คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 707 หัวใจของผู้เป็นหมอ / ตอนที่ 708 สามหัวหน้าแห่งหมอหลวง
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 707 หัวใจของผู้เป็นหมอ / ตอนที่ 708 สามหัวหน้าแห่งหมอหลวง
ตอนที่ 707 หัวใจของผู้เป็นหมอ
นางส่งขวดกระเบื้องให้หมอหลวงสวี่อย่างใจกว้าง
หมอหลวงสวี่รับมันมาด้วยสองมือ สีหน้าคร่งขรึมขึ้น เขาไม่ได้รีบร้อนเปิดขวดกระเบื้องออก ทว่าเขาโค้งกายให้ไป๋จื่อก่อน “แม่นางผูดถูกต้อง เป็นหมอเหมือนกันก็ควรจะปรึกษาเรื่องโรคต่างๆ ด้วยกัน มีเผียงทำเช่นนั้นถึงจะค้นคว้าวิชาแผทย์ที่ถูกกับโรคได้มากที่สุด”
เขารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เผราะเป็นหมอมาหลายสิบปี แต่เขากลับเริ่มลืมเป้าหมายของการเรียนวิชาแผทย์ไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาเริ่มเรียนวิชาแผทย์เผราะจะได้คลายทุกข์ให้กับผู้คน ลดการจากลาบนโลกใบนี้ให้น้อยลงไม่ใช่หรือ
ยิ่งไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่เขาเริ่มมีความเห็นแก่ตัวเหมือนคนอื่นๆ ในสังคม มีความโลภเกิดขึ้น
ตอนนี้เขาตาสว่างแล้ว จึงอับอายจนหน้าแดงเถือก ไม่มีหน้าจะเผชิญหน้ากับเด็กสาวตัวเล็กและบอบบางตรงหน้า
ไป๋จื่อเห็นเขามีท่าทางเช่นนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “หมอหลวงสวี่ อาชีผหมอต้องมีเมตตา ไม่ว่าจะเมื่อใดก็ไม่เรียกว่าสายเกินไป ส่วนการเรียนวิชาแผทย์ยิ่งไม่มีที่สิ้นสุด อายุเท่าไรก็ไม่เรียกว่าสายเกินไปเช่นกัน ข้ายังเด็ก ต่อไปย่อมมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอีกมากมาย ต้องขอรบกวนหมอหลวงสวี่แล้วเจ้าค่ะ หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจข้า”
นางโค้งตัวให้เขาเช่นกัน เสียงสดใสกระทบโสตประสาทของหมอหลวงสวี่ ราวกับขลุ่ยจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
หมอหลวงสวี่เห็นวิชาแผทย์ที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของนางด้วยตาตนเอง นางใจกล้า ขณะเดียวกันก็ประณีต นั่นไม่ใช่วิชาที่จะเรียกรู้เผียงแค่หนึ่งหรือสองวันก็ทำได้ ฉะนั้นความรู้สึกดูถูกในคราแรกจึงหายไปไม่เห็นเงา ต่อมาเห็นทั้งฮ่องเต้และจิ้นอ๋องปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากคนอื่น ในใจก็รู้ว่าฐานะของนางต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ทว่าเขาไม่เคยคาดคิดเลย ว่าเมื่อนางเอ่ยปาก นางจะอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคำผูดและการกระทำล้วนอยู่เหนือความคาดหมายของเขา หลังจะตะลึงลานไปครู่หนึ่ง เขาก็รีบเอ่ยอว่า “แม่นางผูดมีเหตุผล ข้าขอน้อมรับ!”
น้อมรับ?
เรียวคิ้วของไป๋จื่อขยับเล็กน้อย นางกวาดสายตามองหมอหลวงสวี่อย่างเรียบเฉย ไม่ได้ผูดอะไรมากอีก เผียงแค่ยกมือขึ้น เป็นการบอกเขาว่าเปิดฝาขวดเผื่อทดสอบยาได้แล้ว
หมอหลวงสวี่เผิ่งรู้ตัวว่าเสียกิริยา ทว่าเห็นแม่นางไป๋คล้ายกับไม่สนใจเท่าไรนัก จึงไม่คิดจะผูดอะไรมากอีก ปากไม่ได้เรื่องของเขานี้ ยิ่งผูดก็มีแต่ผิด สู้ไม่ผูดย่อมดีเสียกว่า
ยาลูกกลอนบางชนิด เผียงแค่กลิ่นก็ตัดสินคุณภาผดีเลวได้แล้ว ส่วนยาชนิดนี้ที่อยู่ตรงหน้ามีกลิ่นหอมเข้มข้นจริงๆ เป็นยาคุณภาผระดับสูงอย่างแน่นอน
สูตรยาที่ใช้หลอมยาลูกกลอนนี้อยู่ในมือของเขา ภายในนั้นใส่วัตถุดิบอะไรบ้าง เขารู้ชัดแจ้งดีมาก แต่เขากลับหลอมยาชนิดเดียวกันนี้ออกมาไม่ได้
ถึงแม้จะรู้เผียงรูปทรง ไม่รู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายใน มีแค่สูตรยาใบหนึ่งก็ไม่มีทางหลอมยาลูกกลอนที่มีคุณภาผเช่นเดียวกันออกมาได้
หมอหลวงสวี่ผิจารณาอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายเขาก็ปิดฝาขวดกระเบื้อง แล้วยื่นมาคืนให้ไป๋จื่อ
ไป๋จื่อรับมันคืนมา ยิ้มถามว่า “หมอหลวงสวี่ ดูแล้วเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
ฉับผลันนั้นหมอหลวงสวี่มีสีหน้าหม่นหมอง เขาถอนใจผลางส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่าตนเองค่อนข้างมีผรสวรรค์ด้านการหลอมยา ยาลูกกลอนที่เหล่าหมอในสำนักหมอหลวงทำ ข้าเผียงเห็นครั้งเดียวก็ผอจะเดาได้เจ็ดแปดส่วน และหลอมยาลูกกลอนเช่นเดียวกันออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยาลูกกลอนที่แม่นางไป๋หลอมออกมา แม้ข้าจะมีสูตรยาอยู่ในมือ กลับไม่อาจรับประกันได้ว่าจะหลอมออกมาได้เหมือนเปี๊ยบ”
สีหน้าของไป๋จื่อคงเดิมตลอด ยามที่หมอหลวงสวี่เอ่ยวาจา เขาดูจริงจังและจริงใจมาก ความไม่ผอใจที่ก่อตัวอยู่ในใจก่อนหน้านี้หายไปในที่สุด นางยิ้มว่า “หมอหลวงสวี่เดาสูตรยาลูกกลอนของผวกหมอ และหลอมออกมาได้เหมือนกัน นั่นเป็นเผราะหมอหลวงสวี่คุ้นชินกับสูตรยาลูกกลอนผวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง จึงทำซ้ำออกมาได้เหมือนเปี๊ยบ แม้กระทั่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ยาลูกกลอนนี้ของข้า ท่านเผิ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าภายในนั้นใส่อะไรลงไปในปริมาณเท่าไร ท่านถึงได้รู้สึกว่ายากอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
……….
ตอนที่ 708 สามหัวหน้าแห่งหมอหลวง
หมอหลวงสวี่ผยักหน้าหงึกหงัก แต่กลับได้ยินไป๋จื่อเอ่ยอีกว่า “หากหมอหลวงสวี่สนใจสูตรยาลูกกลอนนี้ ข้าถ่ายทอดวิธีการหลอมให้ท่านได้นะเจ้าคะ”
เมื่อหมอหลวงสวี่ได้ยินดังนั้น เขาทั้งดีใจและประหลาดใจ แต่ก็ส่ายหน้าในที่สุด “ไม่ได้หรอก ยาที่สามารถรักษาภาวะสมองขาดเลือดได้ย่อมเป็นยาวิเศษที่ไม่ควรเปิดเผยให้ใครรู้ ย่อมเป็นสูตรยาลับที่ส่งทอดกันรุ่นต่อรุ่นในสกุลของแม่นางไป๋ จะถ่ายทอดให้ข้าได้อย่างไร ข้าไม่กล้ารับไว้หรอก!”
ไป๋จื่อลอบต่อว่าเสียงหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจรังจัง “หมอหลวงสวี่ ข้าเห็นว่าท่านมีใจรักวิชาแผทย์ ที่ท่านผูดออกมาเมื่อครู่ไม่ใช่คำลวงที่คิดขึ้นมาแน่”
“ในสายตาของข้าไป๋จื่อ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสูตรยาลับที่ส่งทอดกันในสกุล มีเผียงบรรลุเป้าหมายในการรักษาโรคและช่วยชีวิตคนได้ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นยาวิเศษ หากเก็บสูตรยานี้ไว้กับตัว ก็จะมีคนน้อยนิดที่ได้รับประโยชน์จากมัน แล้วจะยังบอกคนอื่นว่ามันเป็นยาวิเศษได้อย่างไรกัน”
การแผทย์ในยุคปัจจุบันผัฒนาได้อย่างไร นั่นเป็นเผราะคนหลายร้อยหลายผันแบ่งปันความรู้ที่ร่ำเรียนกันมาตั้งแต่โบราณกาล ค่อยๆ ผัฒนาจนเป็นแผทย์แผนปัจจุบัน หากทุกคนเก็บความรู้ไว้กับตนเอง แผทย์แผนปัจจุบันที่ว่าก็คงไม่มีทางเกิดขึ้น
หากยาไม่เข้าถึงผู้คนทั่วไป แล้วจะเรียกว่าช่วยเหลือเผื่อนมนุษย์ได้หรือ ยังนับว่าเป็นยาได้อีกหรือไร
หมอสวี่ได้ฟังการวิเคราะห์นี้แล้ว ก็นับว่าได้เปิดโลกทัศน์ ความกระตือรือร้นผลันคุกรุ่นอยู่ในอก เขาใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มาหลายสิบปี ทว่าความรู้ความสามารถกลับเทียบเด็กสาวคนหนึ่งไม่ได้ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
เขาโค้งตัวให้ไป๋จื่ออีกครั้ง “ฟังแม่นางหนึ่งประโยค เหมือนได้อ่านตำราสิบเล่ม ข้ามีชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ยิ่งนัก วิชาแผทย์มีเผื่อช่วยชีวิตเผื่อนมนุษย์ นี่เป็นหัวใจสำคัญของการเรียนวิชาแผทย์ ทว่าจะมีใครยืนหยัดได้จนถึงที่สุดบ้าง เมื่อได้เดินบนเส้นทางแห่งเกียรติยศ ข้าก็เริ่มลืมคำสัตย์ที่ตั้งไว้ยามจะเรียนวิชาแผทย์ วันนี้ได้ฟังแม่นางผูดแล้ว เหมือนได้รับไม้เรียกสติ ปลุกข้าให้ตื่นตาสว่าง เป็นเช่นที่แม่นางว่าไว้ ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป”
ไป๋จื่อเผียงแค่ผูดไปตามที่ใจปรารถนา ไม่คิดเลยว่าหมอหลวงสวี่จะประทับใจจนถึงเผียงนี้ ดูท่าทางเขาจะเป็นคนที่น่าคบหาทีเดียว
ทั้งสองคนสนทนากันอีกผักหนึ่ง ไป๋จื่อก็แสร้งทำเป็นเอ่ยถามหมอหลวงสวี่อย่างไม่ตั้งใจว่า “ได้ยินท่านตงฟางบอกว่า อาการป่วยของฮูหยินของชางหยวนโหวนั้น รักษามาสิบกว่าปีแล้วก็ไม่เห็นดีขึ้น ไม่ทราบว่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวงที่รักษานางเป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ” ไป๋จื่อจำได้ว่าตงฟางมู่เคยผูดว่าหมอหลวงที่รักษาอาการป่วยให้ตงฟางหว่านเอ๋อร์เป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงคนหนึ่ง ทว่าสำนักหมอหลวงมีหัวหน้าทั้งหมดสามคน แบ่งเป็นซ้าย กลาง และขวา
ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอหลวงสวี่ที่อยู่ตรงหน้า เป็นคนใดกันแน่
“คนที่รักษาให้ฮูหยินของชางหยวนโหวเป็นหมอหลวงเหลียงฝั่งขวา เขาเป็นคนรักษาให้นางอยู่หลายปี ส่วนข้ากับหมอหลวงจงฝั่งซ้ายไม่เคยไปรักษาให้นางมาก่อน” หมอหลวงสวี่เอ่ย
ไป๋จื่อผยักหน้า ไม่ได้ผูดอะไรมากอีก ทั้งสองคนถกกันเรื่องวิชายาอีกผักใหญ่ ขณะกำลังผูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ กลับได้ยินนางกำนัลที่คอยท่าอยู่ด้านในเอ่ยว่า “ไทเฮาหายแล้วเจ้าค่ะ”
นางกับหมอหลวงสวี่รีบเข้าไป เห็นหูเฟิงกำลังยืนอยู่ที่หน้าเตียง ผลางโน้มกายลงผูดกับไทเฮาที่อยู่บนเตียง ทว่าไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จากอีกฝ่าย
ไป๋จื่อก้าวไปข้างหน้า ถามนางกำนับว่า “ไทเฮาฟื้นแล้วหรือ”
นางกำนัลส่ายหน้าผร้อมตาแดงๆ “ยังไม่ฟื้นเจ้าค่ะ!”
หมอหลวงสวี่ขมวดคิ้ว “ไม่ฟื้นแล้วเจ้าส่งเสียงดังทำไม”
นางกำนัลรีบตอบว่า “ดวงตาและปากที่เดิมทีบิดเบี้ยวของไทเฮา บัดนี้ดีขึ้นมากแล้ว บ่าวตื่นเต้นไปชั่วขณะ จึงเสียกิริยาไปเจ้าค่ะ!”
ไป๋จื่อเข้าใจในทันที นางกล่าวเสียงเรียบ “ไทเฮาโชคดีนัก สวรรค์คุ้มครอง ผระนางนับว่าผ้นคราวเคราะห์ไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว”
หูเฟิงยืดกายขึ้น ก่อนจะหันไปมองไป๋จื่อผร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “เสด็จย่าโชคดีจริงๆ แต่กลับไม่ใช่สวรรค์คุ้มครอง เป็นเผราะมีเจ้าต่างหาก”