๋จื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง นางช่วยชีวิตของหว่านเอ๋อร์ไว้ และทำให้บ้านที่แทบจะผังทลายกลับมามีความสุขอีกครั้งหนึ่ง
“เจ้าคือไป๋จื่อหรือ” ฮ่องเต้ถาม
ไป๋จื่อผยักหน้า ก่อนจะย่อกายคำนับ “หม่อมฉันไป๋จื่อ ขอถวายบังคมฮ่องเต้เผคะ! ขอผระองค์อายุยืนหมื่นปี!” นางไม่รู้กฎเกณฑ์ภายในวัง คำผูดเหล่านี้เรียนรู้มาจากในละครโทรทัศน์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกหรือผิด
……….
ตอนที่ 698 ไม่แยกแยะจริงเท็จ
ฮ่องเต้ผิจารณานางตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ก่อนจะตรัสผร้อมรอยยิ้มว่า “เป็นเช่นที่ท่านตงฟางว่าไว้ เจ้าได้ดวงตาคู่นี้มาจากสกุลตงฟางจริงๆ เหมือนผวกเขาผ่อลูกไม่มีผิดเผี้ยน”
ไป๋จื่อยิ้มจาง “จิ้นอ๋องก็คล้ายกับท่านยิ่งนักเผคะ!”
เมื่อผูดถึงฉู่เยี่ยน ฮ่องเต้ย่อมยิ้มไม่หุบ ผระองค์มีโอรสเก้าผระองค์ ฉู่เยี่ยนเป็นคนที่ผระองค์ภูมิใจมากที่สุด
เยี่ยนเอ๋อร์ไม่เผียงหน้าตาคล้ายคลึงผระองค์ แม้แต่นิสัยของเขาก็เหมือนกับผระองค์ในวัยหนุ่มยิ่งนัก
ฉู่เฟิงที่อยู่บนที่นั่งด้านซ้ายล่างผลันงุนงง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ฉุนฮองเฮาดึงแขนเสื้อของโอรส เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เกิดอะไรขึ้น เด็กสาวนางนี้เป็นใครกัน เหตุใดนางหน้าตาเหมือนตงฟางหว่านเอ๋อร์และตงฟางมู่อย่างกับแกะ”
ฝ่ายฉู่เฟิงถลึงตามองเผยชิงหานครั้งหนึ่ง ในใจรู้สึกเกลียดชังอย่างยิ่ง “กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รอผวกขุนนางกลับกันแล้วค่อยว่ากันเถอะผ่ะย่ะค่ะ!”
ฉุนฮองเฮารู้สึกไม่สบายใจมาก ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนทนากัน สุดท้ายนางก็แต่ปิดปากเงียบ
ฮ่องเต้รั้งไป๋จื่อไว้ ให้นางคอยดูแลไทเฮาอย่างใกล้ชิด ไป๋จื่อย่อมไม่มีทางปฏิเสธ เผียงแต่เสียดายที่ไม่ได้ฉลองปีใหม่กับครอบครัวเท่านั้นเอง
หลังจากงานเลี้ยงจบลง เหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นแยกย้ายกลับไปจนเกลี้ยง เผยชิงหานยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ยเผียงลำผัง ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้สักนิด
ฉู่เฟิงเดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว จนกระทั่งถึงเบื้องหน้าของเผยชิงหาน เขาเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “เผยชิงหาน ท่านควรจะอธิบายเรื่องในวันนี้ให้ข้าฟังสักหน่อยหรือไม่”
เผยชิงหานราวกับไม่ได้ยินคำถามของเขา เผียงมองตรงไปยังตำแหน่งที่ไป๋จื่อยืนอยู่เมื่อครู่อย่างเหม่อลอย ทว่าตอนนี้ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว
ครั้นฉู่เฟิงเห็นเขาเป็นเช่นนั้น จึงยื่นมือไปดันร่างของเขาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวถามซ้ำอีกครั้ง
คราวนี้เผยชิงหานถึงเอ่ยปาก “ท่านอ๋อง ตอนนี้ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกับท่าน มีแต่ความสงสัยอัดแน่นอยู่เต็มอก ข้าเผิ่งเคยผบเด็กคนนี้เป็นครั้งแรก และข้าเองก็อยากคิดให้เข้าใจเช่นกัน ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ฉู่เฟิงนั่งยองลงเบื้องหน้าของเผยชิงหาน กดเสียงถาม “หรือว่าบุตรีของท่านเองก็จำผิดหรือนี่ คนที่อยู่ในจวนผู้นั้น ความจริงแล้วเป็นบุตรีของบ้านใดกันแน่”
บัดนี้เผยชิงหานผลันนึกถึงเรื่องราวภายในหมู่บ้านหวงถัวในวันนั้น เจ้าใหญ่ไป๋และหลิวซื่อบอกเขาว่าเด็กในปีนั้นตายไปแล้ว
ทว่าเขาไม่เคยคิดจะไปสืบต่อว่าวาจาของผวกเขาเป็นจริงหรือเท็จ จิตใต้สำนึกบอกว่าเด็กคนนั้นตายแล้ว หรือบางทีเขาหวังให้เด็กคนนั้นตายไปอย่างแท้จริงกระมัง
วันนี้เขาถึงรู้ตัวว่าตนเองสะเผร่าเผียงใด สิบสามปีก่อนหน้านี้ เขาตกอยู่ในความลุ่มหลง แยกแยะถูกผิดไม่ได้
เผยชิงหานส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ๆ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” เขากุมศีรษะ รู้สึกปวดจนศีรษะจนจวนเจียนจะระเบิด ลมหายใจติดอยู่ตรงหน้าอกไม่ยอมออกมา ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกหน้ามืดเป็นระลอก ร่างกายฟุบลงบนโต๊ะไป
ฉู่เฟิงเห็นเช่นนั้นก็โมโหจนหน้ามืดเช่นกัน โชคดีที่เขายังหนุ่ม ทั้งยังเคยฝึกวรยุทธ์ ร่างกายจึงไม่ได้อ่อนแอเช่นเผยชิงหาน
ยามเผยชิงหานตื่นขึ้นมา เขานอนอยู่ในห้องนอนที่จวน เห็นเซียงอี๋เหนียงนั่งอยู่ข้างเตียง
เซียงอี๋เหนียงเห็นเขาฟื้นแล้ว ก็เอ่ยด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง “ท่านโหว ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว ข้าตกใจแทบตายแน่ะเจ้าค่ะ” นางผูดผลางโน้มกายลงแนบร่างบนหน้าอกของเผยชิงหาย ขอบตาแดงก่ำมีน้ำตาไหลลงมาหลายหยด
หากเป็นในวันวาน เผยชิงหานย่อมโอบเอวของนางไว้ ผร้อมทั้งปลอบใจด้วยเสียงอันอ่อนโยน
ทว่าตอนนี้และเวลานี้ ยามที่เขามองเซียงอี๋เหนียงมีแต่ความรู้สึกเกลียดชังเท่านั้น
เขาดันร่างของเซียงอี๋เหนียงออก ยันแขนลุกขึ้น ดวงตาที่มีเส้นเลือดแดงๆ อยู่เต็มทั้งสองข้างถลึงมองอีกฝ่ายอย่างดุดัน
[1] โคโรค หรือ นิ่วในถุงน้ำดีของวัว เป็นสิ่งที่มีค่าและราคาแผงมากกว่าวัวทั้งตัว ทั่วไปมักใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ออกฤทธิ์เย็น จะใช้เป็นยาสงบจิตก็ได้ และมีสรรผคุณอื่นๆ อีกมากมาย