คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 729 หมอหลวงจาง / ตอนที่ 730 โรคเบาหวาน (1)
ตอนที่ 729 หมอหลวงจาง
เมิ่งหนานพลันร้องขึ้น “ข้ารู้จักคนคนหนึ่ง นางต้องมีวิธีช่วยท่านแม่แน่นอนขอรับ”
“ใคร” ใต้เท้าเมิ่งรีบถาม
“ไป๋จื่อ นางชื่อว่าไป๋จื่อขอรับ ตอนนี้นางพักอยู่ที่คฤหาสน์ตงฟาง ข้าไปจะไปหานางเดี๋ยวนี้ วิชาแพทย์ของนางยอดเยี่ยมมาก นางต้องรักษาท่านแม่ให้หายได้แน่นอน” เมิ่งหนานตอบอย่างร รีบร้อน
หมอหลวงจางที่เขียนใบสั่งยาอยู่ข้างๆ ได้ยินก็พลันหยุดพู่กัน รีบเร่งฝีเท้ามาถึงตรงหน้าเมิ่งหนาน เอ่ยถามว่า “คุณชายบอกว่าไป๋จื่อ ใช่เด็กสาวอายุสิบสามสิบสี่ปีคนนั้นหรือไม่”
เมิ่งหนานพยักหน้า “ถูกต้อง หมอหลวงจางก็รู้จักนางหรือ”
“ที่แท้คุณชายเมิ่งก็รู้จากแม่นางไป๋ด้วย ข้ากลับไม่รู้จักนาง เพียงแต่เคยได้ยินเรื่องราวของนาง ในวันส่งท้ายปีเก่าที่ผ่านมา จู่ๆ ไทเฮาก็มีภาวะสมองขาดเลือด หัวหน้าสำนักหมอหลวง งจนปัญญา เป็นแม่นางไป๋ที่ช่วยชีวิตไทเฮาเอาไว้ได้ และนับว่าช่วยชีวิตทั้งสำนักหมอหลวงด้วยเช่นกัน” หมอหลวงจางกล่าวเคล้ารอยยิ้มทันที
ใต้เท้าเมิ่งก็คิดถึงเรื่องในวันส่งท้ายปีเก่าเช่นกัน ตอนนั้นเขามองเห็นหน้าตาของแม่นางคนนี้ไม่ชัดเจน รู้เพียงว่าเป็นคนที่ตงฟางมู่พามา ดูเหมือนว่าจิ้นอ๋องก็รู้จักนางด้วยเช่ นกัน แล้วไยเมิ่งหนานถึงรู้จักนางด้วยเล่า
เมิ่งหนานเห็นบิดามีสีหน้าสงสัย จึงรีบดึงแขนเสื้อของตนเองขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือ “ท่านพ่อ ข้าเคยถูกเสือกัดจนเอ็นข้อมือขาด ตอนนั้นหมอทุกคนล้วนบอกว่าไม่มีทางร รักษาแล้ว ต้องกลายเป็นคนพิการแน่นอน เป็นไป๋จื่อนี่แหละขอรับ ที่รักษามือของข้าจนหาย ตอนนี้มันใช้งานได้เหมือนปกติ จะใช้ดาบหรือกระบี่ก็คล่องมือทั้งนั้น”
หมอหลวงจางเป็นหมอ จึงรีบคว้าข้อมือของเมิ่งหนานมาตรวจดู แต่น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะนอกจากรอยแผลเป็นรอยหนึ่งแล้ว เขาก็มองไม่เห็นอะไรเลย
“เจ้าเคยถูกเสื้อกัดจนเอ็นข้อมือขาดจริงหรือ” หมอหลวงจางถาม
เมิ่งหนานพยักหน้า “เป็นจริงดังนั้น ข้าจะปิดบังท่านไปด้วยเหตุใด”
บัดนี้ใต้เท้าเมิ่งมีสีหน้าร้อนรนนัก “ทว่าแม่นางไป๋ผู้นี้เข้าไปในวังแล้ว กำลังทุ่มเทแรงกายแรงใจทำการรักษาให้ไทเฮา ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาสนใจพวกเรา”
หมอหลวงจางรีบกล่าว “วันนี้ข้าได้ยินในสำนักหมอหลวงพูดกัน ว่าท่านตงฟางรับแม่นางไป๋กลับคฤหาสน์ตงฟางไปแล้ว เขาบอกว่าเป็นห่วงที่นางต้องเหนื่อยอยู่ในวัง จึงขอพระราชทานอนุญาต จากฝ่าบาทเป็นพิเศษ เพื่อรับนางกลับไป”
ครั้นหมอหลวงจางเพิ่งพูดจบ เมิ่งหนานก็สาวเท้าวิ่งออกไป แม้จะอากาศหนาวเย็นเพียงใด แต่เขาก็ไม่นั่งรถม้า เพียงขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตงฟางโดยตรง
…
ไป๋จื่อนอนหลับทันทีที่กลับถึงเรือน ครั้นตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี บัดนี้ทุกคนกำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะอาหาร ในที่สุดก็ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที
ตรงกลางโต๊ะอาหารมีเกี๊ยวอยู่จานใหญ่ คล้ายคลึงกับที่ไป๋จื่อทำอยู่หลายส่วน แต่ยังห่อสวยได้ไม่เท่าของไป๋จื่อ
ชุ่ยเอ๋อร์คีบให้นางสองชิ้น พลางยิ้มว่า “คุณหนู ลองชิมฝีมือของชุ่ยเอ๋อร์ดูนะเจ้าคะ”
“เจ้าเก่งนัก ข้าเพียงสอนเจ้าครั้งเดียว เจ้าก็ทำได้เหมือนเปี๊ยบแล้ว!” ไป๋จื่อคีบเกี๊ยวชิ้นขาวและอ้วนขึ้นมากัดคำหนึ่ง ‘อืม ไส้กุยช่ายและไข่ไก่ หอมทีเดียว’
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ชุ่ยเอ๋อร์มองไป๋จื่อด้วยความกังวล รอคำวิจารณ์จากนาง
ไป๋จื่อชิมไปแล้วครู่หนึ่ง ปล่อยให้ชุ่ยเอ๋อร์รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ครั้นเห็นชุ่ยเอ๋อร์รอแทบไม่ไหวแล้ว นางถึงจะยิ้มกริ่ม “อร่อยมาก สีเขียวเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่นกว่าสีน้ำเงิน น[1]เสียอีก ไม่เลวๆ ต่อไปตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องทำให้ฮูหยินกินบ่อยๆ นะ”
ตงฟางมู่หดตะเกียบกลับทันที มุ่นคิ้วมองหลานสาว “เจ้าไม่อยู่? เจ้าจะไปที่ใด”
ไป๋จื่อยิ้มเจื่อน “ข้าไม่ได้จะไปที่ใดเจ้าค่ะ ข้าเพียงพูดไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีความคิดอื่นใด ท่านอย่าคิดมากสิเจ้าคะ!”
ตงฟางหว่านเอ๋อร์จะไม่คิดมากได้อย่างไร แม้ตนจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดจื่อเอ๋อร์ แต่กลับไม่ได้ดูแลนางตั้งแต่แบเบาะ คนที่ได้อยู่กับนางเรื่อยมาคือจ้าวหลาน หากจื่อเอ๋อร์จะต้องจากไ ไปในสักวัน นางจะต้องไปกับจ้าวหลานแน่ ไม่มีทางเลือกไปกับตน ส่วนตัวนางเอง ตงฟางหว่านเอ๋อร์ผู้นี้ก็ไปไม่ได้เช่นกัน นางจะทอดทิ้งผู้เป็นบิดาไม่ได้ เขามีนางเป็นบุตรีเพียงคนเดี ยว เช่นเดียวกับที่นางมีจื่อเอ๋อร์เป็นบุตรีเพียงคนเดียว
……….
ตอนที่ 730 โรคเบาหวาน (1)
จ้าวหลานรีบกล่าว “น้องหญิงอย่าคิดมากไปเลย พวกเราล้วนอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า แม้แต่หูเฟิงก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน นางจะไปที่ไหนได้เล่า”
เมื่อมีคำพูดนี้ของจ้าวหลาน ในที่สุดตงฟางหว่านเอ๋อร์ก็ใจเย็นลงได้ สีหน้าเครียดเกร็งคลายลงไปหลายส่วน
ตงฟางมู่รีบยกจอกสุราขึ้น “มาๆๆ ไม่พูดเรื่องไร้สาระเกล่านี้แล้ว พวกเราดื่มให้หมดจอกกันดีกว่า”
ทว่าดื่มไปได้ไม่ถึงครึ่งจอก ก็มีเด็กรีบใช้เข้ามาในโถง รายงานตงฟางมู่ว่า “นายใหญ่ คุณชายเมิ่งมาขอรับ เขาบอกว่ามีเรื่องด่วนอยากพบคุณหนู”
ไป๋จื่อเลิกคิ้ว “วันปีใหม่เช่นนี้ เขาควรจะกินดื่มอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรือ ไยถึงมาหาข้ากัน”
เด็กรับใช้ส่ายหน้า “คุณชายเมิ่งไม่ได้บอกขอรับ บอกเพียงว่าเป็นเรื่องที่ด่วนมากๆ เกี่ยวพันถึงชีวิตคน อยากให้ท่านไปพบเขาสักครั้งขอรับ”
ครั้นได้ยินว่าเกี่ยวพันถึงชีวิตคน ไป๋จื่อก็วางตะเกียบในมือลง แล้วกล่าวกับเด็กรับใช้ “ได้ เชิญเขาเข้ามาในโถงข้างเถอะ!”
ขณะที่เด็กรับใช้กังจะหมุนหายไป ตงฟางมู่ก็พูดขึ้น “เชิญเขาไปทำอะไรที่โถงข้าง ให้เขามาพูดที่นี่แหละ หากเขายังไม่ได้กินข้าว จะได้กินด้วยกันสักหน่อย ไม่ต้องหิ้วท้องกลับไปกินที บ้าน”
ไป๋จื่อลอบยิ้ม ตงฟางมู่อยากฟังว่าพวกนางจะพูดอะไรกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังอยากเป็นหูเป็นตาให้หูเฟิงด้วย!
ไม่นานนัก เด็กรับใช้ก็เชิญเมิ่งหนานเข้ามาในห้องอาหาร ครั้นเข้ามาแล้ว ตงฟางมู่ก็เรียกให้เขาร่วมดื่มสุราเป็นเพื่อนทันที
หากเป็นเวลาปกติ เมิ่งหนานย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น ทว่าวันนี้เขากลับไม่มีกะจิตกะใจ
“ท่านตงฟาง ขออภัยด้วยจริงๆ ขอรับ ที่ข้ามาในวันนี้เพราะอยากเชิญไป๋จื่อไปรักษาอาการป่วยให้แม่ของข้า ท่านแม่นอนซมอยู่บนเตียงเช่นนี้ ข้าไม่มีอารมณ์ร่ำสุราเลยสักนิด ตอนนี้ในใจร รุ่มร้อนดังไฟแผดเผา ท่านตงฟางได้โปรดอย่ากล่าวโทษข้าเลยนะขอรับ”
ไป๋จื่อรีบถาม “ท่านแม่ของท่านเป็นอะไรไปหรือ”
“หมอหลวงจางบอกว่าแม่ของข้าเป็นโรคปัสสาวะร่วง มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ข้าไม่เชื่อ ก่อนหน้านี้นางยังแข็งแรงอยู่เลย”
เมื่อได้ยินคำว่าโรคปัสสาวะร่วง ไป๋จื่อก็พลันรู้สึกเครียดขึ้นมา โรคปัสสาวะร่วงที่ว่าคือโรคเบาหวานในยุคปัจจุบัน ในยุคนั้นวิชาแพทย์เฟื่องฟู แต่กลับยังคงไม่อาจวิจัยยาที่สามาร รถรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดออกมาได้ ทำได้เพียงใช้ยาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระยะยาว แม้ผู้ป่วยจะมีชีวิตต่อไปได้ ดูจากภายนอกแล้วไม่ได้ผิดปกติอะไร ทว่ามีเพียงพวกเขาเท่านั้นท ที่รู้ว่าตนเองทรมานเพียงใด
จะกินสิ่งที่อยากกินตามใจชอบไม่ได้ เรื่องที่อยากทำก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปทำถึงเพียงนั้น ขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยก็อาการกำเริบได้แล้ว อีกทั้งยังต้องกินยาเป็นระยะเวลานาน รวมถึง งสร้างผลร้ายต่ออวัยวะอื่นๆ ภายในร่างกายด้วย ยิ่งนานวันเข้าก็จะมีโรคต่างๆ รุมเร้าเข้ามา เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว…
เมิ่งหนานเห็นนางมีสีหน้าเช่นนั้น ก็พลันรู้สึกใจคอไม่ได้ “เจ้าก็รักษาไม่ได้เช่นกันหรือ”
ไป๋จื่อลุกขึ้นยืน เดินไปยังเบื้องหน้าของเมิ่งหนานอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงทั่วไปว่า “การรักษาโรคนี้เป็นเรื่องยาก แม้ข้าจะไม่สามารถรักษานางให้หายขาดได้ แต่ข้าสา ามารถรับประกันกับท่านได้ ว่าข้าจะทำให้นางอาการดีขึ้น และทำให้นางใช้ชีวิตได้เหมือนก่อนหน้านี้ ขอเพียงนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางจะต้องใช้ยาต่อไปเรื่อยๆ ไม่อาจขาดช่วงได้ ทำ ำเช่นนี้แล้วถึงจะควบคุมอาการโดยส่วนใหญ่ได้เจ้าค่ะ”
เมิ่งหนานไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาขอเพียงให้มารดามีชีวิตรอดต่อไปได้ ขอเพียงเท่านั้นก็พอแล้ว
“ช่วยข้าเตรียมรถม้าเถอะ!” ไป๋จื่อบอกกับพ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ
พ่อบ้านรับคำแล้วจากไป ฝ่ายตงฟางมู่ถอนใจยาวๆ เสียงหนึ่ง “ยากนักกว่าจะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน นี่กินยังไม่ถึงครึ่งก็ต้องไปแล้ว ช่างเถอะ ข้าเองก็จะไม่กินแล้วเช่นกัน จะไ ไปส่งเจ้า!” เขาไม่เป็นห่วงหลานสาว เช่นเดียวกับที่เป็นห่วงตงฟางหว่านเอ๋อร์ในตอนนั้น อยากจะกักเก็บนางไว้ข้างกายตลอดไป
เมิ่งหนานและตงฟางมู่ฝ่าลมเหมันต์ยามค่ำคืนไป จู่ๆ ก็มีหิมะโปรยปรายลงมา แม้จะไม่หนักมาก ทว่าเมื่อพวกเขาถึงด้านนอกจวนสกุลเมิ่งแล้ว บนคิ้วของคนทั้งสองก็มีแต่หิมะสีขาวเต็มไปหมด
……….
[1] สีเขียวเกิดจากสีน้ำเงิน แต่กลับเด่น (青出于蓝而胜于蓝) หมายถึง ศิษย์ได้รับการสั่งสอนจากครู แต่กลับเก่งกว่าครูเสียอีก ถือเป็นคำชมที่อาจารย์ใช้ชมเชยลูกศิษย์