คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา - ตอนที่ 735 โรคเบาหวาน (6) / ตอนที่ 736 โรคเบาหวาน (7)
- Home
- คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา
- ตอนที่ 735 โรคเบาหวาน (6) / ตอนที่ 736 โรคเบาหวาน (7)
ตอนที่ 735 โรคเบาหวาน (6)
“ข้าไม่รักษาแล้ว ไม่หายก็ช่างปะไร เพราะต่อให้รักษาจนหาย ข้าก็จะโกรธพวกเจ้าจนตายไปอยู่ดี แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มิสู้ข้าป่วยตายไปทั้งอย่างนี้ยังจะดีเสียดว่า”
ฮูหยินเมิ่งยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห แต่ก็พูดต่ออีกว่า “ไม่ต้องฉลองปีใหม่แล้ว ข้าว่าพวกเจ้าอยากจะให้ข้าตายไปเร็วๆ มากกว่า วันส่งท้ายปีเก่านี้ขาดข้าไปสักคนคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไ ไร ต่อจากนี้พวกเจ้าก็ไปมีชีวิตที่ดีก็แล้วกัน”
นางยังจำวันก่อนคืนส่งท้ายปีได้ แต่ลืมไปแล้วว่าตอนนี้ขึ้นปีใหม่แล้ว…
เมิ่งหนานเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ท่านแม่ วันนี้เป็นวันที่หกแล้ว”
ปากที่อ้าไว้เตรียมพูดของฮูหยินเมิ่งค้างอยู่อย่างนั้น “เจ้าว่าอะไรนั้น วันนี้เป็นวันที่หกแล้ว? หะ เหตุใดวันนี้ถึงเป็นวันที่หกแล้วเล่า ไม่ใช่ว่าอีกตั้งหลายวันกว่าจะถึงวัน ส่งท้ายปีหรือ”
เมิ่งหนานถอนใจ “ท่านแม่ ท่านป่วยหนักมาก หลายวันมานี้ท่านไม่ได้สติเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะไป๋จื่อ ถึงตอนนี้แล้วท่านก็คงยังไม่ฟื้นเช่นกัน”
เห็นเขาเอ่ยถึงไป๋จื่ออีกครั้ง ฮูหยินเมิ่งก็โมโหขึ้นมาอีก นางกล่าวด้วยความโกรธว่า “หมอบนโลกนี้ตายกันไปหมดแล้วหรือไร ต่อให้หมอทั้งเมืองหลวงล้วนตายกันหมด ก็ยังมีหมอหลวง อยู่ไม่ใช่หรือ ก่อนหน้านี้พ่อของเจ้าเคยบอกไว้ว่าหากเป็นโรคร้ายแรงอะไร ขอความเมตตาจากฮ่องเต้ก็ย่อมได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไรไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น ข้าป่วยอยู่ต ตั้งนมนาน พ่อเจ้าไม่ไปขอความเมตาจากฝ่าบาทเลยหรือ”
ก่อนหน้านี้เมิ่งหนานไม่เคยรู้เลย ว่านิสัยของมารดาตนจะเอาใจยากเช่นนี้ เขานึกว่านางจะใจดีและอ่อนโยนเสียอีก
วันนี้นับว่าได้เห็นธาตุแท้แล้ว
เขาทำหน้าเย็นชาไม่พูดจา สาวใช้ข้างๆ จึงรีบไกล่เกลี่ย “ฮูหยิน ท่านอย่าได้กล่าวโทษนายท่านเลยนะเจ้าคะ หลายวันนี้ที่ท่านล้มป่วย นายท่านก็ทุกข์ใจจนผ่ายผอม ก่อนหน้านี้เข้าวัง ไปขอพระราชทานอนุญาต เชิญหมอหลวงจางจากสำนักหมอหลวงมาตรวจอาการท่านแล้วเจ้าค่ะ ทว่าหมอหลวงจางเองก็จนปัญญาจะรักษาท่าน ทั้งยังบอกว่าท่านเป็นโรคนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก กไม่นาน”
เมื่อฮูหยินเมิ่งได้ฟังดังนั้น นางก็พลันเหม่อลอยไปในทันที ที่นางพูดไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่ความจริงสักอย่าง นางไม่อยากตาย
สาวใช้รีบพูดต่ออีก หลังจากเห็นสีหน้าของฮูหยินเปลี่ยนไป “คุณชายก็ร้อนใจจนแทบแย่เหมือนกันนะเจ้าคะ ทั้งยังบอกว่าแม่นางไป๋ต้องมีวิธีรักษาท่านให้หายแน่นอน เขาฝ่าพายุหิมะตลอ อดทั้งไปเชิญแม่นางไป๋เลยทีเดียว และเป็นจริงดังนั้นเจ้าค่ะ แม่นางไป๋ยุ่งอยู่ทั้งคืน สุดท้ายก็ช่วยท่านกลับมาจนได้”
ฮูหยินเมิ่งใจเต้นเร็วมาก นางอ้าปากพะงาบๆ เสียงอ่อนลงหลายส่วน “มะ หมายความว่าข้าไม่ต้องตายแล้วหรือ”
สาวใช้รีบพยักหน้า “ถูกต้องเจ้าค่ะ ท่านโชคดียิ่งนัก มีบุตรชายที่กตัญญูเช่นคุณชาย ที่พาหมอเทวดาตัวจริงมารักษาท่าน แม่นางไป๋บอกว่าขอเพียงท่านทำตามที่นางว่า กินยา กินข้าวอย่ างถูกต้องและตรงเวลา ก็จะลดจำนวนครั้งที่อาการกำเริบลงได้ มีอายุยืนยาวขึ้น เหมือนกับคนปกติไม่มีผิดเพี้ยนเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ฮูหยินเมิ่งก็นับว่าวางใจลงได้เสียที ทว่านางก็ยังนึกกลัว “แท้จริงแล้วข้าเป็นอะไรกันแน่”
“หมอหลวงจางกับแม่นางไป๋บอกว่า โรคที่ท่านเป็นมีชื่อว่าโรคปัสสาวะร่วงเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
ครั้นได้ยินว่าเป็นโรคปัสสาวะร่วง มือของฮูหยินเมิ่งก็สั่นเทาขึ้นมา มารดาของนางป่วยตายเพราะโรคนี้ ตอนนั้นขอให้หมอหลวงมารักษาเช่นกัน ไม่รู้ว่ากินยาน้ำไปตั้งเท่าไร แต่กลับไม ม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยสักนิด อาการหนักอยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ ก็จากไป
ยามที่มารดาจากไป นางอยู่ข้างกายไม่ยอมห่างไปไหน ตอนนั้นมารดาจำไม่ได้แล้วว่านางเป็นใคร ปากเอาแต่พร่ำวาจาที่ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วจู่ๆ ก็หมดลมหายใจไป
นางเป็นโรคเดียวกันหรือนี่
เมิ่งหนานเห็นมารดามีสีหน้าเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่เข้าไปใกล้นาง จับมือของนางเอาไว้ พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกลัวนะขอรับ วิชาแพทย์ของไป๋จื่อยอดเยี่ยม นางบอ อกว่ารักษาท่านให้หายได้ นั่นต้องไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน ท่านดูท่านตอนนี้สิ ไม่ใช่ว่าดีขึ้นมากแล้วหรือขอรับ”
……….
ตอนที่ 736 โรคเบาหวาน (7)
เมื่อได้จับมือบุตรชายไว้ ภายในใจของฮูหยินเมิ่งได้พบความรู้สึกปลอดภัยในที่สุด นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่ามีเสียงรายงานดังมาจากข้างนอกเสียก่อน “ฮูหยิน คุณชาย หมอหลวงจางจาก กสำนักหมอหลวงมาขอรับ”
เมิ่งหนานลอบยิ้ม หมอหลวงจางผู้นี้มาเร็วทีเดียว ฟ้าเพิ่งสางก็มาถึงทีนี่แล้ว หมายความว่าเขาออกจากสำนักหมอหลวงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางนั่นเอง
“รีบเชิญเข้ามา!” เมิ่งหนานเอ่ยเสียงดัง
ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าอันเร่งร้อนดังมาจากข้างนอก ตามมาด้วยสะบัดหิมะที่หน้าประตู ดูท่าหิมะจะยังไม่หยุดตกกระมัง
ทันทีที่เสียงสะบัดหิมะหยุดลง ประตูห้องที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก เงาร่างสูงใหญ่ของหมอหลวงจางเข้ามาด้านในทันที นำพาลมหนาวเย็นระลอกหนึ่งเข้ามาในห้องด้วย
เมิ่งหนานรีบดึงผ้าห่มของมารดาขึ้น ครั้นประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ลมหนาวสงบลงแล้ว ผ้าห่มที่เลิกขึ้นสูงเมื่อครู่จึงถูกดึงลง
เห็นบุตรชายเป็นห่วงสุขภาพของนางถึงเพียงนี้ ไฟโทสะในใจของฮูหยินเมิ่งถึงได้อ่อนลงหลายส่วน
หมอหลวงจางเร่งฝีเท้ามาที่หน้าเตียง มองฮูหยินเมิ่งที่ลุกขึ้นนั่งแล้ว พร้อมด้วยสีหน้าที่ดูดีกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด ในดวงตาของนางก็สดใสและเปล่งประกายด้วย “ฮูหยินรู้สึกอย่ างไรบ้างขอรับ”
เขากดข่มความประหลาดใจและตื่นเต้นบนใบหน้าเอาไว้ ราวกับว่าในที่สุดเขาก็ค้นพบวิธีการรักษาผู้ป่วยที่ตนทำการรักษาให้มานานปี ทำให้นางหายดีได้อย่างไรอย่างนั้น
ฮูหยินเมิ่งยิ้มจาง “นอกเสียจากรู้สึกเวียนศีรษะอยู่บ้าง และร่างกายไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงแล้ว อย่างอื่นนับว่าสบายดีทุกอย่าง”
หมอหลวงจางเข้าไปจับชีพจรให้นาง มันมั่นคงกว่าเมื่อคืนมาก ดูแล้วไม่ต่างอะไรจากผู้ป่วยโรคไข้หวัดทั่วๆ ไป เวลาเพียงแค่หนึ่งคืนก็รักษาหายแล้วหรือนี่
เขาถามเมิ่งหนานว่า “คุณหนูไป๋ยังอยู่หรือไม่”
เมิ่งหนานพยักหน้า “เมื่อคืนนางหลอมยาจนถึงยามสี่ ไม่ได้พักเลยทั้งคืน ตอนนี้น่าจะกำลังหลับอยู่”
หมอหลวงจางเก็บความตื่นเต้นบนใบหน้าไม่อยู่แล้ว “แม่นางไป๋เก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ แม้นางจะต้องรักษาโรคที่ยากถึงเพียงนี้ ทว่านางก็จัดการได้ในคืนเดียว ข้าต้องขอคำแนะนำจากนางส สักหน่อยแล้ว” ไม่เพียงแต่ขอคำแนะนำเท่านั้น เขายังอยากเชิญให้นางกลับบ้านไปกับเขาด้วย เพื่อตรวจดูพี่ใหญ่ของเขาที่นอนติดเตียงมาหลายปี ไม่แน่ว่าอาจจะอาการดีขึ้นบ้างก็ได้
แม้กระทั่งได้ยินคำพูดของหมอหลวงจาง ฮูหยินเมิ่งก็ยังคงไม่เชื่อในวิชาแพทย์ของไป๋จื่อ นางเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น จะรักษาโรคที่แม้แต่หมอหลวงก็ยังรักษาไม่ได้ จริงหรือ นางคงไม่ได้เล่นละครต่อหน้าหมอหลวงจาง เพื่อหาทางให้บุตรชายของเขายกย่องนางกระมัง
แม้ในใจนางจะคิดเช่นนั้น ทว่าปากกลับพูดอะไรไม่ออก นางมีหนานเอ๋อร์เป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ย่อมไม่อาจตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาเพราะคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเหล่านี้ได้ แท้จริง งแล้วเป็นเช่นไร นางรอดูไป๋จื่อก่อนจะดีกว่า
ฮูหยินเมิ่งลูบท้อง นางหิวจนกระสับกระส่ายแล้วจริงๆ จึงเอ่ยกับสาวใช้ข้างกาย “เหตุใดยังไม่นำขนมกุ้ยฮวามาอีก”
สาวใช้มองไปทางคุณชาย สีหน้านางลำบากใจนัก
เมิ่งหนานรีบพูดว่า “ท่านแม่ ไป๋จื่อบอกว่าด้วยโรคของท่านในตอนนี้ จะไม่สามารถกินของหวานใดได้ทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นโรคของท่านอาจจะกำเริบขึ้นมาอีก”
ไม่ให้กินของหวาน? นี่เท่ากับเอาชีวิตของนางแล้ว
“กินไม่ได้สักนิดเลยหรือ” ฮูหยินเมิ่งมุ่นคิ้วถาม
เมิ่งหนานส่ายหน้า “นิดเดียวก็ไม่ได้ขอรับ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้ ต่อไปควรกินอะไรก็ต้องฟังไป๋จื่อ”
ฮูหยินเมิ่งถอนใจเสียงหนึ่ง นางมองไปยังสาวใช้อย่างจนใจ “กินไม่ได้ก็ไม่กิน ไปนำอาหารเช้ามาหน่อยเถอะ”
สาวใช้ยังไม่ขยับ เพียงเอ่ยเสียงหวาน “ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อครู่ท่านเพิ่งกินยา แม่นางไป๋บอกว่าท่านกินยาไปแล้วครึ่งชั่วยามแล้วถึงจะกินข้าวได้เจ้าค่ะ”
ตอนนี้ฮูหยินเมิ่งสงสัยอย่างมาก ว่าไป๋จื่อผู้นี้จงใจทำให้นางลำบากใช่หรือไม่ ไม่ให้กินของหวานไม่ว่า ยังไม่ให้กินข้าวอีก เด็กสาวคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ นางคิดเหตุผลไม่ออกเลย สักนิด ว่ามีการรักษาใดที่ห้ามไม่ให้ผู้ป่วยกินของหวานหรือกินข้าวด้วย ไม่ใช่ว่ายิ่งกินมาก ร่างกายก็ยิ่งแข็งแรงหรอกหรือ